ชุยตงซานคลี่ยิ้มเมตตา เจ้าตะพาบที่พอจะมีเวทกระบี่เล็กๆ น้อยๆ อย่างจั่วโย่วผู้นี้ไม่ซ้อมคนกันเอง แต่เล่นงานคนนอกก็พอจะช่วยคลายโทสะได้บ้างจริงๆ
เผยเฉียนเหน็บไม้เท้าเดินป่าไว้ใต้รักแร้ มือสองข้างวางไว้เบื้องหน้า ปรบเข้าด้วยกันเบาๆ
ชุยตงซานยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ผ่านวันนี้ไป เรื่องที่สายเหวินเซิ่งไม่มีเหตุผลก็จะแพร่ไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว”
เผยเฉียนถาม “ทำไมล่ะ?”
เฉาฉิงหล่างแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “คนอื่นรู้สึกว่าหลักการเหตุผลหลายๆ อย่างมักจะอยู่บนมือของผู้อ่อนแอที่เปลี่ยนจากผู้แข็งแกร่งมาเป็นผู้อ่อนแอ นี่ก็เพราะพวกเขาไม่เคยมีความรู้สึกร่วมด้วย”
ชุยตงซานหัวเราะร่า “อย่าเลียนแบบเด็ดขาดเชียวนะ”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “ข้าแค่รู้ว่ามีเรื่องพวกนี้ และข้าก็เรียนรู้จากแค่อาจารย์เท่านั้น”
จั่วโย่วไม่ได้สนใจชุยตงซาน พอถอนสายตากลับมาแล้วก็ทอดมองไปเบื้องหน้า สีหน้าเฉยชา ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “หมี่อวี้ เยว่ชิง ออกจากเมืองไปเปิดศึกกับข้า แค่แบ่งแพ้ชนะเท่านั้น เมื่อแพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ซะ แต่หากยินดีจะให้ตัดสินเป็นตายก็ไปตายได้เลย”
เซียนกระบี่หมี่อวี้ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ข้าขอยอมแพ้เจ้า และจะยังเอ่ยขออภัยด้วย”
เยว่ชิงกลับไม่ได้เอ่ยตอบ
ดังนั้นร่างของจั่วโย่วจึงวูบหายไป ไปหาเยว่ชิงผู้นั้น
เวลานี้เจ้าเยว่ชิงถึงเพิ่งจะรู้ว่าควรทำตัวเป็นคนใบ้ใช่ไหม?
ก่อนหน้านี้ข้าจั่วโย่วใช้กระบี่งัดปากเจ้าให้เอ่ยถ้อยคำระยำเหล่านั้นหรือไร?
ชุยตงซานเรียกเรือยันต์ออกมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะรอดูอะไร ไม่มีอะไรน่าดูหรอก กลับบ้านๆ อาจารย์ลุงใหญ่ของพวกเจ้ายามตีกับผู้อื่นไร้ข้อพิถีพิถัน ไร้ความสุภาพและไร้อารยธรรมที่สุดแล้ว”
ชุยตงซานกับเผยเฉียนนั่งอยู่ด้านข้างฝั่งซ้ายขวาของเรือคนละฝั่ง ต่างคนต่างถือไม้เท้าเดินป่าแล้วยังทำท่าเหมือนแจวเรือ ชุยตงซานพูดจาน่าเชื่อถือบอกกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเขาว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะเดินทางกลับได้เร็วยิ่งกว่าเดิม
เฉาฉิงหล่างรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย มองเผยเฉียนที่ออกแรงพายเรือเต็มกำลังแล้วยังหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ก็ไม่รู้ว่านางเชื่อจริงๆ หรือแค่รู้สึกสนุกกันแน่
เวลานี้ชุยตงซานมีสีหน้าสดชื่นปลอดโปร่ง ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนเรือข้ามฟาก กระดกก้นใช้สองมือต่างไม้พายแล้วออกแรงพายอย่างตั้งใจ
ก่อนหน้านี้ที่ตนโดนกระบี่นั้นไป นอกจากจะพูดเรื่องเป็นการเป็นงานได้จบแล้ว ก็ยังได้พูดถึงคุณความชอบยิ่งใหญ่ของเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงไปด้วย การค้าครั้งนี้ไม่ขาดทุนจริงๆ
ดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะกลับไปถึงจวนหนิง
เผยเฉียนไม่ได้เจอกับอาจารย์แม่ที่อยู่ระหว่างการปิดด่านก็อดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้
เฉินผิงอันกับชุยตงซานไปคุยธุระกันที่ศาลาหน้าผาสังหารมังกร
เฉาฉิงหล่างไปฝึกตนยังที่พักของตัวเอง
เรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านเปิดศึกบนหัวกำแพงแพร่ไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างรวดเร็ว
ว่ากันว่าเซียนกระบี่เยว่ชิงถูกจั่วโย่วบังคับลากออกมาจากหัวกำแพงเมือง ร่างของเขาถูกตีกระเด็นไปทางทิศใต้
นี่ก็คือการต่อสู้ตัดสินเป็นตายโดยที่ไม่เหลือพื้นที่ให้เยว่ชิงเลือกแล้ว
สุดท้ายได้ยินมาว่าเซียนกระบี่หลายท่านพากันห้ามปราม
กลางดึกคืนนี้ แสงกระบี่ทางทิศใต้สว่างโชติช่วงราวกับดวงตะวันลอยกลางนภา เป็นเหตุให้ตลอดทั้งนครถูกสาดสะท้อนราวกับเวลากลางวัน
สุดท้ายแล้วก็ไม่เกิดเรื่องใหญ่ร้ายแรงอย่างการมีคนตาย
ถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เห็นเรื่องใหญ่กันมาจนชินตาแล้ว ก็แค่จะมีคนดื่มเหล้าเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
กิจการของร้านเตี๋ยจ้างจึงดีมากขึ้นกว่าเดิม
ช่วงนี้น่าหลันเย่สิงพลันรู้สึกว่าสายตาที่ยายแก่ป๋ายเลี่ยนซวงมองตนน่าขนลุกอยู่ไม่น้อย
ลองนับนิ้วดูถึงได้ค้นพบว่าช่วงนี้จำนวนครั้งที่นางเรียกตนว่าสุนัขเฒ่าน่าหลันเหมือนจะน้อยลงไปมาก และความน่าเกรงขามก็ด้อยกว่าเดิมเยอะ
นี่ทำให้น่าหลันเย่สิงรู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่สักหน่อย
จากนั้นก็ได้เจอกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยิ้มกว้างเรียกตนว่าท่านปู่น่าหลัน น่าหลันเย่สิงเดินเคียงบ่าไปกับเขา แล้วจึงถามว่า “ตงซานอ่า ช่วงนี้เจ้าไปพูดอะไรกับป๋ายหมัวมัวหรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ใช่สิ ป๋ายหมัวมัวคือผู้อาวุโสของจวนหนิงนะ ผู้น้อยย่อมต้องพูดคุยทักทายด้วยอยู่แล้ว”
น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “นอกจากทักทายแล้วยังพูดอะไรอีกหรือไม่?”
ชุยตงซานกระทืบเท้า พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ก็น่าจะพูดอะไรบางอย่างนั่นแหละ แต่ทำไมถึงลืมได้นะว่าพูดอะไรไปบ้าง ข้าคนนี้ไม่ชอบจดจำความแค้น ยิ่งจดจำเรื่องอะไรไม่ค่อยได้ ไม่ดีเลยจริงๆ”
น่าหลันเย่สิงหยุดอยู่ที่เดิม มองเด็กหนุ่มชุดขาวที่กระโดดผลุงไปด้านหน้าจนชายแขนเสื้อใหญ่สะบัดเป็นวงกว้าง แล้วก็ให้นึกถึงช่วงเวลาแรกเริ่มสุดที่คนทั้งสองเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องขึ้นมา
เช้าตรู่ของวันนี้เผยเฉียนเรียกให้ชุยตงซานไปเป็นผู้คุมกันตน จากนั้นนางก็ถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก เดินอาดๆ อยู่บนถนนที่เงียบสงัดนอกกำแพงสูงของจวนตระกูลกวอ
บังอาจเกินไปแล้ว ไร้มารยาทเกินไปแล้ว ศิษย์พี่หญิงใหญ่มาเยือนแล้วแต่กลับไม่ออกมาต้อนรับ ยังถือเป็นลูกศิษย์ครึ่งตัวของอาจารย์พ่อตนได้อีกหรือ? ไม่ได้หรอกนะ
ช่างเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่านางไม่มีวาสนากับศิษย์พี่หญิงใหญ่ วันหน้าภูเขาลั่วพั่วย่อมไม่มีที่ทางสำหรับนาง แล้วก็อย่ามาโทษว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ให้โอกาสก็แล้วกัน ให้แล้วแต่รับไว้ไม่ได้อีก น่าสงสาร น่าเวทนาจริงๆ
