กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 602

พอจะมองเห็นเค้าโครงของภูเขาห้อยหัวได้ลางๆ

เฉาฉิงหล่างทอดสายตามองไป เอ่ยอย่างไม่กล้าเชื่อว่า “นี่คือตราประทับอักษรภูเขาชิ้นหนึ่งจริงหรือ?”

จ้งชิวกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ต่างบ้านต่างเมือง ช่างมีทัศนียภาพงดงามยิ่งใหญ่มากมายเสียเหลือเกิน”

เผยเฉียนนั่งอยู่บนราวระเบียงกับชุยตงซาน หันหน้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “ปัญญาชนสองคน แต่กลับมีความรู้ไม่เยอะเท่าข้า เจ้าเห็นข้าไหม พอเห็นภูเขาห้อยหัวนั่น ข้ามีท่าทางประหลาดใจหรือ? ไม่มีเลยสักนิด จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นภัยจากการที่เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว ไม่รู้จักออกเดินทาง แต่ข้านั้นไม่เหมือนกัน คัดอักษรไม่หยุด แล้วยังเคยท่องผ่านหมื่นภูเขากับอาจารย์พ่อมาก่อน อาจารย์จ้งเคยไปเยือนใบถงทวีปที่ใหญ่ขนาดนั้นมาบ้างหรือไม่? เคยไปเยือนแคว้นชิงหลวนของแจกันสมบัติทวีปไหม? อีกอย่างข้าเองก็คัดหนังสือทุกวัน ใต้หล้านี้เรื่องของการคัดหนังสือจนกองกันเป็นภูเขา นอกจากพี่หญิงเป่าผิงแล้ว หากข้าบอกว่าตัวเองเป็นที่สาม ก็คงไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นที่สอง!”

ชุยตงซานพูดด้วยใบหน้าฉงน “แต่เมื่อครู่นี้ที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่เห็นภูเขาห้อยหัวก็ดูเหมือนว่าจะน้ำลายไหลด้วยนะ ท่าทางราวกับอยากจะย้ายมันกลับภูเขาลั่วพั่วอย่างไรอย่างนั้น วันหน้าใครไม่ยอมแพ้ก็เอาตราประทับนี่ไปทุบหัวคนคนนั้น”

เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “สมบัติชิ้นโตขนาดนั้น ใครเห็นแล้วจะไม่อยากได้บ้างเล่า”

“เกี่ยวกับเรื่องของการคัดหนังสือนี้ อันที่จริงพ่อครัวเฒ่าที่เจ้าดูแคลนความรู้ของเขาค่อนข้างจะร้ายกาจ ในอดีตผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการเขียนหนังสือประวัติศาสตร์ของราชสำนักก็เป็นเขาที่ดึงเอาตัวขุนนางบุ๋นผู้รอบรู้ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าสิบกว่าท่าน และบัณฑิตของสำนักฮั่นหลินที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังและชีวิตชีวาอีกยี่สิบกว่าคนให้มาช่วยกันเรียบเรียง คัดลอกตำราประวัติศาสตร์ไม่หยุดทั้งกลางวันกลางคืน สุดท้ายเขียนออกมาได้ถึงสิบล้านตัวอักษร ตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กที่เป็นฝีมือของจูเหลี่ยนั้นยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุดจริงๆ หากจะบอกว่าเชี่ยวชาญอย่างล้ำลึกก็ไม่มากเกินไป ต่อให้เป็นหออักษรทั้งหลายของใต้หล้าไพศาลที่ทุกวันนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด ลายมือก็ยังสู้ของจูเหลี่ยนในอดีตไม่ได้ การเรียบเรียงตำราครั้งนี้ถือเป็นการรวบรวมความรู้ที่น่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว น่าเสียดายที่นักพรตเฒ่าจมูกโคบางคนรู้สึกขวางหูขวางตาก็เลยขยับปลายนิ้ว หายนะล่มแคว้นครั้งนั้นเหมือนการจุดไฟเตาเผาบูชาตัวอักษรให้กับขนบธรรมเนียมของบางแห่งในใต้หล้าไพศาล ทำการเผาวัตถุอย่างกระดาษที่ถูกทิ้งและเศษซากเครื่องกระเบื้องที่มีตัวอักษรโดยเฉพาะ ทั้งหมดถูกเผาทิ้งไปถึงเจ็ดแปดส่วน ความตั้งใจและความทุ่มเทของบัณฑิต ความรู้บนหน้ากระดาษต้องกลับคืนสู่ฟ้าดินไปเกินครึ่งในคราวเดียว”

ชุยตงซานเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด พอเล่าถึงประวัติเก่าแก่ยาวนานของสถานที่แห่งหนึ่งไปแล้วก็โบกชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นลง เอ่ยชวนคุยว่า “ลำพังแค่ดูไม่จดจำ จอกแหนลอยคว้างไปตามกระแสคลื่น ไม่เหมือนคนอื่นที่เห็นหนึ่งเป็นหนึ่ง เห็นสองได้สอง พอเห็นสามก็รู้เป็นร้อยพัน ทำไปตามลำดับขั้นตอนก็คือเสากลางกระแสน้ำ พอน้ำลอยมากระทบก็เกิดเป็นคลื่นสูงหมื่นจ้างโถมตัวท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา”

