กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 601

ความหมายคร่าวๆ ของเว่ยป้อ เฉินหน่วนซู่จะต้องเข้าใจกระจ่างชัดที่สุด เพียงแต่โดยทั่วไปแล้วนางจะไม่เป็นฝ่ายเอ่ยอะไรก่อน ต่อมาก็เป็นเผยเฉียน เพราะทุกวันนี้นางเองก็ไม่แย่ ถึงอย่างไรหลังจากที่พ่อครูจากไป นางก็ไม่อาจไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้อีก ก็เลยเปิดหนังสือหลายเล่มอ่านเอาเอง ตำราที่อาจารย์พ่อ*ทิ้งไว้ในชั้นหนึ่งนางอ่านจบหมดแล้ว จากนั้นก็มีตำราบางส่วนที่ให้หน่วนซู่ช่วยซื้อมาให้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่สนสี่สนแปดอะไรทั้งนั้น ท่องไว้ก่อนค่อยว่ากัน ในเรื่องของการท่องตำราจดจำสิ่งของนั้น เผยเฉียนเชี่ยวชาญกว่าเฉินหน่วนซู่เสียอีก หากไม่เข้าใจหรือเข้าใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ ก็จะข้ามไปก่อน เผยเฉียนเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก บางครั้งหากอารมณ์ดีก็จะถามคำถามจากพ่อครัวเฒ่า แต่ไม่ว่าอย่างไร เผยเฉียนก็มักจะรู้สึกว่าหากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์พ่อที่เป็นคนตอบคำถาม คงจะดีกว่านี้มาก ดังนั้นจึงค่อนข้างรังเกียจการถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจจากพ่อครัวเฒ่าที่มีความรู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ อยู่บ้าง ไปๆ มาๆ พ่อครัวเฒ่าก็หมดอาลัยตายอยากไปเอง มักจะชอบพูดจาไร้สาระว่าความรู้ของตัวเขาไม่ได้แย่ไปกว่าของอาจารย์จ้งเลย แน่นอนว่าเผยเฉียนย่อมไม่เชื่อ จากนั้นมีครั้งหนึ่งที่ทำกับข้าว พ่อครัวเฒ่าก็เลยจงใจใส่เกลือมากกว่าปกติ

เฉินหน่วนซู่เดินเอาเมล็ดแตงกำมือหนึ่งไปส่งให้เว่ยป้อ

เว่ยป้อเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นสองมือออกไปรับ จากนั้นก็เอนหลังพิงราวรั้ว เริ่มแทะเมล็ดแตงพลางคุยเล่นกับแม่นางน้อยทั้งสาม

บนฝ่ามือข้างหนึ่งที่แบออก มีเมล็ดแตงอยู่หนึ่งกองและเปลือกเมล็ดแตงอีกหนึ่งกอง ภูเขาใหญ่กลายเป็นภูเขาเล็ก และภูเขาเล็กก็กลายเป็นภูเขาใหญ่ สุดท้ายเหลือภูเขาเพียงลูกเดียว

นอกราวระเบียงคือลมฝน

ในระเบียงคือความอบอุ่น

เว่ยป้อรู้ความคิดภายในใจของเฉินผิงอัน

คือต้องการให้ลูกศิษย์สองคนและนักเรียนคนหนึ่ง**รีบไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้เร็วสักหน่อย หากไปช้ากว่านั้น คนของใต้หล้าไพศาลจะยังมีโอกาสได้เห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ หรือ? จะยังสามารถไปเยือนที่นั่นราวกับไปท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำ มองเป็นทัศนียภาพแห่งหนึ่งในสวนที่ใต้หล้าไพศาลบุกเบิกมาได้อีกหรือ?

เพียงแต่ว่าไม่ได้เขียนบอกไว้ในจดหมาย และเว้ยป้อก็ยังมองออกถึงความเป็นกังวลอีกอย่างหนึ่งของเฉินผิงอัน จ้งชิวราชครูแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนคนเดียวต้องพาเด็กสองคนอย่างเฉาฉิงหล่างที่ก่อนหน้านี้เคยพาท่องไปทั่วพื้นที่มงคลรากบัวแล้ว รวมไปถึงเผยเฉียนอีกคนหนึ่ง อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ค่อยวางใจสักเท่าใด แต่ภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ จูเหลี่ยนที่แทบจะถือว่าเป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่วครึ่งตัวได้แล้วย่อมไม่มีทางจากไปได้ คนในม้วนภาพอีกสามคนที่เหลือต่างก็มีภาระหน้าที่แตกต่างกันไป ต่างก็มีความต้องการบนมหามรรคาที่ไม่เหมือนกัน ส่วนเขาเว่ยป้อก็ยิ่งออกจากแจกันสมบัติทวีปไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เฉินผิงอันเป็นกังวลอย่างแท้จริงก็คือการขาดแคลนปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธและผู้ฝึกตนบนภูเขาลั่วพั่ว ส่วน ‘โจวเฝย’ ผู้ถวายงานที่เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้วผู้นั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะเชื้อเชิญตัวเจียงซ่างเจินมาได้ เขาก็ไม่มีทางเปิดปากแน่นอน

