กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 599

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด และยังมีอีกข้อหนึ่ง การที่ข้าหันไปขายพัดพับแทนนั้นก็เพราะหวังว่าจะสามารถปกปิดความตั้งใจของตัวเองเอาไว้ได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเซียนกระบี่คนใดมองออกแล้วรู้สึกว่าคนผู้นี้กลอุบายลึกล้ำเกินไป จึงรู้สึกรังเกียจขึ้นมา แต่หากทำถึงขั้นนี้แล้วยังถูกคนจับได้ อันที่จริงก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ควรแสวงหาความสมบูรณ์แบบกับทุกเรื่อง ถึงท้ายที่สุดแล้วก็จะต้องมีโอกาสที่เซียนกระบี่บางท่านจะขบคิดได้ แล้วด่าขำๆ ว่าไอ้เด็กนี่เจ้าเล่ห์นัก แล้วทำไมพวกเขาถึงจะไม่ถือสา? ก็เพราะนับตั้งแต่แรกเริ่มมา คนที่ข้าหวังให้ได้ตราประทับและพัดพับทุกชิ้นของข้าไปครอง ล้วนไม่ใช่พวกผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่ความคิดจิตใจโปร่งใสเป็นที่สุด และประสบการณ์ชีวิตก็โชกโชนอย่างที่สุดอยู่แล้ว แน่นอนว่าในบรรดาคนเหล่านี้ หากมีใครที่มองความจริงออกแต่กลับไม่เปิดโปง หรือถึงขั้นยังยินดีที่จะเก็บตราประทับบางชิ้นที่ถูกชะตาเอาไว้ ข้าก็จะยิ่งเคารพเลื่อมใสเขาจากใจจริง หากมีโอกาสล่ะก็ ข้ายังจะพูดกับเขาต่อหน้าว่า ‘ใช้วิธีการต่ำช้าขายความรู้ เป็นผู้น้อยที่เสียมารยาท’ด้วย”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ความคิดรอบคอบรัดกุม รับมือได้อย่างเหมาะสม”

เฉินผิงอันตบไหล่ฉีจิ่งหลงหนักๆ “ไม่เสียแรงที่เป็นคนซึ่งเคยไปเยือนภูเขาลั่วพั่วของข้า! ไปไม่เสียเที่ยวเลย! แต่เจ้าลูกกระต่ายป๋ายโส่วนั่นใช้ไม่ได้ หัวทึ่มไปสักหน่อย ได้แต่เรียนรู้มาอย่างผิวเผิน คำพูดของเขาก่อนหน้านี้น่ะเรียกว่ากลับลำอย่างแข็งทื่อ ช่วยให้เสียเรื่องซะมากกว่า”

ฉีจิ่งหลงกระดกเหล้าดื่มด้วยตัวเองอย่างที่หาได้ยาก มองไปยังทิศทางของร้านเหล้า ที่นั่นนอกจากผู้ฝึกกระบี่และสุราแล้ว ยังมีตรอกเหยียนชือ ตรอกหลิงซี ฯลฯ และยังมีเด็กๆ หลายคนที่ตลอดชีวิตได้เห็นมาดของเซียนกระบี่มาจนเอียน แต่กลับไม่เคยรู้ถึงขนบธรรมเนียมของใต้หล้าไพศาลแม้แต่น้อย ฉีจิ่งหลงเช็ดมุมปาก พูดเสียงทุ้มหนักว่า “หากไม่มีเวลาหลายสิบปี หรือถึงขั้นเป็นร้อยปี เจ้าทำอย่างนี้ย่อมมีความหมายไม่มาก”

เฉินผิงอันเงียบงันไปนาน สุดท้ายก็เอ่ยว่า “หากไม่ทำอะไรบ้างเลย ในใจคงอึดอัดมากอย่างแน่นอน เรื่องนี้ก็เรียบง่ายเพียงเท่านี้ ข้าไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนนัก”

ฉีจิ่งหลงชูกาเหล้าขึ้นมาราวกับต้องการชนกับกาของเฉินผิงอันแล้วดื่มให้เต็มคราบ

ผลคือเฉินผิงอันพูดอย่างขันๆ ปนฉุนว่า “ข้าผู้อาวุโสต้องใช้กลยุทธทั้งหมดที่มี เปลืองแรงไปมหาศาลกว่าจะหลอกเอาเหล้าสองกานี้มาจากร้านเหล้าได้ กาหนึ่งให้เจ้า อีกกาหนึ่งป๋ายโส่วก็เอาไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นเทพเซียน มีความสามารถมากขนาดที่หลอกเอาเหล้ามาสามกาได้รวดเดียวจริงๆ หรือไง?!”

