กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 600

หลูสุ้ยลุกขึ้นยืน บางทีคงเป็นเพราะรู้นิสัยของสหายข้างกายดี ตอนที่ลุกขึ้นจึงกุมมือของเริ่นหลงฉง ไม่เปิดโอกาสให้นางแกล้งนั่งทำตัวเป็นคนหูหนวกคนใบ้อยู่ตรงนั้น

หลูสุ้ยยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คารวะคุณชายเฉิน”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เทพธิดาหลูเรียกข้าว่าเถ้าแก่รองก็พอแล้ว”

หลูสุ้ยยิ้มบางๆ ในดวงตาเหมือนมีคำพูด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียกเจ้าว่าแม่นางหลู”

จางเจียเจินที่คอยช่วยงานอยู่ในร้านเหล้าวิ่งเข้ามาหา แต่หยิบมาแค่ชามเหล้า ไม่ได้หยิบเหล้ามาด้วย

หลูสุ้ยช่วยรินเหล้าให้เฉินผิงอันชามหนึ่ง แล้วยกชามเหล้าขึ้น เฉินผิงอันเองก็ชูชามเหล้าขึ้นเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ชนชามกัน เพียงแค่ต่างคนต่างดื่มเหล้าในชามเท่านั้น

เริ่นหลงฉงก็จิบเหล้าหนึ่งคำ เพียงแค่นี้เท่านั้น จากนั้นก็นั่งกลับลงไปบนม้านั่งยาวพร้อมกับหลูสุ้ย

มือสองข้างของป๋ายโส่วถือตะเกียบคนบะหมี่หยางชุนก้อนใหญ่ แต่กลับไม่ได้กิน เขาจุ๊ปากแสดงการชื่นชม จากนั้นก็ชำเลืองตามองคนแซ่หลิว เรียนรู้แล้วหรือยัง เรียนรู้แล้วหรือยัง นี่ก็คือความสามารถของพี่น้องข้า ในนี้ล้วนมีแต่ความรู้ทั้งนั้น แน่นอนว่าเทพธิดาหลูก็ฉลาดมาก วางตัวเหมาะสมอย่างถึงที่สุด ป๋ายโส่วถึงขั้นรู้สึกว่าหากหลูสุ้ยชอบเฉินคนดีผู้นี้ นั่นถึงจะเหมาะสมคู่ควรกัน ดันมาชอบคนแซ่หลิวก็เหมือนเอาดอกไม้ตระกูลเซียนไปโยนทิ้งในแปลงผัก เอาดอกกล้วยไม้ในหุบเขาย้ายไปปลูกข้างเล้าหมู ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมาะสม เพียงแต่ว่าความคิดนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ป๋ายโส่วก็โยนตะเกียบทิ้ง พนมสองมือ ใบหน้าเคร่งเครียด พึมพำในใจว่า พี่หญิงหนิง ข้าผิดไปแล้วๆ หลูสุ้ยไม่คู่ควรกับเฉินผิงอัน ไม่คู่ควรกับเฉินผิงอัน

ก่อนหน้านี้เริ่นหลงฉงร่วมชมศึกที่สุดปลายถนนใหญ่อยู่กับหลูสุ้ย จากนั้นก็ได้เจอกับฉีจิ่งหลงและป๋ายโส่ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นการประมือระหว่างเฉินผิงอันกับอวี้เจวี้ยนฟูอย่างละเอียดมาก่อน หากไม่เป็นเพราะสุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยประโยคว่า ‘พูดแรงหน่อยคือต้องมีปณิธานหมัดที่ยิ่งใหญ่’ เริ่นหลงฉงก็คงไม่มีทางมาดื่มเหล้าที่นี่เป็นแน่

