กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 605

อันที่จริงอวี้เจวี้ยนฟูเป็นสตรีใจกว้างตรงไปตรงมา ในเมื่อแพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว นางไม่มีทั้งความดึงดันไม่ยอมแพ้ ยิ่งไม่มีความอาฆาตแค้นใดๆ ลุกขึ้นยืนอย่างผ่าเผย ไม่ลืมเอ่ยลาเฉินผิงอันคำหนึ่ง แล้วก็จากไป

ตอนนี้เรื่องที่อวี้เจวี้ยนฟูคิดก็คือการถามหมัดครั้งที่สามที่เฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปแล้ว

หมัดข้าสู้คนอื่นไม่ได้ ยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็มีแต่ต้องเพิ่มพูนปณิธานหมัด ออกหมัดให้เร็วกว่าเดิมเท่านั้น!

นางไม่เชื่อคำพูดของเฉาสือที่บอกว่าหากแพ้ให้เฉินผิงอันครั้งหนึ่งแล้วก็ยากที่จะไล่ตามได้ทันหรอกนะ

เฉินผิงอันกุมหมัดบอกลาอีกฝ่าย ไม่ได้เอ่ยคำใด

เรือยันต์จอดลงบนหัวกำแพง คนทั้งสี่พลิ้วกายลงบนพื้น

ผู้ฝึกกระบี่หลายคนต่างแยกย้ายกันไป บ้างก็เรียกหาสหายให้กลับไปพร้อมกัน บ้างก็เอ่ยลาบอกกล่าวกัน ช่วงเวลานั้นกลางอากาศสูงทางทิศเหนือของหัวกำแพงจึงมีแสงกระบี่หลายเส้นตัดสลับ แต่คนที่สบถด่าเสียงดังขรมก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรต่อให้เรื่องครึกครื้นนี้จะสนุกแค่ไหน ทว่ากระเป๋าเงินฟีบแบนก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร ซื้อเหล้าต้องติดเงินไว้ก่อน แค่คิดก็กลุ้มแล้ว

เฉินผิงอันสวมรองเท้า ลูบชายแขนเสื้อให้เรียบ ทาบมือโค้งคารวะอาจารย์จ้งเป็นอันดับแรก จ้งชิวกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเรียกด้วยความเคารพว่าเจ้าขุนเขา

ก่อนจะออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว จ้งชิวได้ลาออกจากตำแหน่งราชครูกับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นหนันเยวี่ยนแล้ว ตอนนี้ยังได้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ในอีกใต้หล้าหนึ่ง จ้งชิวคิดว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างแท้จริงดูสักครั้ง จะลองขัดเกลาปณิธานหมัดในสถานที่ที่มีปราณกระบี่มากที่สุดในโลกอย่างตั้งใจ ไม่แน่ว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งอาจจะยังมีโอกาสได้กลับมาพบเจอกับอวี๋เจินอี้อีกครั้ง ถึงเวลานั้นตนไม่ใช่ราชครูแล้ว อวี๋เจินอี้ก็น่าจะเป็นคนในกลุ่มเทพเซียนที่บรรลุมรรคาแล้ว เหตุผลของทั้งสองฝ่ายย่อมเข้ากันไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นจ้งชิวก็จะใช้สองหมัดถามวิชาเซียน

เฉินผิงอันมองสบตากับเฉาฉิงหล่างอยู่ก่อนแล้ว เฉาฉิงหล่างรับรู้อยู่ในใจจึงไม่รีบร้อนคารวะทักทายอาจารย์ของตน เพียงแค่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์จ้งเงียบๆ

และเวลานี้เฉินผิงอันก็ยิ้มมองเผยเฉียน ถามว่า “ตลอดทางมานี้ได้พบเห็นอะไรมามากไหม? ได้ถ่วงเวลาการทัศนศึกษาของอาจารย์จ้งหรือไม่?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ดั่งไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือกก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง ท่าทางยุ่งอยู่ไม่น้อย

ดูเหมือนว่าอาจารย์พ่อจะตัวสูงขึ้นอีกแล้ว ร้ายกาจอะไรอย่างนี้ วันนี้สูงแล้ว พรุ่งนี้ก็จะสูงอีก วันหน้าจะไม่สูงกว่าภูเขาลั่วพั่วและภูเขาพีอวิ๋นเลยหรือ จะสูงกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ด้วยหรือไม่นะ?

เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง

เผยเฉียนพลันร้องอั๊ยหยาหนึ่งที ไหล่พลันสะบัดไปเล็กน้อยราวกับว่าเกือบจะสะดุดล้ม นางขมวดคิ้วแน่น เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ ท่านว่าแปลกหรือไม่ ไม่รู้ว่าทำไม ขาของข้าบางครั้งก็ยืนได้ไม่มั่นคงนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาจารย์พ่อวางใจเถอะ ก็แค่อยู่ดีๆ เซไปบ้างเท่านั้น ไม่ได้ถ่วงรั้งการฝึกวิชาหมัดของข้ากับพ่อครัวเฒ่า ส่วนเรื่องการคัดตัวอักษรก็ยิ่งไม่เป็นปัญหาเข้าไปใหญ่ เพราะถึงอย่างไรส่วนที่บาดเจ็บก็คือขานี่นะ”

เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ยกมือป้องปาก แอบกระซิบว่า “อาจารย์พ่อ หน่วนซู่กับหมี่ลี่บอกว่าข้ามักจะเดินละเมอเป็นประจำ ไม่แน่ว่าวันใดอาจพาตัวเองเดินไปชนนั่นชนนี่ อย่างเช่นว่าขาโต๊ะเอย ราวรั้วเอย อะไรพวกนี้น่ะ”

เฉินผิงอันทำท่ากระจ่างแจ้งโดยพลัน “แบบนี้เองหรือ”

เผยเฉียนเหมือนยกภูเขาออกจากอก เป็นเหตุผลที่รัดกุมจริงๆ เสียด้วย คราวนี้ทุกเรื่องล้วนราบรื่นแล้ว!

จากนั้นร่างของเผยเฉียนก็พลันแข็งทื่อ หันหน้ากลับไปช้าๆ

ฉีจิ่งหลงพาลูกศิษย์เดินช้าๆ มาทางนี้ ป๋ายโส่วหน้าตามู่ทู่ ตัวขาดทุนผู้นี้ไยบอกว่าจะมาก็มาถึงเลยล่ะ ทุกวันนี้เขาที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องขอพรให้พระโพธิสัตว์สำแดงอิทธิฤทธิ์ ขอให้ขุนนางสวรรค์ประทานพร แล้วยังพร่ำพูดถึงชื่อของเซียนกระบี่ทั้งหลายให้พวกเขาช่วยมอบโชควาสนาแก่ตนสักนิด ทว่ากลับไม่ได้ผลเลยสักอย่าง

เฉินผิงอันถาม “พวกเจ้าจะประลองบู๊กันเมื่อไหร่? เลือกวันฤกษ์ดีไม่สู้เลือกวันฤกษ์สะดวก วันนี้เลยเป็นไง?”

ดวงตาเผยเฉียนเปิดประกายจ้า ป๋ายโส่วรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ คนทั้งสองสบตากัน จิตสื่อถึงกันได้อย่างเฉียบไว ป๋ายโส่วกระแอมหนึ่งที แล้วพูดขึ้นมาก่อนว่า “ประลองบู๊อะไรกัน แค่ประลองบุ๋นก็พอแล้ว!”

เผยเฉียนเอ่ยคล้อยตามว่า “นั่นสิ ป๋ายโส่วคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์หลิว คือคนในกลุ่มผู้ฝึกตนบนภูเขา ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์พ่อ คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ข้ากับป๋ายโส่วต่อสู้กันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วนับประสาอะไรกับที่วันเวลาที่ข้าเริ่มเรียนวิชาหมัดก็ยังสั้นนัก วิชาหมัดไม่ยอดเยี่ยมมากพอ ตอนนี้มีแต่ต้องเป็นฝ่ายถูกพ่อครัวเฒ่าป้อนหมัด ไม่กล้าถามหมัดกับคนอื่นหรอก หากจะให้ประลองบู๊จริงๆ วันหน้ารอให้ข้าฝึกวชากระบี่มารคลั่งนั่นสำเร็จก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”

ป๋ายโส่วร้อนใจขึ้นมาครามครัน “เจ้าฝึกวิชากระบี่นั่นสำเร็จก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ คือมือกระบี่อยู่ดีนี่นา ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เสียหน่อย เรียกต่างกันคำเดียวก็ต่างราวฟ้ากับเหว ตีกันไปก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดีนั่นแหละ”

เผยเฉียนเองก็ร้อนใจขึ้นมาเหมือนกัน หมายความว่าไง ดูแคลนวิชากระบี่ของข้า? นี่ก็เท่ากับว่าดูแคลนข้าเผยเฉียน ดูแคลนข้าก็เท่ากับว่าดูแคลนอาจารย์พ่อของข้า?! อาจารย์พ่อของข้าเรียกตัวเองว่ามือกระบี่ด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงคนนั้นที่ให้เจ้าป๋ายโส่วยืมความกล้าอย่างนั้นหรือ?! เผยเฉียนโมโหอย่างหนัก ใช้ไม้เท้าเดินป่ากระแทกพื้นอย่างแรง “ป๋ายโส่ว พวกเราประลองบู๊กันวันนี้แหละ! ตอนนี้ ที่นี่เลย!”

