เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก แต่กลับไม่ได้ประทานมะเหงกเป็นรางวัลอีกครั้ง
บางทีผ่านไปอีกไม่กี่ปี เผยเฉียนตัวสูงขึ้นอีกหน่อย ไม่เหมือนแม่นางน้อยอีกต่อไป ต่อให้จะเป็นอาจารย์ก็คงเขกหัวนางตามใจชอบไม่ได้อีกแล้วกระมัง พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเขกมะเหงกลงไปอีกที ทำเอาเผยเฉียนไม่กล้าหมุนตัวส่งเดชอีก นางยื่นมือมาลูบหัวตัวเอง เดินไปข้างกายอาจารย์พ่อพลางยิ้มตาหยีถามว่า “อาจารย์พ่อ ในตำราบอกว่าเทพเซียนลูบหัวข้า ผูกผมเป็นอมตะ อาจารย์พ่อว่าวันใดวันหนึ่งข้าจะถูกท่านตีจนสติปัญญาเปิดโล่งหรือไม่ ถึงเวลานั้นข้าก็จะทั้งเรียนวิชาหมัด ทั้งฝึกวิชากระบี่ แล้วก็ยังเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ทะยานลมขี่เมฆ จากนั้นก็ต้องคัดตัวอักษร แล้วยังต้องคอยไปดูแลกิจการในตรอกฉีหลงอีก ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตน มองดูคล้ายว่าต้องดูแค่คุณสมบัติ ส่วนใหญ่อาศัยข้าวที่สวรรค์และบรรพบุรุษประทานมาให้ แต่แท้จริงแล้วพิถีพิถันในเรื่องการถามใจมากที่สุด จิตไม่นิ่งไม่มีสมาธิก็ไม่อาจแสวงหาความจริง ต่อให้เจ้าเรียนวิชาคาถานับพันนับหมื่นก็ยังเป็นดั่งจอกแหนไร้รากที่ล่องลอยไปเรื่อยอยู่ดี”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “แม้ว่าทุกวันนี้ขอบเขตผู้ฝึกตนของอาจารย์พ่อจะยังไม่ถือว่าสูงที่สุด แต่ก็แค่ชั่วคราวนะ แค่ชั่วคราวเท่านั้น ทว่าประโยคนี้หากไม่ได้เดินอยู่บนพื้นฐานของขอบเขตบินทะยานก็คงพูดออกมาไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ? เจ้าคือขอบเขตบินทะยานหรือ?”
เผยเฉียนกล่าว “หลักการเหตุผลไม่ได้อยู่ที่ความสูงสักหน่อย อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองที่สูงที่สุดในใต้หล้าแล้ว ดังนั้นคำพูดที่ข้าพูดออกมาตอนนี้จึงสูงกว่าปกติ”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “นี่มันอะไรกับอะไรกัน”
เฉินผิงอันพลันหัวเราะ “หากนับกันตั้งแต่พื้นดินที่หยั่งรากลงไป ที่นี่อาจเป็นหัวกำแพงเมืองที่สูงที่สุดของสี่ใต้หล้าก็จริง แต่หากไม่พูดถึงการเชื่อมติดกับพื้นดิน ถ้าอย่างนั้นนครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางในใต้หล้าไพศาลก็อาจจะสูงยิ่งกว่า ส่วนเรื่องที่ว่าป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้นสูงเท่าไรกันแน่ กลับไม่มีบันทึกไว้ในตำรา อาจารย์เองก็ไม่เคยถามคนอื่น ดังนั้นมันกับหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครกันแน่ที่สูงกว่ากัน ก็บอกได้ยากแล้ว วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะลองไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง”
เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “คือบรรพบุรุษของป๋ายอวี้จิงจำลองในเมืองหลวงต้าหลีน่ะหรือ? อาจารย์จะไปทำอะไรที่นั่น? ไกลจะตายไป ฟังห่านขาวใหญ่เล่าว่า มันไม่เหมือนกับกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ที่แค่โดยสารเรือข้ามฟาก ขึ้นมาบนภูเขาห้อยหัว เดินผ่านประตูใหญ่ก็คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้วพวกเราก็สามารถเดินเที่ยวเล่นได้ตามใจชอบ ห่านขาวใหญ่บอกว่าเขาเคยมีโอกาสอาศัยความสามารถของตัวเองไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว แต่ข้าไม่เชื่อเขา มีเหตุผลที่อาจารย์ตัวเองยังไม่เคยไป แต่นักเรียนกลับไปมาก่อนเสียที่ไหน อาจารย์พ่อ ข้าเกลี้ยกล่อมห่านขาวใหญ่แล้วไม่ได้ผล วันหน้าอาจารย์พ่อก็บอกเขาหน่อยเถอะ วันหน้าต้องเปลี่ยนนิสัยชอบขี้โม้นี้เสียที อาจารย์พ่อ ข้ารู้ได้ไหมว่าทำไมท่านต้องไปเยือนสถานที่ที่ห่างไกลขนาดนั้น? ว่ากันว่าด้านในป๋ายอวี้จิงล้วนมีแต่นักพรตชายหญิงอยู่เต็มไปหมด หากอาจารย์พ่อจะไปที่นั่นคนเดียว อีกทั้งยังไม่มีข้าอยู่ข้างกาย จะต้องน่าเบื่อมากแน่ๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้จะไปเที่ยวเสียหน่อย”
เผยเฉียนยิ่งฉงนสนเท่ห์เข้าไปใหญ่ “ไปหาใครหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็น่าจะใช่กระมัง”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว “ใครกัน ไยมีมาดใหญ่โตขนาดนี้ ไม่รู้จักเป็นฝ่ายมาหาอาจารย์พ่อด้วยตัวเองที่ภูเขาลั่วพั่วเสียบ้าง”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะทันใด
คนเขามีคุณสมบัติจะวางมาดใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ นั่นแหละ
คนหนึ่งในนั้นเคยป่าวประกาศว่า ‘ต้องถามว่าหมัดของข้าตอบตกลงหรือไม่’
แล้วปล่อยหนึ่งหมัดใส่ใต้ผืนฟ้า แยกทะเลเมฆออกจากกัน
อีกคนยิ้มกล่าวว่า ‘ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้า’
กระบี่บินสิบสองเล่มร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย นึกถึงตอนเป็นเด็กหนุ่มช่วงที่เพิ่งจะได้รู้เรื่องวงในมากมายหลังจากที่เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนั้น เพียงแต่ไม่นานก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน จึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ตอนนี้อาจารย์มีความปรารถนาอยู่สองอย่างที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน ความปรารถนาสองอย่างนี้ บางทีอาจทำไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ก็จะคิดถึงอยู่ตลอดเวลา”
เผยเฉียนยื่นมือมาขยี้หูตัวเองอย่างแรง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อ ข้ากำลังเงี่ยหูรอฟังนะ!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากมีวันนั้นจริงๆ ตอนที่อาจารย์จะออกเดินทางไกลค่อยบอกเจ้าอีกครั้ง คำพูดนั้นใหญ่เกินไป หากพูดเร็วเกินก็ไม่เหมาะนัก”
เผยเฉียนทอดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่รอไปอีกสองสามร้อยปีแล้วล่ะ!”
เฉินผิงอันพึมพำ “สองสามร้อยปีก็อาจจะยังทำไม่ได้ ไม่แน่ว่าผ่านไปสองสามพันปี หากมีชีวิตยืนยาวขนาดนั้นจริง ความหวังนั้นก็ยังเลือนรางอยู่ดี”
โชคดีที่ต่อให้ความหวังจะเลือนราง
แต่กระนั้นก็ยังมีความหวัง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ชะลอฝีเท้าเนิบช้าสุดท้ายจึงหยุดยืนนิ่ง ยิ้มตาหยีแหงนหน้ามองท้องฟ้า
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ห่างออกไปไกลเบื้องหน้า พวกชุยตงซานกำลังมองดูขุนเขาสายน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลทางทิศใต้อยู่บนหัวกำแพงเมือง
ป๋ายโส่วยืนอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลง หันมาขยิบตาให้เฉินผิงอัน พี่น้องคนดี ต้องพึ่งเจ้าแล้ว ขอแค่เจ้าจัดการกับเผยเฉียนได้ วันหน้าจะให้ข้าเซียนกระบี่ใหญ่ป๋ายโส่วเรียกเจ้าว่านายท่านใหญ่เฉินก็ยังได้!
