ตอน บทที่ 609.4 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 609.4 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
อวี้เจวี้ยนฟูไม่ได้เดินเข้าไปใกล้คนทั้งสองที่เล่นหมากล้อมกัน แต่นั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มกินแผ่นแป้งย่างพร้อมกับน้ำ จูเหมยอยากจะไปร่วมวงความครึกครื้นที่นั่น แต่กลับถูกอวี้เจวี้ยนฟูรั้งตัวไว้บอกให้อยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนนาง
ชุยตงซานมองไปยังแผ่นหลังของอวี้เจวี้ยนฟูแล้วเอ่ยปลงอนิจจังเสียงเบาว่า “พี่หญิงอวี้คนนี้ หากนางยอมมองข้าแค่สักแวบก็พอแล้ว แค่นี้ก็ช่วยให้ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของข้าเพิ่มพูน โอกาสชนะก็จะมีมากขึ้น”
หลินจวินปี้รวบรวมสมาธิไม่เอ่ยคำใด
ชุยตงซานหันหน้ามา “เดิมพันเล็กๆ เพื่อความสนุกสนาน หนึ่งเหรียญทองแดง”
หลินจวินปี้ถาม “เงินเหรียญทองแดง?”
“ไม่อย่างนั้นจะเอาอะไรล่ะ? เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญยังจะถือเป็นการเดิมพันเล็กๆ ได้อีกหรือ?”
ชุยตงซานจุ๊ปากเอ่ย “คุณชายหลินมีเงินจริงๆ”
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “ข้าจะไปหาเหรียญทองแดงจากไหนมาให้เจ้า ใช่แล้ว คิดดูแล้วโอกาสแพ้ก็คงไม่มาก น่าจะชนะได้มากกว่า เพราะถึงอย่างไรหากชนะได้เงินเหรียญทองแดงมาเหรียญหนึ่ง เมื่อเทียบกับชนะได้เงินฝนธัญพืชมาหนึ่งเหรียญแล้วก็น่าสนใจมากกว่า ในอนาคตสามารถทำให้พวกคนที่ชมการประลองจดจำได้มากกว่า”
ชุยตงซานกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ความคิดอันเลิศล้ำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังยากจะคาดเดาของข้านี้ ข้าว่าตัวเองอำพรางได้ดีแล้วนะ แต่คุณชายหลินก็ยังเดาออกอีกหรือ?! เงินเหรียญทองแดงเหรียญนั้นในกระเป๋าข้า ไม่ใช่ว่าต้องเจอความเสี่ยงที่ต้องออกจากบ้านออกเรือนไปกับคนอื่นหรอกหรือ!”
หลินจวินปี้จำต้องยอมรับว่าคนตรงหน้าทำให้ตนสะอิดสะเอียนได้ไม่น้อย แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเหยียนลวี่ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น เขาก็ถือว่ายังดีกว่ามากโข บทสนทนาในวันนี้ วันหน้าในราชวงศ์เส้าหยวนจะต้องมีคนไม่น้อยได้ยินผ่านหู หลังจากนี้การฝึกกระบี่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเหยียนลวี่จะได้รับผลเก็บเกี่ยวหรือไม่ ก็บอกได้ยากแล้ว เมื่อผู้ฝึกตนไม่อาจปัดเป่าความยอกแสลงใจออกไปได้หมด อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับชื่อเสียงของตระกูลซึ่งเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากยิ่งกว่า อย่างน้อยที่สุดก็จะทำให้ผลเก็บเกี่ยวที่เดิมทีเหยียนลวี่ควรได้รับมาถูกลดทอนหายไปหลายส่วน
หลินจวินปี้เอ่ยว่า “ตกลงกันไว้ก่อนว่า ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะล้วนมีเดิมพันอยู่แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียว เดาก่อนไหม?”
ชุยตงซานถามว่า “คุณชายหลินมีฝีมือการเล่นหมากล้อมเลิศล้ำ แต่กลับไม่ยอมต่อให้ข้าก่อนสามเม็ดงั้นหรือ? ไม่อยากกลับไปพร้อมชัยชนะใหญ่หนึ่งเหรียญทองแดงหรืออย่างไร?!”
หลินจวินปี้ยื่นมือเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมากแล้ว เขากำเม็ดหมากเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างระอาใจว่า “ช่วยมีกฎระเบียบหน่อยได้ไหม เจ้าและข้าต่างก็เป็นคนบนภูเขา แต่เรื่องเดาหมากล้อมก็ควรต้องทำตามกฎของล่างภูเขากระมัง?”
ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของกระดานหมากล้อมกระดกก้นขึ้น เบิกตากว้าง เงี่ยหูรอฟังอยู่นานแล้ว ใช่ว่าหลินจวินปี้จะไม่มีวิธีในการปิดบังเสียงเม็ดหมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าตบะของอีกฝ่ายสูงหรือต่ำ หากตนทำเช่นนี้ แล้วอีกฝ่ายมีตบะของเซียนดิน คนที่เสียเปรียบก็ยังต้องเป็นตนอยู่ดี ทว่าการเล่นหมากล้อมคือเรื่องของการป้องกันทั้งสองฝ่าย หลินจวินปี้ย่อมไม่อาจบอกให้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยช่วยจับตามองอีกฝ่ายให้ได้
ชุยตงซานกลับลงไปนั่งที่เดิม พยักหน้ารับแล้วเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “ถือว่าเจ้าชนะได้เดินก่อน ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้ถึงความตื้นลึกของฝีมือการเล่นหมากล้อมของคุณชายหลิน ทว่าฝีมือนอกกระดานหมากกลับร้ายกาจจริงๆ เมื่อเทียบกับสุนัขน้อยเหยียนขาเลียที่มักจะใช้หลักการเหตุผลของตัวเองมาตบหน้าตัวเองแล้ว นับว่าเก่งกาจกว่ามากนัก”
หลินจวินปี้คลายมือออก แล้วกำเม็ดหมากใหม่อีกครั้ง
จุดที่ร้ายกาจก็คือหลินจวินปี้ที่เดิมทีอยู่ในสภาพเสียเปรียบ ก็เพราะเขาเป็นฝ่ายรักษากฎเกณฑ์ก่อน จึงเป็นการบีบให้อีกฝ่ายที่ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ยังต้องรักษากฎตามไปด้วย ไม่ใช่ว่าเรื่องราวทางโลกในใต้หล้านี้จะเป็นแบบนี้ไปเสียทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ใกล้กับกระดานหมากก็ควรจะเป็นเช่นนี้
พวกผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยอย่างเจี่ยงกวนเฉิงที่ชมศึกอยู่ไกลๆ ไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้รู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
พอต้องเดาก่อน ชุยตงซานก็หยิบเอาเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งออกมาโยนลงบนพื้น มองว่าเป็นหัวก้อย แล้วเขาก็โชคไม่เลว เพราะได้เดินนำไปก่อน
ฝั่งของอวี้เจวี้ยนฟูที่ถูกจูเหมยพาให้หันหน้าเข้าหาสองคนที่ประลองหมาก พอเห็นภาพนี้ก็คลึงขมับ ปวดหัวยิ่งนัก
ทั้งสองฝ่ายทยอยกันวางเม็ดหมาก
หลินจวินปี้มีสีหน้าเป็นธรรมชาติ คนผู้นี้เดินหมากตามรูปแบบของ ‘ตำราน้ำพุดอกท้อน้อย’ ที่โบราณเก่าแก่และหาได้ยากมาก
ความมหัศจรรย์ของมันนั้นอยู่ที่การรบเร็วจบเร็ว แก่นของมันอยู่ที่สิบคำว่า ‘ใช้กฎเกณฑ์สูงสุดมาวางหมากแบบไร้เหตุผลก่อน’ เพียงแต่ว่าหากนักเล่นระดับสูงสุดของแคว้นใช้ความคิดไตร่ตรองดูสักหน่อย วิธีการนี้จะใช้ไม่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินจวินปี้เคยอ่านตำราเล่มนี้มาก่อนนานแล้ว ถ้าอย่างนั้นบนกระดานหมากเป็นใครกันแน่ที่ชิงลงมือได้ก่อน? เท่านี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว
หลินจวินปี้วางหมากไม่ช้าไม่เร็ว แต่อีกฝ่ายวางหมากรวดเร็วราวกับบินตลอดเวลาคล้ายคิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ในกำมือได้แล้ว
หลินจวินปี้จงใจอำพรางฝีมือในช่วงเวลาที่สำคัญหลายครั้ง
เขาวางหมากไปได้ถึงสองร้อยสามสิบกว่าครั้งกว่าจะยอมแพ้
ก็แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวเท่านั้น
แล้วนับประสาอะไรกับที่คิดจริงๆ หรือว่าหากตนชนะได้ แล้วจะทำให้คนอย่างเหยียนลวี่ซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหล?