อันที่จริงหากจดหมายฉบับนี้มาถึงเร็วกว่านี้ย่อมดีกว่า เพราะสามารถให้พวกเขาไปเยือนนครมังกรเฒ่าพร้อมกับหลิวจิ่งหลงแห่งอุตรกุรุทวีป แล้วค่อยไปเยือนภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่

ตอนนี้ในใจเว่ยป้อจึงวางแผนเตรียมจะที่ลองทำบางอย่าง ดูว่าชุยตงซานที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับเสมอผู้นั้นจะสามารถช่วยคลายความทุกข์ให้แก่อาจารย์ของตนได้หรือไม่

ไม่กี่วันต่อมา ภูเขาพีอวิ๋นก็ได้รับกระบี่บินส่งจดหมายลับ ในจดหมายบอกให้จ้งชิว เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างเดินทางลงใต้ไปก่อน แล้วไปรอเขาชุยตงซานที่นครมังกรเฒ่า

จากนั้นทุกคนก็จะโดยสารเรือข้ามฟากเดินทางไปหาอาจารย์ของเขาอย่างครึกครื้นด้วยกัน

พอได้ยินว่าห่านขาวใหญ่ผู้นั้นจะตามไปด้วย ความกลัดกลุ้มเล็กๆ ที่เดิมทีมีอยู่ในใจเผยเฉียนก็สลายหายไปสิ้น

…….

เดิมทีนัดหมายกันว่าอีกประมาณครึ่งเดือนจะมีการถามหมัดอีกครั้ง อวี้เจวี้ยนฟูกลับเปลี่ยนใจ บอกว่าไว้ค่อยกำหนดวันอีกที

พวกนักพนันในนครก็ไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรเถ้าแก่รองคนนั้นก็มีฝีมือการเล่นพนันที่ไม่ธรรมดา หากรีบร้อนเกินไป กลับง่ายที่จะหลงกลอีกฝ่าย

เพียงแต่พวกนักพนันเก่าแก่ที่ประสบการณ์โชกโชนกลับเริ่มคิดไม่ตก กลัวก็แต่ว่าอวี้เจวี้ยนฟูแม่นางน้อยคนนั้นจะไม่ทันระวังดื่มเหล้าของเถ้าแก่รองเข้าไป สมองเกิดเสียขึ้นมา ผลกลายเป็นว่าจากการประลองฝีมือดีๆ กลับกลายไปเป็นการช่วยกันร้องช่วยกันรับ ถึงเวลานั้นจะเอาเงินมาจากที่ไหน? ตอนนี้มาลองคิดดูแล้ว อย่าว่าแต่พวกนักพนันที่ประมาทเลย ต่อให้เป็นพวกเจ้ามือก็ยังไม่สามารถหากำไรเงินเทพเซียนจากตัวของเฉินผิงอันได้สักกี่มากน้อย

ดังนั้นนักพนันเฒ่าคนหนึ่งที่หลังจากดื่มเหล้าเข้าไปจึงเอ่ยประโยคปลงอนิจจังว่า สีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าคราม (เปรียบเปรยว่าศิษย์เก่งกว่าครู) วันหน้าบนโต๊ะพนันน้อยใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราคงต้องเจอกับลมคาวฝนเลือดกันแล้ว

ในเมื่อไม่มีกระท่อมให้พักอาศัย ถึงอย่างไรอวี้เจวี้ยนฟูก็เป็นสตรี ไม่สะดวกจะปูผ้านอนอยู่บนหัวกำแพงทุกวัน ดังนั้นจึงทำเหมือนเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่ไปพักอยู่ในจวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียน เพียงแต่ว่าทุกวันจะต้องไปกลับหัวกำแพงเมืองเพื่อฝึกหมัดหลายชั่วยาม ซุนจวี้เฉวียนไม่มีความประทับใจอันใดต่อกลุ่มเจ้าลูกกระต่ายเยี่ยนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง ทว่าสำหรับคุณหนูตระกูลอวี้ของแผ่นดินกลางผู้นี้กลับรู้สึกไม่เลว จึงเผยตัวอยู่หลายครั้งอย่างที่หาได้ยาก คอยให้คำแนะนำโดยใช้เวทกระบี่มาพูดถึงวิชาหมัด ทำให้อวี้เจวี้ยนฟูรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

หลินจวินปี้นอกจากจะไปฝึกกระบี่บนหัวกำแพง ยามอยู่ในจวนซุนส่วนใหญ่ก็มักจะนั่งเล่นหมากล้อมเพียงลำพัง เพื่อทำความเข้าใจกับ ‘ตำราเมฆหลากสี’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าเล่มนั้น

เรื่องที่หลินจวินปี้สนใจมีอยู่สามเรื่อง สถานการณ์ใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง การฝึกตน หมากล้อม

สถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นไร ตอนนี้หลินจวินปี้ได้แต่มองดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น การฝึกตนเป็นเช่นไร ไม่เคยเกียจคร้าน ส่วนวิชาหมากล้อม อย่างน้อยในราชวงศ์เส้าหยวน เด็กหนุ่มก็แทบจะไม่เจอกับคู่ต่อสู้แล้ว คนที่เขาอยากพบเจอที่สุดก็คือซิ่วหู่ ชุยฉาน

ศิษย์พี่เปียนจิ้งชอบไปที่หอมายา เวลานี้จึงไม่เห็นแม้แต่เงา

และเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ไม่เคยห้ามปรามเปียนจิ้งที่ไม่เอาจริงเอาจังผู้นั้น เรื่องของการฝึกกระบี่ ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว ถ้าอย่างนั้นใต้ฝ่าเท้าของแต่ละคนก็มีเส้นทางเป็นของตัวเอง แค่เดินหน้าขึ้นสู่ที่สูงไปก็พอ

หากไร้เส้นทางนี้ จะสร้างโอสถได้อย่างไร

ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้ อวี้เจวี้ยนฟูพอจะพูดคุยกับจูเหมยได้อยู่บ้าง

เพียงแต่คำว่าพูดคุยนี้ แท้จริงแล้วเป็นจูเหมยที่พร่ำพูดเจื้อยแจ้วอยู่คนเดียว บวกกับที่อวี้เจวี้ยนฟูเองก็รับฟังได้อย่างไม่มีเบื่อหน่าย

จูเหมยยังช่วยซื้อตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มหนาหนักมาให้อวี้เจวี้ยนฟู ตอนนี้ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีการจัดพิมพ์ที่นับว่าประณีตงดงามแล้ว ว่ากันว่าเป็นฝีมือของตระกูลเยี่ยน น่าจะพอได้ทุนคืนอยู่บ้าง แต่ไม่อาจได้กำไรมามากนัก

วันนี้จูเหมยมานั่งดื่มชาในห้องของอวี้เจวี้ยนฟู มองอวี้เจวี้ยนฟูที่พลิกเปิดตำราตราประทับอ่านอย่างตั้งใจ จูเหมยก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “พี่หญิงอวี้ ได้ยินมาว่าท่านตรงจากทวีปเกราะทองมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อยากไปพบว่าที่สามีบ้างเลยหรือ? อันที่จริงหลังจากที่ท่านออกจากบ้านเกิดไป ไหวเฉียนผู้นั้นก็มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นว่าเป็นสหายกับเฉาสือ กับหลิวโยวโจว หรืออย่างเช่นว่าทำให้พวกคนหนุ่มสาวมากมายในสำนักอักษรจงรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ มีข่าวลือดีๆ เกี่ยวกับเขาแพร่ไปมากมาย พี่หญิงอวี้ เป็นเพราะท่านไม่ชอบการหมั้นหมายที่มีมาตั้งแต่เด็กนี่เฉยๆ ก็เลยอยากเอาชนะพวกผู้อาวุโส หรือว่าเคยคบค้าสมาคมกับไหวเฉียนเป็นการส่วนตัวมาก่อน ก็เลยรู้สึกว่าชื่นชอบไม่ลงจริงๆ”

อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ย “ทั้งสองอย่าง”

จูเหมยถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องพูดถึงไหวเฉียนผู้นี้แล้ว มาพูดถึงเซียนกระบี่ผู้เฒ่าโจวกันดีไหม? ดูเหมือนว่าการลงมือในแต่ละครั้งของเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ล้วนน่าเหลือเชื่ออย่างมาก คราวก่อนที่ลงมือก็คล้ายว่าเพราะต้องการทวงความเป็นธรรมให้พี่หญิงอวี้ ตอนนี้ยังมีข่าวลือที่น่าเชื่อถือแพร่ไปมากมาย บอกว่าการลงมือของเทพเซียนผู้เฒ่าโจวครั้งนั้นอำมหิตเกินไป อันที่จริงก็ได้ถูกผู้อำนวยการของสถานศึกษาท่านหนึ่งซักไซ้เอาความผิดแล้ว”

อวี้เจวี้ยนฟูลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “เรื่องโกหก”

จูเหมยเบิกตากว้าง สายตาเต็มไปด้วยแววคาดหวัง

อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าโจวสั่งสมคุณความชอบไว้มาก ขอแค่ไม่ทำเกินกว่าเหตุ ทางสำนักศึกษาและสถานศึกษาก็ไม่มีทางไปหาเรื่องเขา เรื่องนี้เจ้ารู้คนเดียวก็พอแล้ว อย่าได้เอาไปแพร่งพรายกับใคร”

จูเหมยพยักหน้ารับ

อวี้เจวี้ยนฟูยังเอ่ยเตือนเพิ่มอีกประโยค “หากเจ้าไม่อาจควบคุมปากของตัวเองในเรื่องนี้ได้ แล้วปล่อยให้คนอย่างพวกเหยียนลวี่ได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนที่ไม่เล็กเรื่องหนึ่ง เจ้าระวังไว้หน่อย”

จูเหมยได้แต่พยักหน้ารับต่อ

แล้วจู่ๆ จูเหมยก็ปิดปากหัวเราะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!