เผยเฉียนหยิบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ชุยตงซานพลางเอ่ยเตือนว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ของอาจารย์พ่อก็ไม่ใช่อาจารย์ลุงใหญ่ของข้าหรอกหรือ? แต่ข้ายังไม่ได้เตรียมของขวัญให้กับอาจารย์ลุงใหญ่เลยนะ”
ชุยตงซานตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “อาจารย์ลุงใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟ้าของเจ้าคนนั้นเป็นคนดุร้ายนักล่ะ บนหน้าผากสลักตัวอักษรใหญ่ๆ ห้าคำว่า ทุกคนล้วนติดเงินข้า”
เผยเฉียนหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล อาจารย์ลุงใหญ่ของเจ้าคนนั้น หน้าตาเย็นชาจิตใจอบอุ่น คือคนที่มีวิชากระบี่สูงที่สุดในใต้หล้าไพศาล วันหน้าเจ้าสามารถร่ายวิชากระบี่มารคลั่งชุดนั้นให้อาจารย์ลุงใหญ่ของเจ้าดูได้”
เผยเฉียนกล่าวอย่างอกสั่นขวัญผวา “อาจารย์พ่อท่านลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้ข้าเดินได้ไม่ถนัดนัก ตอนนี้ขาก็เริ่มเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว ตอนที่เดินละเมอไม่รู้ว่าไปชนอะไรเข้า ไม่สามารถร่ายวิชากระบี่ที่มีพลังน้อยนิดไม่มีค่าพอให้พูดถึงนั่นได้แล้ว อย่าให้อาจารย์ลุงใหญ่เห็นเรื่องตลกเลย ดีไหม”
อยู่ดีๆ ป๋ายโส่วก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าอีกครั้ง
เดินละเมอไปชนบางอย่างเข้า…
ฉีจิ่งหลงกลั้นยิ้ม แล้วจึงพาป๋ายโส่วไปยังจุดอื่นของหัวกำแพงเมือง ทุกวันนี้ป๋ายโส่วเองก็ต้องฝึกกระบี่ร่วมกับลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยด้วย
ตอนที่จากมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ป๋ายโส่วรู้สึกว่าที่แท้การฝึกกระบี่ก็ทำให้คนรู้สึกสบายใจได้ถึงเพียงนี้
เฉินผิงอันเรียกเรือยันต์ออกมา พาพวกเผยเฉียนสามคนออกไปจากหัวกำแพงเมือง มุ่งหน้าไปยังนครทางทิศเหนือด้วยกัน
ในเมื่ออาจารย์ไม่อยู่ ชุยตงซานก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกริ่งเกรงอีก เขาเดินเป็นแนวขวางเหมือนปูอยู่บนหัวกำแพง สะบัดชายแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้างกระโดดขึ้นสูงแล้วค่อยพลิ้วกายลงช้าๆ เดินขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ไปหาศิษย์น้องเล็กในอดีต อาจารย์ลุงในปัจจุบัน พูดคุยเรื่องวันวานกันเสียหน่อย หึหึ พูดคุยเรื่องวันวานกับมารดาเจ้าน่ะสิ ข้าผู้อาวุโสไม่สนิทกับเจ้าจั่วโย่วเลยสักนิด ปีนั้นที่เล่าเรียน หากไม่เป็นเพราะในกระเป๋าของตนที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่พอจะมีเงินอยู่บ้าง กระเป๋าเงินของซิ่วไฉเฒ่าจะไม่ฟีบแบนไปนานหมื่นปี หมื่นๆ ปีเลยหรือ? แล้วเจ้าจั่วโย่วจะยังช่วยซิ่วไฉเฒ่าดูแลเงินกับผายลมอะไรได้อีก
เพียงแต่ว่าปีนั้นซิ่วไฉเฒ่ามีโรงเรียนแท้จริงที่เข้าท่าเข้าที แต่นั่นกลับไม่ใช่คุณความชอบของเขา เพราะถึงอย่างไรแจกันสมบัติทวีปก็อยู่ห่างจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมากเกินไป แรกเริ่มทางตระกูลก็ไม่ได้ส่งเงินมาให้มากนัก สิ่งที่ทำให้เอวของซิ่วไฉเฒ่าแข็งหยัดได้ตรง ดื่มเหล้าได้อย่างเต็มคราบ วันนี้ซื้อตำราพรุ่งนี้ซื้อกระดาษพู่กัน วันมะรืนก็รวบรวมสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือและของประดับตกแต่งได้ครบถ้วนสำเร็จอย่างแท้จริง ยังเป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่ารับลูกศิษย์คนที่สามมา ไอ้หมอนั่นถึงจะเป็นคนที่มีเงินมากที่สุดในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก แล้วก็เป็นคนที่เคารพนับถืออาจารย์มากที่สุด
‘เสี่ยวฉีอา เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากเรียนหมากล้อมเล่า? นี่เป็นเรื่องดีนะ ไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไป ฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขานับว่าพอจะสอนคนอื่นได้ ก็แค่ในโรงเรียนไม่มีกระดานหมากและเม็ดหมากก็เท่านั้น โถเก็บเม็ดหมากของเรือนหลิวหลี กระดานหมากของหอเกือกม้าที่ผลิตจากเจี้ยงโจวที่แม้ว่าจะอยู่ใกล้กับโรงเรียน แต่เจ้าอย่าไปซื้อมาเด็ดขาด แพงเกินไป หากจะซื้อจริงๆ ก็ยอมเดินไกลพันลี้ยังดีกว่าเสียเงินเหรียญหนึ่งไปอย่างเปล่าประโยชน์’
‘ตกลงขอรับ อาจารย์’
‘เสี่ยวฉีอา ช่วงนี้อาจารย์คัดลอกตัวอักษรบนแผ่นศิลาดุจดั่งมีเทพช่วย ทักษะการเขียนตัวอักษรจ้วนซูพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เจ้าอยากเรียนหรือไม่?’
