ในช่วงระหว่างพักนี้ ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ทุกคนต่างก็จงใจอ้อมผ่านเด็กหนุ่มชุดขาว ไม่ใช่กลัวเขา แล้วก็ไม่ได้กลัวอาจารย์ของเขาอย่างเฉินผิงอัน แต่กลัวศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินผิงอันผู้นั้น
เกี่ยวกับการออกกระบี่ของจั่วโย่ว ยามอยู่บนหัวกำแพงเมือง พวกเขาต่างก็ไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียวราวกับรู้ใจกัน ทว่าตอนอยู่ในจวนซุนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนกลับพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวอยู่ไม่น้อย
“เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงก็แค่พูดถึงควันธูปของสายเหวินเซิ่งแค่ไม่กี่คำเองไม่ใช่หรือ จั่วโย่วผู้นั้นต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่นเลยหรือไร? วิชากระบี่สูงกว่าก็มีเหตุผลแล้วงั้นหรือ? ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์คนเก่งของสายเหวินเซิ่ง เวทกระบี่สูงจริงๆ หลักการเหตุผลก็ยิ่งใหญ่จริงๆ”
“เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงมีผลการศึกเลื่องลืออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผ่านสงครามใหญ่มาตั้งกี่ครั้ง ฆ่าปีศาจไปตั้งกี่ตน?! เขาจั่วโย่วคือเซียนกระบี่ที่เข้าร่วมศึกใหญ่แค่ครั้งเดียว หากทำให้เยว่ชิงได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือถึงขั้นสังหารเยว่ชิงไปโดยตรง ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ควรต้องมอบกรอบป้ายอักษรทองให้จั่วโย่วเพื่อแสดงการขอบคุณเลยหรือไม่?”
“แค่เพื่อเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ต้องรบราฆ่าฟันกัน เซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงพูดผิดตรงไหน ควันธูปของสายเหวินเซิ่งเบาบางก็ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขารนหาที่กันเองหรอกหรือ? ก็ถือว่าดีแล้วที่ความรู้ของสายเหวินเซิ่งถูกห้ามเผยแพร่ ดีแล้วที่ปีนั้นราชวงศ์เส้าหยวนของพวกเราทำลายตำราวิชาความรู้ของพวกเขาได้มากที่สุดและเร็วที่สุด ถือเป็นความโชคดีอย่างใหญ่หลวงจริงๆ ไม่อย่างนั้นหากใต้หล้าไพศาลยกเอาความรู้ของสายนี้มาเป็นผู้นำ นั่นก็คงสนุกมากแล้วจริงๆ ใจแคบเท่าไส้ไก่ เกิดเรื่องเข้าหน่อยก็ระดมกำลังครึกโครม ก็โชคดีที่ที่นี่คือกำแพงเมืองปราณกระบี่อันคับแคบ ไม่อย่างนั้นหากยังอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเขาจะอาศัยเวทกระบี่ของตัวเองมาสร้างปัญหาใหญ่เทียมฟ้าหรือไม่”
เพียงแต่ว่ายามที่คนรุ่นเยาว์พวกนี้แสดงท่าทางโกรธเคือง กลับไม่รู้เลยว่าเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่นั่งอยู่ข้างกายซุนจวี้เฉวียน ใบหน้าที่ขมขื่นเหมือนมะระมาตั้งแต่เกิดกลับยิ่งขื่นขมระทมเข้าไปอีก
ซุนจวี้เฉวียนที่สวมชุดแขนเสื้อกว้างใหญ่นั่งอยู่บนระเบียง ในมือถือ ‘น้ำพุสุรา’ กระดกเหล้าขึ้นดื่ม ยิ้มถามว่า “ขู่เซี่ย เจ้าคิดว่าคนพวกนี้คิดแบบนี้จริงๆ หรือแสร้งทำเป็นคนโง่ที่ไม่มีเรื่องกลับหาเรื่องจะพูดกันแน่?”