เผยเฉียนถลึงตาใส่ “ห่านขาวใหญ่ สรุปว่าเจ้าอยู่ฝั่งไหนกันแน่? ทำไมแขนเจ้าชอบหันออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย (เปรียบเปรยว่าเข้าข้างคนอื่น ไม่เข้าข้างคนของตัวเอง) จะให้ข้าช่วยบิดให้เจ้าไหม? ตอนนี้การเรียนวรยุทธของข้าสำเร็จไปขั้นใหญ่แล้ว ได้ประมาณหนึ่งส่วนของอาจารย์แล้วล่ะ เวลาออกแรงจะไม่รู้จักหนักเบา เสียงกร๊อบหนึ่งครั้ง นึกจะหักก็หักง่ายๆ พอไปเจออาจารย์พ่อ เจ้าห้ามเอาไปฟ้องเด็ดขาดเลย”

ส่วนที่บอกว่าความรู้ของพ่อครัวเฒ่าหรือการเขียนตัวอักษรอะไรนั่น ใครจะไปเชื่อ

อาจารย์พ่อแค่ใช้ฝ่ามือข้างเดียวกับคำพูดอีกสองสามประโยค ก็สามารถทำให้พ่อครัวเฒ่ายอมยกธงขาวแล้วสงบใจทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวแต่โดยดีได้แล้ว

ชุยตงซานยื่นฝ่ามือออกมา “ขอข้ายืมยันต์กระดาษเหลืองมาแปะหน้าผากให้หายตกใจหน่อย ศิษย์พี่หญิงใหญ่ทำให้ข้าตกใจจะตายอยู่แล้ว”

เผยเฉียนขมวดคิ้วพูด “อย่าเหลวไหลนะ อาจารย์พ่อเคยบอกว่า ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกห้ามหยิบยันต์ที่เป็นสมบัติของตัวเองออกมาอวดส่งเดช สถานที่ที่มีผู้ฝึกตนรวมตัวกันอยู่มากมาย ง่ายจะทำให้คนอิจฉา พอคนอิจฉาก็เกิดเรื่องถูกผิดได้ง่าย ตนเองไม่ผิดกลับชักนำให้คนอื่นคิดว่าผิด แล้วพอไม่ยอมรับผิดก็จะเกิดทะเลาะเบาะแว้งกัน สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจกล่าวคำว่า ‘ข้าไม่ผิด’ ออกมาได้ หากอยู่ในสถานที่ที่มีภูตผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกันมากมายก็จะยิ่งถูกมองเป็นการท้าทาย นี่ข้าไม่ได้พูดเหลวไหลไปเองนะ ปีนั้นตอนที่ข้าอยู่ใบถงทวีปกับอาจารย์พ่อ ในป่าร้างชานเมืองที่ดวงจันทร์ส่องแสงยามราตรีลมพัดแรง ก็เคยได้เจอกับขบวนเทพภูเขาสู่ขอภรรยา ข้าแค่มองมากไปหน่อย มองมากไปแค่ครั้งเดียวจริงๆ พวกภูตผีเหล่านั้นก็พากันหันมาถลึงตาใส่ข้าอย่างพร้อมเพรียง เจ้าพวกตัวดี เจ้าลองเดาสิว่าเป็นอย่างไร อาจารย์พ่อเห็นข้าได้รับความอยุติธรรมใหญ่เทียมฟ้าก็เลยรีบถลึงตากลับไปทันที พวกองค์เทพและภูตผีของขุนเขาสายน้ำที่แต่ละตนเย่อหยิ่งจองหองเหมือนถูกฟ้าผ่า จากนั้นก็พากันหมอบกราบ คุกเข่าขอร้อง แม้แต่เกี้ยวที่มีสตรีซึ่งไม่รู้ว่าเป็นคนหรือผีนั่งอยู่ก็ยังไม่กล้าไม่มีใครกล้ายกขึ้นมา คาดว่าคงถูกโยนทิ้งจนแตกพังบ้างล่ะ ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ในใจของข้ายังรู้สึกผิดไม่หายเลย”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ “เล่าเรื่องจริงจบแล้ว ไหนลองเล่าฉบับไม่จริงบ้างสิ”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ฉบับไม่จริงน่ะหรือ ก็มีอยู่เหมือนกัน ก็คืออาจารย์พ่อลุกขึ้นยืน เป็นฝ่ายเอ่ยขออภัยหมัวมัวเฒ่าที่เป็นคนนำขบวนก่อน จากนั้นยังกล่าวอวยพรให้พวกเขาอย่างจริงใจ หลังจบเรื่องยังสั่งสอนข้าไปรอบหนึ่ง แล้วยังบอกด้วยว่าเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม ผ่านไปสองครั้งแล้ว หากยังทำผิดอีกจะไม่เกรงใจข้าแล้วจริงๆ”

เผยเฉียนขยี้ตา แสร้งทำท่าเช็ดน้ำตาเอ่ยว่า “ต่อให้จะเป็นแค่เรื่องโกหก แต่พอคิดตามก็ยังทำให้คนเสียใจจนน้ำตาไหลได้อยู่ดี”

ชุยตงซานยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อย่าลืมเก็บขี้ตาไว้ล่ะ ไม่ใช่เช็ดออกหมด”

เผยเฉียนปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัด ขณะที่อยู่ห่างจากศีรษะของชุยตงซานหนึ่งชุ่นก็เก็บหมัดมา หัวเราะคิกคัก “กลัวหรือไม่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!