เฉินผิงอันงอสองนิ้วเขกลงบนท้ายทอยของเผยเฉียน “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวออกหมัดไม่หยุด คือให้ข้าในวันนี้ถามหมัดข้าในวันพรุ่งนี้ ห้ามทำอะไรโดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง หากเหตุผลนี้ใหญ่เกินไป ไม่เข้าใจก็จำไว้ก่อน วันหน้าค่อยๆ คิดไป”

เผยเฉียนหันหน้ามาพูดอย่างน้อยใจ “แต่ป๋ายโส่วดูแคลนมือกระบี่ อาจารย์พ่อเดินทางท่องอยู่ในยุทธภพมาเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ล้วนเรียกแทนตัวเองว่ามือกระบี่ด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด ป๋ายโส่วดูแคลนข้าก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้สนิทกับเขาสักหน่อย แต่เขาใช้สถานะผู้ฝึกกระบี่ของตัวเองมาดูแคลนอาจารย์พ่อที่เป็นมือกระบี่ ข้าไม่ยอมหรอกนะ”

ตอนนี้ป๋ายโส่วรู้สึกเพียงว่าสมองตนเลอะเลือนยิ่งกว่าอวี้เจวี้ยนฟูที่ถูกต่อยจนหัวแตกยับเสียอีก นึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สักครั้ง

เผยเฉียนยังคงไม่เอ่ยอะไร

นางกำไม้เท้าเดินป่าเอาไว้แน่น

นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย จึงได้แต่เอ่ยอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หากเป็นเมื่อก่อน อาจารย์ไม่มีทางตำหนิเจ้าต่อหน้าพวกชุยตงซาน มีแต่จะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้เจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วแล้ว อีกทั้งช่วงเวลาที่อาจารย์ได้อยู่กับเจ้าน้อยยังมีน้อย และตอนนี้เจ้าเองก็เติบใหญ่ขึ้นไม่น้อย ยังได้เรียนวิชาหมัด แทนที่จะพูดคุยกับเจ้าดีๆ เป็นการส่วนตัวเพราะเห็นแก่ความรู้สึกของเจ้า แต่เจ้าอาจไม่เก็บไปใส่ใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ให้อาจารย์ตำหนิเจ้าต่อหน้าคนมากมาย ให้เจ้ารู้สึกว่าอาจารย์ทำให้เจ้าเสียหน้า ตำหนิอาจารย์ในใจว่าไม่รู้จักเห็นแก่ความรู้สึกคนอื่น แต่ก็ต้องทำให้เจ้าจดจำหลักการเหตุผลเหล่านี้ให้แม่นยำให้จงได้ หมื่นสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ สิ่งอื่นๆ ที่เหลือไว้ถือเป็นความโชคดี มีเพียงเรื่องหลักการเหตุผลเท่านั้นที่จะเหลือค้างเอาไว้ไม่ได้ วันนี้พูดได้ก็ควรพูดวันนี้ ข้อบกพร่องของเมื่อวานก็ควรชดเชยในวันนี้ เลี้ยงดูไม่ดีเป็นความผิดของบิดามารดา สั่งสอนไม่เข้มงวดเป็นความผิดของอาจารย์ อาจารย์พูดถึงกฎเกณฑ์ที่ชวนให้คนหงุดหงิดใจกับเจ้ามากมายขนาดนี้ ไม่ใช่ต้องการให้เจ้ารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่เป็นตัวของตัวเองยามที่ออกท่องยุทธภพด้วยตัวเอง แต่เพราะหวังว่าไม่ว่าเจ้าพบเจอเรื่องใดจะคิดให้มาก เมื่อคิดจนเข้าใจแล้วรู้สึกว่าไม่ผิดต่อหลักเหตุผลก็สามารถออกหมัดได้อย่างไร้ยำเกรง ออกท่องยุทธภพครั้งหนึ่งเป็นเช่นนี้ สิบครั้งร้อยครั้งก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ต่อให้จะได้รับความอยุติธรรมแค่ไหนก็แค่กลับภูเขาไปหาอาจารย์ อาจารย์ไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ทวงความเป็นธรรมให้อาจารย์ ในเมื่ออาจารย์คืออาจารย์ ตามเหตุตามผลก็ควรจะปกป้องลูกศิษย์ เผยเฉียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าในใจอาจารย์มีความปรารถนาใด? นั่นก็คือหวังให้คนที่ข้าเฉินผิงอันสั่งสอนมา ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ก็ดี นักเรียนก็ช่าง ลงจากภูเขาไปแล้ว ไม่ว่าจะไปอยู่แห่งหนใดในใต้หล้า วิชาหมัดสู้คนอื่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ความรู้สู้คนอื่นไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา วิชาคาถาไม่จำเป็นต้องสูงส่ง แต่มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ว่าใครก็ตามในใต้หล้า ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ล้วนไม่ต้องให้พวกเขามาเป็นคนสอนพวกเจ้าว่าควรวางตัวเช่นไร มีอาจารย์พ่อ มีอาจารย์แค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว”

เผยเฉียนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นานแล้ว นางกอดไม้เท้าเดินป่าที่ตัวเองรัก อยู่ร่วมกันมานาน และมักจะพูดความในใจของตัวเองให้มันฟังบ่อยๆ ไว้ในอ้อมอก ยกมือขึ้น ใช้มือซ้ายปาดน้ำ มือขวาเช็ดหน้า เพียงแต่ว่าน้ำตาไม่หยุดไหลสักที นางจึงล้มเลิกความคิด แหงนหน้าขึ้น กลั้นสะอื้นจนใบหน้ายับยู่ “อาจารย์พ่อ ที่ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปอย่างนั้นเพราะรู้สึกว่าหากจะต้องประลองบู๊กันจริงๆ ขอแค่ป๋ายโส่วตั้งใจรับมือ ข้าต้องเอาชนะเขาไม่ได้แน่นอน แต่ศิษย์โกรธเขามากจริงๆ ต่อให้จะเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องออกหมัด ศิษย์คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์พ่อ จะไม่ยอมให้เขาดูถูกอาจารย์พ่อและมือกระบี่เด็ดขาด ต่อให้สู้ไม่ได้ก็จะสู้!”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

เฉินผิงอันเกาหัว “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ผิดไปแล้ว อาจารย์ต้องขอโทษเจ้าด้วย”

เฉินผิงอันค้อมตัว ยื่นมือไปช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง

เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ใบหน้าตนเปื้อนไปทั้งน้ำมูกน้ำตามอมแมมเกินไป จึงรีบหันหน้าไปด้านหลัง พอหันกลับมาอีกครั้งก็คลี่ยิ้มกว้าง “อาจารย์พ่อจะผิดได้อย่างไร อาจารย์พ่อเอาคำว่าขอโทษกลับคืนไปเถอะ”

เฉินผิงอันบีบแก้มนาง “เจ้านี่ดื้อจริงๆ”

เมื่อครู่เขาเกือบอดไม่ไหวเรียกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า แต่เวลานี้ไม่มีความคิดอยากดื่มแล้ว เอ่ยว่า “รู้หนักเบาของหมัดที่ตัวเองปล่อยออกไป หรือควรจะพูดว่าก่อนจะออกหมัด เจ้าสามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้ นี่ก็หมายความว่าการออกหมัดของเจ้ายังคงเป็นคนที่ออกหมัด หาใช่คนเดินตามหมัด ดีมาก ดังนั้นอาจารย์ผิดก็คือผิด อาจารย์เต็มใจพูดขอโทษเจ้า ส่วนคำพูดที่อาจารย์บอกไป เจ้าก็ตั้งใจหน่อย จำได้มากแค่ไหนก็แค่นั้น หากมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจ รู้สึกว่ายังไม่ถูกก็พูดกับอาจารย์ตามตรง ถามอาจารย์ตามตรง อาจารย์ไม่เหมือนคนบางคน ไม่มีทางรู้สึกขายหน้าแน่นอน”

เผยเฉียนโคลงศีรษะ พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “‘คนบางคน’ ใช้ไม่ได้ ไม่เหมือนอาจารย์พ่อกับข้าหรอก”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่หนึ่งที

เผยเฉียนทำตาเหลือก มือข้างหนึ่งถือไม้เท้า มืออีกข้างยื่นไปข้างหน้าปัดป่ายสะเปะสะปะอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ไม่รู้ว่าแสร้งทำเป็นละเมอหรือเมาเหล้า จงใจพูดพึมพำว่า “อาจารย์พ่อของใครกันน่ะถึงมีวิชาคาถาร้ายกาจได้ขนาดนี้ เขกมะเหงกทีหนึ่งก็ทำให้คนหลงทิศหาทางไม่เจอ ที่นี่คือที่ไหนกัน ใช่ภูเขาลั่วพั่วไหม…อิจฉาคนที่มีอาจารย์พ่อแบบนี้จริงๆ อิจฉาจนทำให้คนน้ำลายไหล หากได้เป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาก็ไม่ใช่ว่าขนาดตอนหลับฝันก็ยังยิ้มกว้างได้หรอกหรือ…”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!