‘ทราบแล้วขอรับอาจารย์ ศิษย์อยากเรียน’
‘เสี่ยวฉีอา เจ้าอ่าน ‘รวมเล่มเมี่ยวหัว’ ฉบับพิมพ์ซ้ำของเอ้อร์โหย่วแล้วกระมัง? กระดาษและรูปเล่มล้วนเป็นเรื่องเล็ก แม้จะแย่ไปหน่อย แต่บัณฑิตอย่างพวกเราก็ไม่ได้ยึดติดกับความสวยงามภายนอกเหล่านี้ อย่าไปพูดถึงพวกมันเลย แต่ตำราของอริยะปราชญ์ล้วนมีความรู้ยิ่งใหญ่ มีคำผิด คำตกหล่นหลายจุด แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร ต่างกันแค่คำเดียว หลายๆ ครั้งก็ทำให้อยู่ห่างไกลจากจุดประสงค์ของอริยะปราชญ์ไปเป็นพันเป็นหมื่นลี้ บัณฑิตอย่างพวกเราไม่ตรวจสอบให้ดีไม่ได้นะ’
‘อาจารย์มีเหตุผล ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ’
แน่นอนว่าไอ้หมอนั่นยังชอบฟ้องเป็นที่สุด แถมแต่ละครั้งที่เอาไปฟ้องยังไม่เคยตกหล่นแม้แต่เรื่องเดียว
‘อาจารย์ ศิษย์พี่จั่วโย่วไม่มีเหตุผลอีกแล้ว อาจารย์ท่านช่วยดูหน่อยว่าใครผิดใครถูก…’
‘ว่าไงนะ? เจ้าเด็กบ้านั่นตีเจ้าอีกแล้วหรือ? เสี่ยวฉี เจ้าเช็ดเลือดกำเดาก่อนเถอะ ไม่ต้องรีบร้อนอธิบายเหตุผลกับอาจารย์ ไปๆๆ อาจารย์จะไปคิดบัญชีกับศิษย์พี่รองให้เจ้าเอง’
‘อาจารย์ เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่จั่ววิเคราะห์ความหมายของตัวอักษรในตำรา เขาเถียงข้าไม่ได้ก็เลย…’
‘ทำไมหัวปูดแบบนี้เล่า?! ก่อกบฏแล้วๆ! ไป! เสี่ยวฉี เจ้าช่วยถือไม้ปัดขนไก่ไปให้อาจารย์ที เอาไม้บรรทัดไปด้วย! อ้อ ใช่แล้ว เสี่ยวฉีอา ม้านั่งนั่นไม่ต้องเอาไปหรอก หนักเกินไป’
‘อาจารย์…’
‘ไป! ไปหาศิษย์พี่รองของเจ้ากัน!’
‘อาจารย์ คราวนี้เป็นศิษย์พี่ชุย เขาเล่นหมากล้อมแล้วขี้โกง ข้าไม่อยากเรียนวิชาหมากล้อมกับเขาแล้ว ข้ารู้สึกว่าคนที่เล่นหมากล้อมแล้วล้มกระดานไม่ถือว่าเป็นนักเล่นที่แท้จริง’
‘หา?’