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับเผยเฉียน “มือกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่ หากอิงตามขนบธรรมเนียมของใต้หล้าก็มีความต่างราวฟ้ากับเหวจริง แต่เจ้าอย่าได้ถือสาคำพูดคำจาของป๋ายโส่วมากนักเลย”
เวลานี้เผยเฉียนอารมณ์ดีนักล่ะ ไม่สนใจแล้วว่าป๋ายโส่วผู้นั้นเอ่ยอะไร นางเผยเฉียนเป็นคนใจคอคับแคบแบบนั้นหรือ? สมุดบัญชีเล่มเล็กที่นางแอบเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีเล่มหนานักหรือไง? บางจะตายไป! เวลานี้นางอยู่ข้างกายอาจารย์จึงเปลี่ยนจากท่าทางระมัดระวังตอนอยู่บนเรือข้ามฟากก่อนหน้านี้ เวลาเดินจึงเดินอาดๆ นี่เรียกว่า ‘เดินอย่างองอาจโอหัง ภูตผีปีศาจหวั่นกลัว’ ยังจะต้องใช้ยันต์กระดาษเหลืองแปะหน้าผากไปอีกทำไม นางเงยหน้ายิ้มกล่าว “อาจารย์พ่อ เรื่องอย่างการเรียนวิชาหมัด การคัดตัวอักษรพวกนี้ ข้าไม่กล้าพูดว่าตัวเองได้ความสักเท่าไรหรอก แต่ความกว้างใหญ่ของท้อง (เปรียบเปรยถึงความใจกว้าง/จิตใจที่เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่) อาจารย์พ่อนั้น ข้าฝึกปรือจนอย่างน้อยที่สุดก็ได้ทักษะจากอาจารย์พ่อมาหนึ่งส่วน ทักษะหนึ่งส่วนเชียวนะ! นี่ต้องเป็นท้องที่กว้างใหญ่แค่ไหนกัน? ขนาดบรรจุกับข้าวสองจาน ข้าวใหญ่ๆ อีกสามถ้วยก็ยังไม่มีปัญหา! จะรับประโยคเบาๆ ไม่กี่ประโยคของเจ้าป๋ายโส่วคนเดียวไม่ได้งั้นหรือ? อาจารย์พ่อท่านดูแคลนข้าเสียแล้ว!”
มีเพียงชุยตงซานคนเดียวที่นั่งอยู่บนหัวกำแพง เวลานี้กำลังหัวเราะชอบใจ
สามารถทำให้เผยเฉียนร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ และหัวเราะอย่างร่าเริงเบิกบานได้ขนาดนั้น ก็มีแค่อาจารย์ของตนแล้ว
ประเด็นสำคัญคือหลังจากที่เผยเฉียนทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะไปแล้ว นางก็จะยังตั้งใจจดจำเรื่องพวกนี้ และคิดตามหลักการเหตุผลที่ถูกสอนมาจริงๆ จดจำทั้งสิ่งที่เข้าใจและสิ่งที่ไม่เข้าใจทั้งหมด หาใช่เลือกแค่เฉพาะบางอย่างแล้วเหลือทิ้งไว้เกินครึ่งไม่
เฉาฉิงหล่างเห็นว่าเผยเฉียนกลับมาเป็นปกติแล้วก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกได้
อาจารย์ตอนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือถ้อยคำ ก็สมกับเป็นอาจารย์จริงๆ แล้ว
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยหรือ?”
ป๋ายโส่วถามหยั่งเชิง “หากข้ายอมรับผิด เรื่องนี้จะผ่านไปได้จริงๆ งั้นหรือ?”
ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “บอกได้ยาก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!