บนหัวกำแพง เฉินผิงอันยังคงไม่รีบไม่ร้อน คอยหลบเลี่ยง แต่หากหลบไม่ทันก็จะยกมือขึ้นบังหมัดของอวี้เจวี้ยนฟูที่พุ่งมา
รับหมัดของนางร้อยครั้ง ไม่โดนจังๆ สักครั้ง
นี่ก็คือความตั้งใจเดิมของเฉินผิงอัน
จากนั้นก็ถือโอกาสมองประเมินผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันในใต้หล้าที่หากไม่นับเฉาสือแล้วก็ถือว่าออกหมัดได้เร็วที่สุดและมีหมัดที่หนักที่สุดตรงหน้าไปด้วย
ขณะเดียวกันเฉินผิงอันเองก็ค่อยๆ ตรวจสอบหาช่องโหว่และชดเชยให้กับปณิธานหมัดของตัวเองไปทีละนิด มองดูเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอน ราวกับว่าจะสะบั้นแต่ก็สะบั้นไม่ขาด จะแพ้ก็ไม่แพ้ แต่ความจริงแล้วกลับช้าเร็วได้อย่างมีขั้นมีตอน เป็นไปตามใจปรารถนา ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม
ดังนั้นเมื่อใดที่อวี้เจวี้ยนฟูไม่ซุกซ่อนฝีมือที่แท้จริงอีกต่อไป ใช้เรือนกายที่คล่องแคล่วว่องไวที่สุดปล่อยหมัดเต็มแรงต่อยโดนเฉินผิงอันจังๆ เน้นๆ ได้สำเร็จ นั่นก็คือช่วงเวลาที่เฉินผิงอันจะเอาคืนบ้างแล้ว
ซึ่งเขาเองก็จะใช้หมัดที่เร็วที่สุดและหมัดที่มีพละกำลังหนักหน่วงที่สุดเช่นกัน
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ต้องยำเกรงสิ่งใด ทั้งการออกหมัดและสภาพจิตใจล้วนไร้อุปสรรคขัดขวาง
ประลองฝีมือกับอวี้เจวี้ยนฟูไม่ค่อยเหมือนกับเฝ้าด่านถามกระบี่กับฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ก่อนหน้านี้สักเท่าไร ฝ่ายหลังมีเรื่องให้ต้องคอยกังวลมากมาย ต้องคอยระมัดระวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังต้องพยายามทำให้ตัวเองไม่แพ้พร้อมกับกุมชัยชนะเล็กๆ ซึ่งค่อนข้างยากลำบาก เพราะหากเขาชนะเพิ่มมากี่ส่วนก็คือเรื่องไม่คาดฝันที่อาจจะเพิ่มเข้ามาเมื่อเขาออกไปจากหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่กลุ่มอิทธิพลซับซ้อนแห่งนี้ แต่เมื่อมาเจอกับอวี้เจวี้ยนฟูที่ทั้งสองคนต่างก็เป็นคนต่างถิ่น อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเหมือนกัน เฉินผิงอันก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องพวกนี้เลย
ก็เหมือนอย่างที่เขาพูดกับน่าหลันเย่สิงก่อนหน้านี้ ขนาดตัวเขาเฉินผิงอันเองก็ยังใคร่รู้ว่าเมื่อเบื้องหน้ามีศัตรู ปณิธานหมัดกลั่นรวมถึงขีดสุด แล้วตนแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ จะสามารถออกหมัดได้เร็วแค่ไหน
การออกหมัดของผู้ฝึกยุทธเช่นข้า!
เมื่อข้าผู้เป็นผู้ฝึกยุทธออกหมัด ใครบ้างไม่อยากให้คนใต้หล้ารู้สึกว่าตัวข้าคือสวรรค์อยู่เบื้องบน จนพวกเขาได้แต่เก็บมือเก็บหมัดไม่กล้าปล่อยออกไป!