‘อาจารย์ล้มกระดานก็เพื่อสอนเคล็ดลับการเล่นวิชาหมากล้อมมากกว่าเดิมให้ศิษย์ แน่นอนว่าจะเหมารวมไม่ได้’
‘ไป คราวนี้พวกเราเอาม้านั่งไปด้วย! แต่ก็อย่าตีจริงๆ นะ เอาแค่ขู่ให้กลัว แค่ให้ดูน่าเกรงขามก็พอ’
……
บัณฑิตเรียนหนังสือ คนศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะยิ่งคนที่อายุยืนเพราะฝึกตน
อันที่จริงเรื่องเก่าๆ ในอดีตมีอยู่มากมาย
ชุยตงซานไม่ใช่เจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานผู้นั้น
แต่ชุยตงซานก็มักจะคิดถึงเรื่องราวที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรพวกนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องในอดีตของคนในอดีต
โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าทุกครั้งที่คนผู้นั้นไปฟ้องอาจารย์ให้เล่นงานศิษย์พี่ศิษย์น้อง หรือไม่ตัวเองก็ถูกอาจารย์แกล้งเสียเอง ศิษย์พี่ใหญ่ในอดีตผู้นั้นมักจะไปนั่งดูเรื่องสนุกอยู่หน้าประตูหรือไม่ก็นอกหน้าต่างอยู่เสมอ
ดังนั้นจึงเห็นมากับตา ได้ยินมากับหูตัวเอง
ชุยตงซานรู้เรื่องหนึ่งชัดเจนดียิ่งกว่าใคร
เรื่องในอดีตทุกเรื่องที่มองดูเหมือนว่าไม่มีความสำคัญ ขอแค่ยังจดจำได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วจริงๆ แต่เป็นเรื่องในวันนี้ เรื่องในอนาคต เพราะมันจะคอยวนเวียนอยู่ในหัวใจไปตลอดชีวิต
โดยไม่ทันรู้ตัว ชุยตงซานก็ขยับเข้ามาใกล้จั่วโย่วแล้ว
จั่วโย่วยังคงหลับตาทำสมาธิ นั่งอยู่บนหัวกำแพง บำรุงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่น
สำหรับการมาถึงของชุยตงซาน อย่าว่าแต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเลย แม้แต่จะเปิดตามองสักครั้งเขาก็ยังไม่ทำ
ชุยตงซานกระโดดลงมาจากหัวกำแพง เดินห่างออกมาจากหัวกำแพงและแผ่นหลังของคนผู้นั้นประมาณยี่สิบก้าว
เด็กหนุ่มชุดขาวกระโดดผลุงขึ้น สองเท้าดีดปัดสะเปะสะปะอย่างว่องไว จากนั้นก็ร่ายกระบวนท่าหมัดมั่วซั่วใส่แผ่นหลังของจั่วโย่ว
พอขยับเปลี่ยนตำแหน่งแล้วก็ทำต่อ ล้วนเป็นกระบวนท่าหมัดและเท้าอันเผด็จการแห่งยุทธภพที่มีชื่อเสียงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่ว
บางครั้งตอนที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศยังพยายามงอตัวเหยียดแขนไปแตะหลังเท้าให้ได้ด้วย เพราะคิดว่าท่านี้ต้องสง่างามอย่างถึงที่สุดเป็นแน่
สุดท้ายจึงยืนด้วยท่าไก่ทองขาเดียวอย่างงดงาม มือสองข้างแบออกทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน พอทำทุกอย่างนี้เสร็จ สีหน้าก็ปลอดโปร่งสดชื่น
หนึ่งร้อยกระบวนท่าผ่านไป ใช้ตบะของขอบเขตหยกดิบเล็กๆ ก็สามารถต่อสู้ได้สูสีกับเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ นี่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่ไม่เล็กไม่ใหญ่อย่างหนึ่ง
จั่วโย่วคร้านจะมองเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นด้วยซ้ำ เพียงเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “เจ้าอยากถูกข้าฟันตายด้วยกระบี่เดียว หรืออยากตายเพราะถูกสับหลายๆ ที?”
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ มีคนข่มขู่ข้า น่ากลัวยิ่งนัก”
ชุยตงซานเอายันต์แปะลงไปบนหน้าผากตัวเองเสียงดังเพี๊ยะ จากนั้นก็ร้องอ้อ “ลืมไปว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้อยู่ด้วย”
จั่วโย่วยื่นมือออกมาคว้าจับ ใช้ปณิธานกระบี่หลอมรวมกระบี่ยาวเล่มหนึ่งขึ้นมา
เขาถึงขั้นไม่ยินดีจะชักกระบี่ออกจากฝักจริงๆ ด้วยซ้ำ
คนที่อยู่ด้านหลังผู้นี้ไม่คู่ควรกับกระบี่ของเขาแม้แต่น้อย
เจ้าชุยฉานอาจจะไม่ละอายใจต่อแจกันสมบัติทวีป ไม่รู้สึกผิดต่อใต้หล้าไพศาล
แต่เจ้าไม่มีสิทธิ์บอกว่าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย บอกว่าตัวเองไม่รู้สึกผิดต่ออาจารย์!
เพราะข้าจั่วโย่วคือลูกศิษย์ของอาจารย์ ในอดีตถึงได้เป็นศิษย์น้องของเจ้าชุยฉาน!
ทว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สายของเหวินเซิ่ง ข้าจั่วโย่วต่างหากจึงจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่
ชุยตงซานตะเบ็งเสียง “เจ้าหัดเคารพศิษย์หลานของตัวเองบ้างนะ!”
จั่วโย่วถือกระบี่ลุกขึ้นยืน
เมื่อเทียบกับภาพบรรยากาศดั่งขุนเขาตั้งตระหง่านยามที่นักพรตน้อยผู้เฝ้าประตูภูเขาห้อยหัวลุกขึ้นยืนแล้ว การลุกขึ้นของจั่วโย่วกลับผ่อนคลายดั่งเมฆบางสายลมอ่อนเบา
ปราณกระบี่มากเกินไปหนักเกินไป แล้วปณิธานกระบี่จะน้อยได้หรือ ก็แค่สอดคล้องกับมหามรรคาจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินก็เท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!