อันที่จริงเริ่นหลงฉงยอมรับในตัวผู้ฝึกตนที่เข้าใจมรรคาอย่างฉีจิ่งหลงมากกว่า สำหรับเฉินผิงอันที่นั่งร่วมโต๊ะกันในเวลานี้ ความประทับใจที่มีต่อเขานั้นธรรมดามาก ไม่ใช่ดูแคลนที่เฉินผิงอันขายเหล้า ขายตราประทับ ขายพัดพับ ในความเป็นจริงแล้วมีครั้งหนึ่งเริ่นหลงฉงลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ ต้องเจอกับอันตรายรายล้อม ผู้อาวุโสและคนวัยเดียวกันร่วมสำนักที่เดินทางมาพร้อมกับนางล้วนตายกันหมด นางร่อนเร่พเนจรอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง ชีวิตยากลำบากอย่างถึงที่สุด โต๊ะและม้านั่งตัวเก่าในร้านเหล้าแห่งนี้ นางไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกรังเกียจ กลับกันยังรู้สึกคิดถึงวันเวลาที่ต้องล้มลุกคลุกคลานอย่างลำบากยากแสนขึ้นมา แต่บนร่างของเฉินผิงอันกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เริ่นหลงฉงอึดอัด เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเฉินผิงอันคล้ายคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่มากเกินไป กลับกลายเป็นว่าไม่มีกลิ่นอายของผู้ฝึกตนใต้หล้าไพศาล อาจเป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่ที่มาจากต่างกลุ่มอีกทั้งยังขอบเขตต่างกันมากมายขนาดนั้นล้วนไม่เกรงใจเถ้าแก่รองผู้นี้ แต่ความไม่เกรงใจเช่นนั้นกลับเป็นภาพเหตุการณ์ที่ตัวเริ่นหลงฉง รวมไปถึงผู้อาวุโสมากมายของนางไม่อาจจินตนาการได้ถึง ถึงขั้นที่ว่าเป็นภาพบรรยากาศประหลาดที่ตัวเองก็รู้ดีว่าตนได้แต่ปรารถนา แต่มิอาจได้มาครอบครอง

บอกได้แค่ว่าเริ่นหลงฉงไม่มีอคติต่อเฉินผิงอัน แต่ไม่มีทางอยากเป็นเพื่อนกับเขาแน่นอน

เพราะถึงอย่างไรภาพของเฉินผิงอันที่อยู่ในจินตนาการตอนแรก คนหนุ่มที่สามารถทำให้หลิวจิ่งหลงเจียวหลงบนบกมองเป็นสหายสนิทได้ ก็น่าจะมีมาดสง่างาม ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียน

น่าเสียดายก็แต่เถ้าแก่รองที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ นอกจากการแต่งกายที่ถือว่าพอจะเข้าเค้าบ้าง อย่างอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ ก็ล้วนทำให้เริ่นหลงฉงผิดหวังยิ่งนัก

ส่วนเฉินผิงอันมองเริ่นหลงฉงอย่างไร นางไม่สนใจแม้แต่น้อย

อันที่จริงเดิมทีที่นั่งบนโต๊ะก็เพียงพอสำหรับทุกคน เพียงแต่หลูสุ้ยยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเริ่นหลงฉง ดูเหมือนว่าสตรีที่สนิทสนมกันมักจะทำเช่นนี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉีจิ่งหลงไม่คิดอะไรมาก เฉินผิงอันคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ป๋ายโส่วกลับรู้สึกว่าดีมากจริงๆ ทุกครั้งที่ออกจากบ้านก็จะมีโอกาสได้เห็นพี่สาวงดงามพร้อมกันถึงสองคนเชียวนะ

หลูสุ้ยพูดคุยถึงหัวข้อเกี่ยวกับอวี้เจวี้ยนฟู ล้วนเป็นคำพูดดีๆ เกี่ยวกับสตรีผู้ฝึกยุทธคนนั้น

เฉินผิงอันฟังเข้าหูทุกเรื่อง ไม่ใช่ปล่อยผ่านไม่สนใจ

ข้อแรก คำพูดเช่นนี้ของหลูสุ้ย ต่อให้แพร่ไปถึงหัวกำพงเมืองก็ยังไม่ล่วงเกินอวี้เจวี้ยนฟูและเซียนกระบี่ขู่เซี่ย

ข้อที่สอง พรสวรรค์การเรียนวรยุทธของอวี้เจวี้ยนฟูยิ่งดีมากเท่าไร และยิ่งนิสัยใจคอไม่แย่ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเฉินผิงอันที่ไม่ได้ออกหมัดสักครั้ง แต่กลับชนะในการประลองครั้งแรกไปแล้วย่อมต้องดียิ่งกว่า

ข้อที่สาม สิ่งที่หลูสุ้ยพูดมีความลับบางอย่างสอดแทรกไว้คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา ข่าวของเรือนชุนฟาน แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากการปั้นน้ำเป็นตัว เล่าลือกันไปปากต่อปาก

เห็นได้ชัดว่าในฐานะที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเพื่อนของฉีจิ่งหลง หลูสุ้ยเอนเอียงเข้าหาเฉินผิงอัน หวังให้เขาชนะในการประลองครั้งที่สองมากกว่า

เริ่นหลงฉงไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ ความสนใจส่วนใหญ่ยังคงอยู่บนร่างของผู้ฝึกกระบี่ที่มาดื่มเหล้ามากกว่า ที่นี่คือร้านเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นนางจึงแยกไม่ออกเลยว่าใครมีขอบเขตสูงกว่ากันแน่