เรือยันต์ลำหนึ่งเคลื่อนมาถึงอย่างเชื่องช้าแต่กลับสะดุดตาอย่างถึงที่สุด ปราดเปรียวประดุจปลาว่ายน้ำ ลอดทะลุมาท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ที่ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สุดท้ายหยุดอยู่ห่างจากหัวกำแพงเมืองแค่สิบกว่าก้าว การประลองฝีมือของผู้ฝึกยุทธสองคนที่อยู่บนหัวกำแพง มองเห็น…เรือนกายล่องลอยประดุจควันสองสายได้อย่างชัดเจน
รอจนเผยเฉียนได้เห็นอาจารย์พ่อของตนจริงๆ นางก็ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอะไรแล้ว ไปนั่งอยู่บนรั้วหัวเรือกับห่านขาวใหญ่ วางไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเข่า
มองไปมองมา อารมณ์ของเผยเฉียนก็เริ่มซับซ้อน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นอาจารย์พ่อที่เป็นเช่นนี้
นับตั้งแต่ที่ตนได้พบเจอกับอาจารย์พ่อ หลังจากนั้นก็มีการกลับมาพบกันอีกครั้งครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์พ่อจะไม่เคยฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเช่นนี้มาก่อน
ไม่ใช่ดูเหมือน แต่เป็นไม่เคยเลย
ตรงหัวใจ ตรงหว่างคิ้วของอาจารย์พ่อล้วนไร้ความกลัดกลุ้มกังวลใจ
ยามนี้อาจารย์พ่อเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเดียวจริงๆ
อาจารย์พ่อของนางในเวลานี้ก็คือตัวเขาเฉินผิงอัน
เผยเฉียนทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ
หมัดทั้งสองของนางวางไว้บนไม้เท้าเดินป่าเบาๆ ดวงตาทั้งคู่ของแม่นางน้อยที่ผิวออกดำมีประกายแสงเจิดจ้าของตะวันจันทรา
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เขาสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต ริ้วคลื่นเล็กๆ กระเพื่อมขึ้น แต่กลับสามารถบดบังภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดกับนางเอาไว้ได้
ห่างจากเรือยันต์ไปไม่ไกลมีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งขี่กระบี่เล่มใหญ่ยักษ์ ด้านหลังมีหัวเล็กๆ มากมายที่บ้างอยู่สูงต่ำ บ้างอยู่ซ้ายขวายืนอยู่
มีเด็กคนหนึ่งส่ายหน้าเอ่ยว่า “เฉินผิงอันผู้นี้ ไม่ได้ความๆ โดนหมัดไปมากมายขนาดนั้นก็ยังไม่รู้จักตอบโต้กลับคืนเสียบ้าง ต้องแพ้แน่นอน!”
มีเด็กหลายคนพากันเอ่ยคล้อยตาม น้ำเสียงที่ใช้พูดต่างก็แฝงไว้ด้วยแววเศร้าโศกในความโชคร้ายและเจ็บใจในความไม่เอาไหนของเถ้าแก่รองที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วผู้นี้
จะดีจะชั่วเถ้าแก่รองอย่างเจ้าก็ถือเป็นคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่เราครึ่งตัวแล้ว ผลกลับต้องแพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นั้น ไม่อายบ้างหรือ?
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนั้นทำเพียงแค่ชมศึกอยู่เงียบๆ ด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ต้องแพ้เดิมพัน นักพนันแต่ละคนที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองล้วนไม่มีสีหน้าดีๆ กันทั้งนั้น สายตาก็ไม่เป็นมิตรเหมือนกับกระบี่บิน ดูจากท่าทางแล้วทุกคนล้วนแพ้กันทั้งนั้น
มีเด็กคนหนึ่งหันหน้าไปมองถ่านดำน้อยที่อยู่บนเรือลำเล็กแปลกประหลาดลำนั้น ดูท่าแล้วอายุคงไม่มาก
เขาจึงถาม “นี่ เจ้าเป็นใคร เมื่อก่อนไม่เห็นเคยเจอเจ้าเลย?”
เผยเฉียนหันหน้ามากล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์ข้า”
เด็กหนุ่มกลอกตามองบน “แล้วอาจารย์ของลูกศิษย์คือใครล่ะ?”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ของข้าก็คือคนบนหัวกำแพงที่ออกหมัดแค่ครั้งเดียวก็จะชนะได้ทันทีคนนั้น!”
เด็กคนนั้นเบ้ปาก พึมพำว่า “ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ของอวี้เจวี้ยนฟูเองหรือ? ข้าว่าไม่สู้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเถ้าแก่รองยังดีเสียกว่า”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง เด็กๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็โง่งมแบบนี้กันหมดหรือ? ดูท่าแล้วไม่เห็นจะดีเหมือนสหายหัวขาวคนนั้นเลยนะนี่?
คิดมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็รีบกวาดตามองไปรอบด้าน คนเยอะมากจริงๆ มองไม่เห็นป๋ายโส่วของสำนักกระบี่ไท่ฮุยผู้นั้นเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!