ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยคารวะแม่นางหนิง”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ดีใจมากที่ได้พบกับอาจารย์หลิว”
ป๋ายโส่วยื่นมือมาปัดนิ้วทั้งห้าของเฉินผิงอันที่วางไว้บนศีรษะตัวเองออก เขารู้สึกมึนงงสับสน คำเรียกขานเช่นนี้ ชวนให้ขบคิดแหะ
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตามไปด้วย
ส่วนกาเหล้าที่วางไว้บนม้านั่งตัวยาวนั้น ก่อนที่เขาจะเอาสองมือสอดกันก็แอบยื่นนิ้วข้างหนึ่งผลักมันไปไว้ข้างกายป๋ายโส่วก่อนแล้ว อาจารย์และศิษย์คู่นี้ เป็นคู่ผีขี้เหล้าน้อยใหญ่ ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย ต้องเกลี้ยกล่อมสักหน่อยแล้ว
หนิงเหยานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน
ป๋ายโส่วขยับไปนั่งข้างกายฉีจิ่งหลง ตอนที่ลุกขึ้นยังไม่ลืมหยิบเหล้ากานั้นมาด้วย
หนิงเหยาเป็นฝ่ายเปิดปากชวนคุยว่า “ในอดีตข้าเคยไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปมาก่อน เพียงแต่ว่าไม่เคยไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุย ส่วนใหญ่ล้วนท่องอยู่ด้านล่างภูเขา”
ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “วันหน้าสามารถหวนกลับไปยังอุตรกุรุทวีปพร้อมกับเฉินผิงอันได้ ทัศนียภาพบนยอดเขาเพียนหรานไม่เลวเลยจริงๆ”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ช่วงนี้คงจะยาก”
ฉีจิ่งหลงตอบ “ก็จริง”
หนิงเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก็หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มป๋ายโส่ว
ป๋ายโส่วรีบขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวมทันที
หนิงเหยาเอ่ย “ในเมื่อเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของอาจารย์หลิว เหตุใดไม่ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี”
แม้ว่าในประโยคจะมีคำว่า ‘ทำไม’ แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้แสดงการซักไซ้
ป๋ายโส่วตอบอย่างระมัดระวังราวกับกำลังตอบคำถามของอาจารย์ที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน “พี่หญิงหนิง ข้าจะตั้งใจ!”
หนิงเหยาเอ่ย “ฝึกกระบี่เรียนกระบี่ จำเป็นต้องถามเจตนาเดิมของตัวเอง ถามกระบี่ ถามกระบี่ คือการที่ตนคิดร้อยพันตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ จึงต้องใช้กระบี่ถามฟ้าดินโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด ต้องสอนให้ฟ้าดินรู้ว่า ไม่อยากตอบก็ต้องตอบ”
เด็กหนุ่มน้อยใจแต่ไม่กล้าแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า ได้แต่พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
แต่คำพูดของพี่หญิงหนิงก็ช่างเต็มไปด้วยความองอาจกล้าหาญจริงๆ เวลานี้ฟังคำสอนของพี่หญิงหนิง เขาก็ถึงขั้นอยากดื่มเหล้าแล้ว จะต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดีๆ แน่นอน
ฉีจิ่งหลงไม่คิดว่าคำพูดของหนิงเหยามีอะไรไม่เหมาะสม
หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่พูดประโยคนี้ บางทีอาจไม่ถูกกาลเทศะ แต่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หนิงเหยาชี้แนะวิชากระบี่ให้แก่ผู้อื่น ก็ไม่ต่างจากเซียนกระบี่ถ่ายทอดความรู้ให้ แล้วนับประสาอะไรกับที่หนิงเหยายังยินดีจะเอ่ยเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าหนิงเหยาต้องการจะพิสูจน์ข่าวลือ แต่เป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางคือเพื่อนของเฉินผิงอัน และลูกศิษย์ของเพื่อน ขณะเดียวกันก็เพราะทั้งสองฝ่ายต่างเป็นผู้ฝึกกระบี่
หนิงเหยาลุกขึ้นเอ่ยขอตัว “ข้าไปปิดด่านต่อแล้ว”
ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นตาม “รบกวนการปิดด่านของแม่นางหนิงแล้ว”
หนิงเหยาหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “ในบ้านยังมีเหล้าที่เก็บเอาไว้เป็นอย่างดีอยู่อีก ไปขอจากท่านปู่น่าหลันได้เลย”
ฉีจิ่งหลงอึ้งตะลึง ก่อนจะอธิบายว่า “แม่นางหนิง ข้าไม่ดื่มเหล้า”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “อาจารย์หลิวไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ต่อให้สุราในจวนหนิงมีไม่มากพอ กำแพงเมืองปราณกระบี่นอกจากผู้ฝึกกระบี่แล้วก็สุรานี่แหละที่มีเยอะ”
เฉินผิงอันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง พยักหน้ารับ “นั่นสิๆ”
แล้วแอบยกนิ้วโป้งให้หนิงเหยา
อันที่จริงในบันทึกภูเขาสายน้ำที่เฉินผิงอันเขียนด้วยตัวเองเล่มนั้น สรุปว่าฉีจิ่งหลงชอบดื่มเหล้าหรือไม่ เขาเขียนบอกไว้นานแล้ว แน่นอนว่าหนิงเหยาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
พอหนิงเหยาจากไป
ป๋ายโส่วก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เอนตัวพิงพังพาบอยู่กับราวรั้วของศาลา พูดด้วยสายตาที่มีแววตำหนิ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่กลัวพี่หญิงหนิงเลยหรือ? ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้พบกับเจ้าสำนักยังไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อนเลย”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “กลัวอะไรกัน บุรุษตัวโตๆ จะกลัวภรรยาของตัวเองได้อย่างไร”
ฉีจิ่งหลงพลันหันหน้ามองไปยังจุดเชื่อมต่อระหว่างระเบียงทางเดินกับหน้าผาสังหารมังกร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!