บนเส้นทางของการฝึกตน หากขาดหลินจวินปี้ไปคนหนึ่ง สำหรับคนกลุ่มนี้แล้ว เรื่องที่คนอื่นเสียหายแล้วตัวเองยังไม่ได้รับผลประโยชน์ พวกเขากลับยินดีที่จะทำ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีโอกาสช่วงชิงผลประโยชน์มาให้ตัวเองอยู่ด้วย
เพราะถึงอย่างไรอยู่ในราชวงศ์เส้าหยวน ผลประโยชน์ก็มีความพัวพันกันอยู่ จับมือเดินทางมาท่องเที่ยวร่วมกันครั้งนี้ หลินจวินปี้โดดเด่นมากเกินไปจริงๆ ต่อให้เป็นเด็กรุ่นหลังของราชวงศ์เส้าหยวนที่ฝึกตนอย่างพวกเขาก็ยังสังเกตเห็นความจริงข้อหนึ่งที่ว่า หากปล่อยให้หลินจวินปี้เดินขึ้นเขาอย่างราบรื่น ในอนาคตร้อยปีพันปี ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของราชวงศ์เส้าหยวนจะต้องเผชิญกับสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนที่ ‘คนผู้หนึ่งยึดครองมหามรรคาไปเพียงลำพัง’
หลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวนก็เหมือนกับเฉาสือแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เล่าเรียนอยู่บนเส้นทางของวิถีวรยุทธ
คนที่เป็นผู้ร่วมทางกับพวกเขา ล้วนเป็นคนน่าสงสาร
นอกจากคนเหล่านี้แล้ว จูเหมยและจินเจินเมิ่งก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้วถือว่ามีกลอุบายน้อยกว่า
แต่เหยียนลวี่กลับไม่ชอบคบค้าสมาคมกับคนประเภทนี้เท่าใดนัก
ส่วนลึกในใจของเหยียนลวี่กลับชอบคบค้าสมาคมและยินดีจะทุ่มเทแรงใจไปสานสัมพันธ์กับกลุ่มพวกหมาป่าตาขาว (เปรียบเปรยถึงคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคน) เลี้ยงไม่เชื่องซึ่งตรงข้ามกับพวกจูเหมยและจินเจินเมิ่งมากกว่า
คบหากับจูเหมยที่ชาติกำเนิดไม่แพ้ตนหรือสานสัมพันธ์กับจินเจินเมิ่งที่จิตแห่งเต๋ามั่นคง ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เหยียนลวี่ไม่ยินดีจะจ่าย หรือควรจะพูดว่าไม่เชี่ยวชาญจะจ่าย
หลินจวินปี้ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งตัว ขณะเดียวกันก็แบ่งสมาธิไปที่จุดอื่นแล้ว
บนหัวกำแพงเมืองแห่งอื่น ทุกๆ ระยะทางช่วงหนึ่งจะมีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์
ส่วนทุกคนที่อยู่ข้างกาย รวมไปถึงเหยียนลวี่ผู้นั้น หลินจวินปี้ไม่เคยคิดว่าพวกเขาเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับตนอยู่แล้ว นิสัยใจคออ่อนแอเกินไป คุณสมบัติย่ำแย่เกินไป หัวสมองก็โง่เขลาเกินไป เป็นเหตุให้ที่พึ่งและภูมิหลังของพวกเขาล้วนเป็นเพียงมายาเลื่อนลอย บางครั้งหลินจวินปี้ยังนึกอยากจะหัวเราะ อยากหัวเราะแล้วพูดความในใจกับพวกเขาว่า พวกเจ้าควรจะทะนุถนอมและเห็นค่าช่วงเวลาตอนนี้ไว้ให้ดี สามารถมาเดินร่วมทางกับข้าหลินจวินปี้ได้อย่างถูไถ จะดีจะชั่วยามอยู่บนเส้นทางของมหามรรคาก็ยังสามารถมองเห็นแผ่นหลังของเขาหลินจวินปี้ และตอนนี้ก็ยิ่งโชคดีได้ฝึกกระบี่ร่วมกันบนหัวกำแพง ถือว่าได้นั่งทัดเทียมกัน
เปียนจิ้งไม่ได้มาเรียนกระบี่กับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยบนหัวกำแพงเมือง
แต่ไปร่วมความครึกครื้นที่หอมายา ที่นี่มีดีอยู่อย่างหนึ่ง บอกว่าเป็นลานประลองยุทธ แต่แท้จริงกลับคล้ายคลึงกับภูเขาตี่ลี่ของอุตรกุรุทวีป สองฝ่ายที่คุมเชิงกัน ไม่แบ่งแพ้ชนะ ได้แต่แบ่งเป็นตายเท่านั้น
แต่เมื่อเทียบกับภูเขาตี่ลี่ก็มีบางอย่างที่ต่างออกไป บนลานประลองยุทธนี้มีเพียงแค่การเข่นฆ่าของขอบเขตเดียวกัน เดิมพันด้วยชีวิตของทั้งสองฝ่าย หากชนะก็ได้กำลังทรัพย์ทุกอย่างของอีกฝ่าย รวมไปถึงส่วนแบ่งจากการเดิมพันที่มีจำนวนน่าทึ่งอย่างถึงที่สุด
การช่วงชิงกันของผู้ฝึกกระบี่ แท้จริงแล้วไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด อีกทั้งโอกาสก็มีไม่มาก โดยทั่วไปแล้วก็หนีไม่พ้นสองฝ่ายผูกปมแค้นที่ต้องตายกันไปข้าง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางมาที่นี่ นอกจากนี้การเข่นฆ่ากันของผู้ฝึกกระบี่สองคน ส่วนใหญ่มักจะสิ้นสุดลงในเสี้ยววินาที ไม่มีอะไรให้น่าดู นั่งยังไม่ทันก้นร้อนก็ต้องลุกจากมาแล้ว จืดชืดไร้รสชาติยิ่งนัก
