เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนหน้าพัดต่อไป ปากก็พูดง่ายๆ ว่า “จะทำอย่างไรได้ ก็แค่ทำตามมารยาทที่สมควรเท่านั้น นางมาพบเจ้า เจ้าก็ออกไปพบ อย่าได้ทำหน้าคร่ำเคร่ง คนเขาชอบเจ้า ไม่ได้ติดค้างเงินเจ้าสักหน่อย พอได้พบกันหลายครั้งเข้า ต่อให้เจ้าไม่ยินดีเป็นฝ่ายจะไปหานางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนเข้าใจผิด ก็ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายเมื่อต้องจากลากัน ไม่ว่าใครที่จะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อน เจ้าเป็นฝ่ายไปหานางก่อนสักครั้ง เอ่ยลากับนางสักคำก็พอ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ไม่มีสตรีที่ชื่นชอบ อันที่จริงกลับทำให้ผึ่งผายได้มากกว่านี้อีก หากเจ้าเอาแต่ระมัดระวังอย่างเดียว กลับจะยิ่งทำให้นางคิดมากได้ง่าย”
ฉีจิ่งหลงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง
ตอนนี้สิ่งที่เฉินผิงอันเขียนลงไปบนหน้าพัด ไม่ได้เคร่งขรึมจริงจังเหมือนหน้าพัดอันก่อนหน้านี้ แต่จงใจให้มีกลิ่นอายของความอ่อนหวานของสตรีมากขึ้น ถึงอย่างไรก็เป็นของที่เอาไปวางขายไว้ในร้านผ้า หากจริงจังเกินไป อย่าว่าแต่จะเป็นที่ชื่นชอบหรือไม่เลย บางทีอาจยังขายไม่ออกด้วยซ้ำ เขาจึงเขียนประโยคว่า ‘คนที่คิดถึง คุณชายผู้สง่างาม คือสายลมดับร้อนอันดับหนึ่งบนโลก’
ฉีจิ่งหลงชำเลืองตามองตัวอักษรบนหน้าพัดแล้วก็พูดไม่ออก
หวังจริงๆ ว่าตนจะเก็บคำพูดดีๆ ก่อนหน้านี้ได้กลับมาสักเกินครึ่ง เห็นได้ชัดว่าเจ้าคนที่เดินทางท่องอุตรกุรุทวีปไปตลอดทางก็เป็นร้านผ้าห่อไปตลอดทางตรงหน้าผู้นี้ ไม่เคยคิดเรื่องหาเงินน้อยลงเลย!
ความคิดมากมายบนโลกใบนี้ก็เหมือนเส้นเส้นหนึ่งที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน แต่ละความคิดที่ถือกำเนิด แรงบันดาลใจในการประพันธ์ก็ยิ่งเหมือนตาน้ำพุผุดพุ่ง เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็เขียนอีกประโยคลงบนหน้าพัด ‘นับแต่โบราณสถานที่แห่งนี้ไร้ไอร้อนแผดเผา ที่แท้ปราณกระบี่ก็ผลาญมันจนสิ้นสูญ’
ค่อนข้างพอใจกับประโยคนี้ เฉินผิงอันจึงหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งที่แกะสลักเสร็จเรียบร้อยแล้วมา เปิดกล่องตราประทับออกแล้วประทับลงด้านล่างของกลอนบทนี้เบาๆ ตราประทับสลักอักษรคำว่า ลมทองน้ำค้างหยก หญ้าเขียวขุนเขามรกต สองประโยคสอดคล้องรับกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือบุรุษที่ซื้อพัดเล่มนี้ ก็ได้ทั้งนั้น
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ฝึกฝนจิตใจอย่างยากลำบาก ถือโอกาสฝึกฝนตัวเองให้เป็นร้านผ้าห่อบุญที่คิดคำนวณทุกอย่างอย่างรอบคอบแม่นยำด้วย เจ้าไม่เคยทำการค้าที่ขาดทุนเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “เจ้าเลิกพูดจาเหน็บแนมข้าเสียทีเถอะ ระวังจะโดนกรรมตามสนอง ข้าจะเดิมพันกับเจ้า เดิมพันว่าเทพธิดาหลูจะต้องมอบตราประทับหรือไม่ก็พัดพับที่มาจากฝีมือข้าให้เจ้าหนึ่งชิ้น เจ้าจะเดิมพันด้วยไหมล่ะ?”
ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นยืน “ข้าไปก่อนล่ะ ยังต้องไปที่หัวกำแพงเมืองเพื่อถ่ายทอดวิชากระบี่ให้กับลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย”
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้รั้งเอาไว้ พวกเขาเดินข้ามธรณีประตูออกมาด้วยกัน ป๋ายโส่วยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ พอเห็นเฉินผิงอันก็ยกเหล้ากาที่อยู่ในมือขึ้น เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเผยเฉียนมาถึงเร็ว ได้พบกับเจ้า ข้าจะช่วยตำหนินางแทนเจ้าเอง”
ป๋ายโส่วหลุดหัวเราะพรืด “ใช่ว่าทุกวันนี้ข้าจะเอาชนะนางจริงๆ ไม่ได้สักหน่อย ก็แค่นางอายุน้อย เริ่มฝึกหมัดช้า อีกทั้งยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง ข้าจะกล้าออกแรงออกกระบวนท่าเต็มกำลังได้อย่างไร ต่อให้ชนะนางได้แล้วอย่างไร ไม่ว่ามองอย่างไรข้าก็ต้องแพ้อยู่ดี ข้าถึงได้ไม่ยินดีให้มีการประลองครั้งที่สองอย่างไรเล่า”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “พูดจาให้ดีๆ”
ป๋ายโส่วรีบลุกขึ้นยืนทันใด วิ่งตุปัดตุเป๋มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มือทั้งสองข้างถือประคองเหล้ากานั้น “พี่น้องคนดี ขอร้องเจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมเผยเฉียนหน่อย อย่าได้ประลองบู๊กันอีกเลย จะทำลายความปรองดองกันเปล่าๆ”
เฉินผิงอันรับกาเหล้ามาแล้วตบหัวเด็กหนุ่มไปทีหนึ่ง “ไม่ว่าจะอยู่ในคลังเจี่ยจ้างหรือบนหัวกำแพงเมือง เจ้าควรฝึกกระบี่ให้มากพูดให้น้อย ไม่อย่างนั้นด้วยปากแบบนี้ของเจ้าก็ง่ายที่จะชักนำกระบี่บินของเซียนกระบี่ให้พุ่งมาหา”
ป๋ายโส่วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เฉินผิงอัน ให้ความเคารพกันหน่อย ไม่รู้จักเด็กจักผู้ใหญ่ หัดมีสัมมาคารวะบ้างได้ไหม?!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พอเผยเฉียนมาถึง หากเจ้ากล้าเรียกข้าว่าพี่น้องต่อหน้านาง ข้าก็จะยอมรับพี่น้องอย่างเจ้า เป็นอย่างไร?”
ป๋ายโส่วชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง “พี่น้องไม่พี่น้อง รอให้เผยเฉียนจากไปก่อนแล้วค่อยมาเป็นกันดีกว่ากระมัง”
เฉินผิงอันพูดเยาะเย้ย “ดูท่าทางขี้ขลาดของเจ้าสิ”
สองมือของป๋ายโส่วประกบกันทำท่ามุทรากระบี่ แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า “วีรบุรุษชายชาตรีค้ำฟ้ายันดิน ไม่มัวมาขุ่นเคืองถือสาแม่นางน้อยหรอก”
เฉินผิงอันหัวเราะ ลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม
มีเขาอยู่เคียงข้างฉีจิ่งหลงก็ไม่เลวเลย ไม่อย่างนั้นหากทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างก็เป็นน้ำเต้าตันทั้งคู่ คงไม่ค่อยดีเท่าไร
เฉินผิงอันเดินมาส่งฉีจิ่งหลงที่หน้าประตูใหญ่จวนหนิง ป๋ายโส่วเดินเร็วๆ ลงบันไดไปแล้วก็ยักไหล่ พูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นว่า “จะได้ถามหมัดแล้ว เจ้าหนึ่งหมัดข้าหนึ่งหมัด”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่ควบคุมเขาสักหน่อยหรือ?”
ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงหันไปพูดกับป๋ายโส่วว่า “คำพูดที่เป็นความจริงแบบนี้ เก็บไว้ในใจก็พอแล้ว”
ฉีจิ่งหลงหมุนตัว หันไปคารวะบอกลาน่าหลันเย่สิงที่อยู่ด้านข้าง
ป๋ายโส่วเห็นแล้วก็กุมหมัดคารวะตามคนแซ่หลิวอยู่ไกลๆ
สองอาจารย์และศิษย์ออกจากนครมุ่งหน้าไปยังคลังเจี่ยจ้าง
เฉินผิงอันเดินเคียงบ่ากับน่าหลันเย่สิง ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนคุณหนูจะปิดด่านได้ฝากให้ข้ามาบอกท่านเขย มีแค่สองคำ อย่าแพ้”
เฉินผิงอันรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เอ่ยเสียงเบาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็รู้แล้วว่าควรจะออกหมัดหนักเบาแค่ไหน”
เกี่ยวกับระดับความสูงของคอขวดขอบเขตหกของตนและอวี้เจวี้ยนฟู เฉินผิงอันพอจะรู้อยู่ในใจแล้ว ก่อนจะไปถึงยอดเขาสิงโตแล้วให้ท่านอาหลี่เอ้อร์ป้อนหมัดให้ เป็นอวี้เจวี้ยนฟูที่ขอบเขตสูงกว่าจริงๆ แต่ตอนที่เขาฝ่าคอขวดเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองได้สำเร็จ ก็เหนือกว่าวิถีวรยุทธขอบเขตหกของอวี้เจวี้ยนฟูไปหนึ่งระดับแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!