แต่ใต้หล้าไพศาลอันเป็นบ้านเกิดนั้น ต่อให้เป็นอุตรกุรุทวีปที่ขนบธรรมเนียมประเพณีใกล้เคียงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเหล้าบนโต๊ะ หรือประชุมกันเพื่อปรึกษาธุระ สถานะสูงต่ำ ขอบเขตเป็นอย่างไร มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้ว

ผลกลับกลายเป็นว่าร้านนี้กลับดีนัก กิจการดีเกินไป ม้านั่งตัวยาวและโต๊ะเหล้าล้วนไม่พอใช้ แต่กระนั้นก็ยังมีคนยินดีไปนั่งดื่มข้างทาง แต่เริ่นหลงฉงก็สังเกตเห็นว่าดูเหมือนท่ามกลางผู้ฝึกกระบี่ที่นั่งยองสูดบะหมี่หยางชุนซูดๆ นั้น ก่อนหน้านี้มีคนเอ่ยทักทาย พูดสัพยอกคนผู้หนึ่งอยู่สองสามคำ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง!

ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด ต่อให้เป็นอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ มีมากนักหรือ?! แต่กลับเจ้าไม่มีแม้แต่ม้านั่งตัวเล็กๆ มาให้ข้าสักตัว ให้ข้าต้องมานั่งยองอยู่ข้างทางเหมือนผีหิวโหยที่มาเกิดใหม่น่ะหรือ?

ไม่ว่าจะราชวงศ์โลกมนุษย์ด้านล่างภูเขาของทวีปใหญ่แห่งใดก็ตามในใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด มีใครบ้างที่ไม่ใช่แขกผู้สูงศักดิ์ของเหล่าจักรพรรดิ มีเกียรติจนจักรพรรดิแทบจะยกเอาตับมังกรกระดูกหงส์ในตำนานมาให้เขากิน?

ประเด็นสำคัญคือเมื่อครู่นี้ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่อาวุโสท่านนี้เห็นเฉินผิงอันก็เปิดปากด่าทันที บอกว่าหลอกเอาเงินแต่งเมียที่เขาสะสมอย่างยากลำบากมาหลายปีไปแล้ว ทีนี้จะมาหลอกเอาเงินค่าโลงของเขาไปอีกใช่ไหม?

จากนั้นเถ้าแก่รองที่กำลังพูดคุยอยู่กับหลูสุ้ยก็เอ่ยขออภัยหลูสุ้ยหนึ่งคำ แล้วยื่นคอยาวออกไปพูดกับผู้ฝึกกระบี่อาวุโสว่าไสหัวไป ตามมาด้วยส่งสายตาพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น ผลคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ชำเลืองไปเห็นแผ่นหลังของบุรุษท่านหนึ่งที่กินดื่มอิ่มหนำจึงลุกขึ้นยืนแล้ว ก็พลันร้องว่า ปัดโธ่เอ้ย เข้าใจผิดแล้วๆ ต้องโทษฝีมือการเดิมพันของตนที่ไม่เชี่ยวชาญถึงแก่นมากพอ เถ้าแก่รองเป็นคนมีมโนธรรมสูงส่งขนาดนี้ ไหนเลยจะเคยหลอกเอาเงินคนอื่นแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง มีแต่จะขายเหล้าหมักตระกูลเซียนที่ราคาถูกที่สุดในใต้หล้า จากนั้นผู้เฒ่าก็หิ้วกาเหล้าขึ้นมาควักเงินจ่ายเสร็จก็เผ่นหนีไป วิ่งไปพลางหันไปถ่มน้ำลายลงพื้น ก่อนพูดว่า เถ้าแก่รอง จิตสำนึกของเจ้าหล่นอยู่บนพื้นแล้ว รีบมาเก็บเร็วเข้า ระวังจะถูกหมาคาบไปล่ะ ทางฝั่งนักดื่มที่ร้านเหล้าพากันร้องว่าดีเสียงดัง รู้สึกเพียงว่าช่างสาแก่ใจยิ่งนัก มีคนผู้หนึ่งเกิดความวู่วามจึงสั่งเหล้ามาเพิ่มอีกหนึ่งกา

เริ่นหลงฉงรู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่ของที่นี่ต่างก็ประหลาดอย่างมาก หน้าไม่อาย ทั้งคำพูดและการกระทำช่างไร้สาระได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กวาดตามองรอบด้าน ทุกคนที่เต็มไปด้วยความกังขา พอมีคนพูดแฉออกมา ความกังขาก็ไม่เหลืออยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดใจที่คลางแคลงก็ลดน้อยลงไปเยอะมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!