ขู่เซี่ยไม่ได้ให้คำตอบ
เพราะว่าคำตอบทั้งสองอย่างนี้ต่างก็ไม่ใช่คำตอบที่ดี
ดูเหมือนว่าซุนจวี้เฉวียนจะยอมรับชะตากรรมมากกว่าขู่เซี่ยเสียอีก แม้แต่จะโกรธยังคร้านจะทำ เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกหัวมังกุท้ายมังกร พูดจาหนวกหูชวนให้คนรำคาญใจ”
ขู่เซี่ยถอนหายใจโล่งอก
จะดีจะชั่วก็ยังพักอยู่ในจวนซุนได้
แต่ถ้อยคำประโยคสุดท้ายของซุนจวี้เฉวียนกลับทำให้ขู่เซี่ยรู้สึกจนใจไม่น้อย “อยู่ในใต้หล้าไพศาล จะกินของส่งเดชไม่ได้ ทว่ากลับสามารถพูดจาส่งเดชได้ ทว่าอยู่กับข้ากลับตรงกันข้ามพอดี ของกินมั่วซั่วได้ แต่คำพูดไม่อาจเอ่ยส่งเดช เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว วันหน้าหากมีเรื่องก็อย่ามาขอให้ข้าช่วยขอร้องแทนพวกเจ้า ข้าซุนจวี้เฉวียนเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่พอให้คนเขาฟันกระบี่ใส่หลายทีหรอก แล้วนับประสาอะไรกับที่ตายไปแล้วยังเสียเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แล้วจะหาเรื่องลำบากใส่ตัวไปไย ข้าล่ะแปลกใจจริงๆ ตามหลักแล้วราชวงศ์เส้าหยวนก็ถือเป็นสถานที่ที่ไม่ขาดอารยธรรม เจ้าพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ก็น่าจะได้เล่าเรียนเขียนอ่านกันมาไม่น้อย หลักการเหตุผลในตำราก็น่าจะกินเข้าท้องไปบ้างกระมัง กินอาหารเลิศรสหายากก็ขี้ออกมาเติมส้วม จะดีจะชั่วก็ยังพอมีประโยชน์ แต่นี่กินหลักการเหตุผลไปแล้ว แล้วก็ขี้ออกมาแล้ว ปากตัวเองเหม็นหรือไม่ ปากคนข้างๆ เหม็นหรือไม่ แค่นี้ก็น่าจะได้กลิ่นอยู่บ้างไม่ใช่หรือ? ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่า คำพูดเหล่านี้ของพวกเขา พูดอยู่ในจวนซุนของข้าก็พอ เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงจวนซุนของข้าก็ถูกพวกเจ้าทำร้ายจนฉาวโฉ่ไปทั่วหัวถนนแล้ว แต่หากยังออกไปโหวกเหวกอยู่ข้างนอก จวนซุนไม่ช่วยเก็บศพให้หรอกนะ”
จนถึงตอนนี้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ยังคงจดจำสายตาเย็นชาตอนเอ่ยประโยคสุดท้าย และคำพูดประโยคสุดท้ายของซุนจวี้เฉวียนได้ชัดเจน “ถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราก็เป็นสถานที่กันดารยากจน เรียนหนังสือรู้ตัวอักษรก็ยิ่งเป็นเรื่องหายาก ลงมือทีก็ไม่รู้จักหนักเบา หากศพไม่ครบถ้วนก็ยากจะเก็บกลับมาประกอบกันได้”
หลังจากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยเปิดปากเอ่ยให้หยุดพักครึ่งชั่วยาม จูเหมยก็รีบวิ่งไปหาอวี้เจวี้ยนฟูทันที เพราะต้องการบอกนางว่าชุยตงซานมาที่นี่ แค่มองก็รู้แล้วว่ามาเพื่อหาเรื่อง
จินเจินเมิ่งยังคงนั่งอยู่บนเบาะในมุมเพียงลำพัง ตามหาปณิธานกระบี่เสี้ยวที่ซ่อนอยู่ในปราณกระบี่พวกนั้นอยู่เงียบๆ
หลินจวินปี้ที่นั่งอยู่บนเบาะกำลังช่วยไขข้อข้องใจและตอบปัญหายากแก่ผู้ฝึกกระบี่สองสามคน
มีเพียงเหยียนลวี่ที่ลุกขึ้นยืนเดินไปหาลูกศิษย์ของเฉินผิงอันที่มีนามว่าชุยตงซานคนนั้น เขากระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง หันหน้ามามองสถานการณ์หมากบนกระดานแล้วยิ้มถามว่า “คือหัวข้อเป็นตาย (คือหัวข้อหนึ่งในการเล่นหมากล้อมโดยการกำหนดขอบเขตหนึ่งที่แน่นอนเอาไว้ แล้วให้ฝ่ายหนึ่งเดินก่อน โดยจะใช้วิธีฆ่าให้เป้าหมายที่กำหนดไว้ซึ่งจะเป็นหมากของตัวเองหรือหมากของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ให้ตายหรือจะช่วยให้มีชีวิตรอด) ที่อยู่ใน ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ของอาจารย์ซีหลูหรือ?”