คิดไม่ถึงว่าบนหัวกำแพงจะมีศีรษะหนึ่งโผล่มา สองมือวางค้ำไว้บนหัวกำแพง สองเท้าลอยต่องแต่ง นางถามว่า “นี่ เจ้าตัวเล็กบนถนนนั่นน่ะ เจ้าเป็นใครกัน? ไม้เท้าเดินป่าและหีบไม้ไผ่ใบเล็กของเจ้าสวยจริงๆ แค่ยิ่งขับให้เจ้าดูดำขึ้นไปอีกก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่ กว่าจะสอนเผยเฉียนคนเมื่อวานให้กลายเป็นเผยเฉียนวันนี้ได้ ตัดใจทิ้งไม่ลงหรอก”
เขาหันตัวมาลูบหัวของเผยเฉียนเบาๆ พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เพราะบางครั้งชีวิตของอาจารย์ก็ยากลำบากมากนี่นา”
แล้วเผยเฉียนก็ร้องไห้ปานจะขาดใจอีกครั้ง
คิดถึงพ่อแม่ระหว่างที่เดินทางลี้ภัยด้วยกัน คิดถึงขอทานน้อยในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่นอนอยู่บนสิงโตหินนับดวงดาวในวันที่อากาศร้อนจัด คิดถึงท่านปู่ชุยที่จากไปโดยไม่บอกลานาง แล้วก็พลันคิดถึงเรื่องทุกอย่าง
ทุกเรื่องที่ไม่ยินดีคิด เรื่องที่ยินดีคิดแต่กลับไม่กล้าคิด ล้วนพากันไหลบ่าทะลักสู่หัวใจในฉับพลัน
กลางระเบียงนอกห้องมีฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างเงียบเชียบ
เฉาฉิงหล่างเปลี่ยนจากยืนมาเป็นนั่งลงบนพื้น เอนหลังพิงผนัง
ชุยตงซานศิษย์พี่เล็กนั่งอยู่ข้างกายเขา
และศิษย์พี่เล็กคนนี้ก็รักษาฟ้าดินเล็กแห่งนั้นเอาไว้ขณะที่พาเขาออกมาจากเรือนอย่างเงียบเชียบ
เฉาฉิงหล่างเอ่ย “ในใจรู้สึกดีขึ้นเยอะแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่เล็ก”
ชุยตงซานเอ่ย “ได้เจอกับอาจารย์ของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอะไรทั้งนั้น เจ้าและข้ามาพยายามไปร่วมกัน”
เฉาฉิงหล่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มตัวคารวะอยู่นานไม่ยอมยืดตัวขึ้นมา
ชุยตงซานพลันโหวกเหวกขึ้นว่า “ไม่ได้การๆ มาถึงที่นี่แล้ว หากไม่ถูกอาจารย์ลุงใหญ่ใช้หนึ่งกระบี่ฟาดให้ร่วงลงจากหัวกำแพงก็ถูกท่านปู่น่าหลันรังแก ข้าต้องเอามาดของศิษย์พี่เล็กออกมาใช้เสียหน่อย ต้องหาคนมาเล่นหมากล้อมด้วยแล้ว! พวกเจ้ารอไปก่อนเถอะ อีกไม่นานก็จะได้ยินเรื่องราวอันรุ่งโรจน์ของศิษย์พี่เล็กแล้ว! ชนะเขาจะไปยากอะไร ชนะสามครั้งห้าครั้งติดก็ไม่นับเป็นผายลมอะไรได้ มีเพียงชนะจนตัวเขาเองอยากจะแพ้ต่อไป นั่นต่างหากถึงจะแสดงให้เห็นว่าวิชาหมากล้อมของศิษย์พี่เล็กเจ้าพอจะใช้ได้”
เมฆขาวก้อนหนึ่งล่องลอยไปทางหัวกำแพงเมืองอย่างเนิบช้า
ไปหาคุณชายใหญ่หลินจวินปี้ผู้นั้นแล้ว
ระหว่างทางที่มุ่งไป ชุยตงซานถึงกับคิดคำพูดโหมโรงไว้เรียบร้อยแล้ว
คุณชายหลิน บังเอิญยิ่งนัก ยังอ่าน ‘ตำราเมฆหลากสี’ อยู่อีกหรือ บอกตามตรง อันที่จริงข้าเองก็เล่นหมากล้อมเป็นเหมือนกัน วิชาหมากล้อมของเจ้าสูงขนาดนี้ เจ้ายอมต่อให้ข้าสักสามเม็ดเป็นอย่างไร ไม่เกินไปกระมัง? ข้าเป็นใคร? ข้าคือตงซานนะ
ชายแขนเสื้อดุจดั่งเมฆขาว
ชุยตงซานหันหน้าหาท้องฟ้าหันหลังให้พื้นดิน มือเท้าโบกสะบัดเป็นท่าว่ายน้ำ
ดินและน้ำของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนแบบหนึ่ง ราชวงศ์เส้าหยวนนั่นคือสถานที่ที่ดีจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!