ฉีจิ่งหลงร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็ไม่ดื่มอีก

ฉีจิ่งหลงถาม “ก่อนหน้านี้ได้ยินเจ้าบอกว่าเขียนจดหมายไปบอกให้เผยเฉียนมากำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินหน่วนซู่กับโจวหมี่ลี่จะทำอย่างไร? หากไม่ให้แม่นางน้อยสองคนมาด้วย ในจดหมายฉบับนั้นเจ้าได้อธิบายให้ดีหรือไม่? เจ้าน่าจะรู้ว่าด้วยนิสัยของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนั้นของเจ้า ได้รับจดหมายฉบับนั้นต้องไม่ต่างจากได้รับพระราชโองการแน่นอน ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมจะโอ้อวดเพื่อนสองคนของนางด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”

เฉินผิงอันพาฉีจิ่งหลงเดินออกมาจากฟ้าดินเล็กเมล็ดงา “จะพาเจ้าไปดูอะไรหน่อย”

ป๋ายโส่วเดินลงมาจากหน้าผาสังหารมังกรแล้ว เขาเดินวนรอบภูเขาลูกเล็กอยู่หลายรอบ รู้สึกว่าแท่นสังหารมังกรใหญ่ขนาดนี้ ตนควรจะต้องเชิญจิตรกรมาช่วยวาดภาพเหมือนให้ตนสักภาพ ภาพตอนยืนอยู่ตรงตีนเขาภาพหนึ่ง นั่งอยู่ในศาลาอีกภาพหนึ่ง พอกลับไปถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยและยอดเขาเพียนหราน พอคลี่ม้วนภาพนั้นออก เจ้าพวกคนที่สุมหัวอยู่ด้านข้างจะยังไม่สูดลมหายใจดังเฮือก ตาเบิกถลนกันทุกคนเลยหรอกหรือ ชื่อเสียงของสำนักก็จะเพิ่มขึ้นพรวดพราดเพราะเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่ว ดังนั้นหากอาศัยคนแซ่หลิว คงไม่สำเร็จ ถึงอย่างไรตนก็ควรจะต้องพึ่งตัวเอง อาศัยพี่น้องเฉินผิงอันของตน น่าจะพึ่งพาได้มากกว่า

ป๋ายโส่วเห็นว่าเจ้าคนสองคนที่สวมชุดเขียวเหมือนกันพากันเดินออกมาจากลานประลองยุทธ ก็เลยเดินตามคนทั้งสองไปยังที่พักของเฉินผิงอันด้วย

ป๋ายโส่วเห็นเรือนหลังเล็กที่น่าสงสารนั้น ในใจก็พลันรู้สึกเศร้าสร้อย จึงปลอบใจเฉินผิงอันว่า “พี่น้องคนดี ลำบากเจ้าแล้ว”

เฉินผิงอันยกเท้าขึ้น

ป๋ายโส่ววิ่งหนีห่างไปไกล

ขนาดตัวเองยังรู้สึกว่าน่าขายหน้าไม่น้อย เด็กหนุ่มเดินเนิบช้าเข้าไปในบ้าน เลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่เดิมทีก็วางไว้ใต้ชายคาอยู่แล้ว แสร้งทำท่าเป็นนายท่านใหญ่

พอคิดว่าสักวันหนึ่งเจ้าถ่านดำตัวขาดทุนผู้นั้นอาจโผล่มา ป๋ายโส่วก็รู้สึกเห็นค่าช่วงเวลาผ่อนคลายอันสงบสุขของตนในเวลานี้ยิ่งนัก

เห็นได้ชัดว่าคนแซ่หลิวกับพี่น้องของตนกำลังคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน ไม่ใช่คุยเรื่องไร้สาระ แววตาแค่นี้เด็กหนุ่มยังพอจะมีอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่เข้าไปร่วมวงแล้ว

เฉินผิงอันพาฉีจิ่งหลงเดินเข้าไปในห้องที่วางโต๊ะไว้สองตัว บนโต๊ะตัวหนึ่งยังวางซี่ไผ่โครงพัดหยกที่ยังขัดเกลาไม่เสร็จ รวมไปถึงหน้าพัดมากมายที่ขาวโพลนไร้ตัวอักษร ตราประทับเปลือยๆ ที่ยังไม่มีตัวอักษรและการแกะสลักริมขอบก็มีอยู่ไม่น้อย ตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กแน่นขนัดบนกระดาษมากมายนั้นล้วนเป็นคำร่างของตัวอักษรที่จะสลักบนตราประทับและเนื้อหาบนหน้าพัด บนโต๊ะอีกตัวที่อยู่ข้างกันคือแผนที่ภูมิศาสตร์เตาเผามังกรทั้งหมดของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี

เขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ อาณาเขตหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่นภูเขาเครื่องกระเบื้อง สุสานเทพเซียน และยังมีเตาเผามังกรทั้งหลาย ยังคงมีเมฆหมอกหนาชั้นปกคลุม ต่อให้โดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนผ่านมาด้านบนก็ยังไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าทั้งหมดของพวกมันได้

ฉีจิ่งหลงยืนอยู่ข้างโต๊ะ วางกาเหล้าไว้บนโต๊ะเบาๆ ก้มหน้าลงมอง เตาเผามังกรทั้งหมดไม่ได้กระจายตัวอย่างไร้ระเบียบ แต่เรียงตัวกันเป็นเส้นโค้งยาวเส้นหนึ่ง ห่างจากเส้นยาวนี้ไปเล็กน้อย มีวงกลมเล็กๆ อยู่วงหนึ่ง ฉีจิ่งหลงชี้ไปที่จุดนั้น ถามว่า “คือบ่อโซ่เหล็กในเมืองเล็ก?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!