ชุยตงซานเงยหน้า ชำเลืองตามองเหยียนลวี่แวบหนึ่ง ไม่เอ่ยอะไรก็ก้มหน้าลง พยายามแก้หัวข้อปัญหาสถานการณ์หมากของตัวเองต่อไป
เหยียนลวี่ยิ้มกล่าว “เจ้าอยู่ที่นี่เพราะนึกอยากจะเล่นหมากล้อมกับใครหรือไม่? อยากขอให้จวินปี้ช่วยสอนวิชาหมากล้อมแก่เจ้างั้นหรือ? ข้าแนะนำเจ้าว่าถอดใจเสียเถอะ จวินปี้ไม่มีทางเดินมาที่นี่หรอก”
ชุยตงซานเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “เจี่ยงกวนเฉิง หากเจ้าคิดอยากจะตีสนิทข้า เพื่อจะให้อาจารย์ลุงใหญ่ของข้าคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้า ข้าก็แนะนำเจ้าว่ารีบไสหัวไปดีกว่า”
เจี่ยงกวนเฉิง?
เหยียนลวี่หลุดหัวเราะพรืด
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น “ทำไม ลูกศิษย์สายหย่าเซิ่งอย่างเจ้าคิดจะมาประลองบุ๋นกับข้าบนกระดานหมากล้อมงั้นหรือ?”
เหยียนลวี่ส่ายหน้า คลี่ยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้าย สีหน้าไม่สะทกสะท้าน “เจ้าจำคนผิดแล้ว แม้ข้าเหยียนลวี่จะไม่ใช่ลูกศิษย์สายหย่าเซิ่ง แต่ก็รู้ดีว่าลูกศิษย์สายของหย่าเซิ่งให้ความเคารพกฎเกณฑ์ ยกย่องคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์เป็นที่สุด ไม่เคยแก่งแย่งช่วงชิงกับผู้อื่นโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง หลักการเหตุผลอยู่ในตำราอยู่ในหัวใจ ไม่ได้อยู่บนหมัดหรือบนกระบี่ แน่นอนว่าก็ไม่อยู่บนกระดานหมากด้วย ข้าไม่ใช่สายของหย่าเซิ่งยังรู้เหตุผลข้อนี้ แล้วลูกศิษย์นับหมื่นของสายหย่าเซิ่งจะไม่ยิ่งเห็นด้วยหรอกหรือ?”
ชุยตงซานกล่าวอย่างสงสัย “เจ้าชื่อเหยียนลวี่ ไม่ใช่เจี่ยงกวนเฉิงที่บนหลุมศพบรรพบุรุษในบ้านมีควันเขียวผุดขึ้น ผู้อาวุโสสองคนในตระกูลต่างก็เคยเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาหรอกหรือ? เจ้าคือลูกหลานตระกูลเหยียนแห่งแผ่นดินกลาง?รึ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!