จุดที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริงคือการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ส่วนที่มีสีสันที่สุด แน่นอนว่ายังคงเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งสามารถโชคดีแลกชีวิตกับผู้ฝึกกระบี่ที่พลังการเข่นฆ่าสูงสุดมาได้
เหตุใดผู้ฝึกกระบี่จำนวนน้อยถึงเป็นฝ่ายมาเสี่ยงอันตรายที่นี่ นอกจากขัดเกลาตบะของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าเพื่อหาเงินมาหล่อเลี้ยงกระบี่บิน
เหตุใดผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ถึงได้ยินดีเสี่ยงอันตรายพาตัวมาตายที่นี่ แน่นอนว่าไม่ใช่พวกเขารนหาที่ตายเอง แต่เป็นเพราะชีวิตไม่เป็นของตัวเอง ผู้ฝึกลมปราณเหล่านี้ถูกเรือข้ามทวีปจับยัดใส่ห้องลับแล้วพาตัวมาส่งที่นี่แทบทุกคน คือพวกผู้ฝึกตนอิสระในทวีปใหญ่ๆ ของใต้หล้าไพศาล หรือไม่ก็พวกวิญญาณผีเร่ร่อนที่สำนักถูกกวาดล้าง หากสามารถเอาชนะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเดียวกันได้สามครั้ง ก็จะสามารถมีชีวิตอด หากยังกล้าเป็นฝ่ายลงสนามเข่นฆ่ากับผู้อื่น ก็จะได้รับเงินไปตามกฎ หากสามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้อย่างราบรื่น แค่ครั้งเดียวก็จะกลับคืนมามีอิสระอีกครั้ง
เคยมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่เจ็บปวดใจกับเรื่องนี้ รู้สึกว่าการกระทำที่ไร้สาระนี้เหยียบย่ำชีวิตคนเกินไป เคยซักถามกล่าวโทษกำแพงเมืองปราณกระบี่ว่าทำไมถึงไม่ห้ามปราม ปล่อยให้เรือข้ามทวีปลำแล้วลำเล่าพาผู้ฝึกตนอิสระมากมายขนาดนั้นให้มาตายอยู่ที่นี่
และยิ่งมีสตรีจากชนชั้นสูงของราชวงศ์ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนหนึ่งที่มีที่พึ่งแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ครอบครัวของนางได้ครอบครองเรือข้ามฟากลำหนึ่ง เมื่อมาถึงภูเขาห้อยหัวก็ตรงมาเข้าพักที่จวนหยวนโหรว และการที่นางทุ่มทองพันชั่งจับจ่ายซื้อของที่เรือนหลิงจือด้วยมาดของเจ้านายหญิงก็ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คน ผู้ติดตามสองคนที่อยู่ข้างกายนาง นอกจากปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งที่แสดงตัวอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนสำนักการทหารห้าขอบเขตบนที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำอีกคนหนึ่ง เมื่อไปถึงลานประลองยุทธของหอมายา หลังจากที่สตรีได้ชมศึกแล้วก็ไม่เพียงแต่สงสารผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลที่ถูกจับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังสงสารผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่ถูกมองเป็น ‘หินลับกระบี่’ อีกด้วย รู้สึกว่าในเมื่อพวกมันได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ก็ถือว่าเป็นคนแล้ว ได้รับการปฏิบัติอย่างทารุณเช่นนี้โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมมากเกินไป ไม่สอดคล้องกับมารยาทพิธีการ ดังนั้นสตรีจึงอาละวาดอยู่ที่ลานประลองยุทธของหอมายาไปรอบหนึ่ง แล้วจึงจากมาอย่างหยิ่งผยอง ผลคือวันนั้นองค์รักษ์ที่เป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนั้นของนางถูกเซียนกระบี่ในท้องถิ่นท่านหนึ่งที่ออกจากหัวกำแพงเมืองมาทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้านั้นก็ไม่กล้าออกหมัดแม้แต่น้อย เพราะนอกจากเซียนกระบี่ที่ออกกระบี่แล้ว เห็นได้ชัดว่ายังมีเซียนกระบี่ที่รออยู่ในทะเลเมฆเตรียมจะออกกระบี่ได้ทุกเวลาอยู่อีก นางจึงได้แต่ข่มกลั้นความเจ็บแค้น วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากซุนจวี้เฉวียนเซียนกระบี่ที่สนิทสนมกับตระกูล ผลคือต้องเจอกับน้ำแกงประตูปิด ข้าวของทั้งหมดของกลุ่มพวกนางล้วนถูกโยนไว้บนถนนใหญ่นอกจวนซุน และยังถูกซุนจวี้เฉวียนประทานคำว่าไสหัวไปให้อีกหนึ่งคำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!