นั่นคงไม่ใช่เหยียนลวี่เลว แต่เป็นหลินจวินปี้เองที่โง่
เมื่อใดที่ชื่อเสียงอันสะอาดบริสุทธิ์ของตระกูลเหยียนที่ยิ่งใหญ่จำเป็นต้องอาศัยเด็กหนุ่มคนหนึ่งของราชวงศ์เส้าหยวนมาคอยกอบกู้?
มีเพียงหลินจวินปี้แพ้ อีกทั้งยังแพ้แบบเฉียดฉิว หมากล้อมที่ตนพ่ายแพ้ด้วยการพยายามอย่างสุดความสามารถ อีกทั้งยังพ่ายแพ้ด้วยความเสียดาย นั่นต่างหากถึงจะทำให้เหยียนลวี่รู้สึกซาบซึ้งได้สักสองสามส่วน แน่นอนว่าไม่มากไปกว่านั้นแล้ว ถึงอย่างไรคนอย่างเหยียนลวี่ ชื่อเสียงจอมปลอมก็คือชื่อเสียงจอมปลอม มีเพียงผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างแท้จริงเท่านั้นที่ถึงจะทำให้เขาหวั่นไหวได้อย่างแท้จริง อีกทั้งยังยินดีที่จะจำไว้ว่าการเป็นพันธมิตรกับหลินจวินปี้นั้นมีแต่ได้กำไร
หลังจากที่หลินจวินปี้โยนหมากเพื่อแสดงว่ายอมรับความพ่ายแพ้แล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “เงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ ตอนนี้บนร่างข้าไม่มีอยู่จริงๆ วางใจเถอะ พอไปถึงที่นคร ข้าจะไปยืมเงินนี้จากคนอื่นมาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเมื่อยืมมาได้แล้วควรจะเอาไปมอบให้ถึงที่ด้วยตัวเองหรือไหว้วานให้คนอื่นช่วย ก็ล้วนให้คนชนะเป็นคนตัดสินใจ”
ชุยตงซานพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ จ้องมองไปยังสถานการณ์หมากที่สุ่มเสี่ยงระหว่างแพ้ชนะครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที ยิ้มกล่าวว่า “มิน่าเล่าๆ คุณชายหลินต้องเคยแอบอ่าน ‘ตำราน้ำพุดอกท้อน้อย’ มาก่อนแล้วแน่ๆ ข้าก็ว่าแล้วเชียว การเปิดฉากด้วยวิธีการของเทพเซียนที่เล่นร้อยครั้งก็ไม่พลาดสักครั้งของข้านี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่จะทำให้คู่ต่อสู้เล่นไปได้ครึ่งกระดานก็ต้องยอมแพ้แล้ว”
หลินจวินปี้ยิ้ม ไม่เห็นเป็นสำคัญ ได้รับผลประโยชน์แล้วยังเรียกร้องความไม่เป็นธรรมก็หนีไม่พ้นแบบนี้เอง
ชุยตงซานคิดแล้วก็เอ่ยว่า “คุณชายหลินจะไปยืมเงินด้วยตัวเองหรือไม่ จะให้ข้าตามก้นคุณชายหลินต้อยๆ ก็คงไม่เข้าท่า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยศึกษาแก่นของขนบธรรมเนียมตระกูลเหยียนมาก่อน แต่คุณชายหลินจะเอาเงินมาส่งให้ด้วยตัวเองหรือไม่ ข้ากลับพอจะมีวิธีอยู่ หากครั้งที่สองข้าชนะ ของรางวัลต้องเป็นของข้า แล้วข้าก็สามารถเอามาดของนักเล่นระดับแคว้นออกมาใช้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คุณชายหลินไม่ต้องมาด้วยตัวเอง แค่ให้พี่หญิงอวี้เป็นคนเอามาส่งให้ก็พอ หากคุณชายหลินชนะ…จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าคนนี้เวลาเล่นหมากล้อม ความสามารถก้นกรุไม่มีอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรวิชาหมากล้อมและกระบวนท่าทั้งหลายที่ข้ารู้มาก็ล้วนเป็นความสามารถก้นหีบของคนอื่น ฝีมือเทพเซียนของคนอื่น ในสายตาของข้าแล้วล้วนถือเป็นการเดินหมากอย่างไร้เหตุผลทุกหนแห่ง…”
หลินจวินปี้เก็บเม็ดหมาก เตรียมจะลุกขึ้นยืน
เพราะถึงอย่างไรก็ถูกคนผู้นี้ลากเอาอาจารย์ซีหลูและ ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ที่มีชื่อเสียงมานานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
เพียงแต่ว่าการแพ้ชนะบนกระดานยังคงเป็นเรื่องรอง ตนยังไม่ต้องสนว่าจะแพ้หรือชนะ หากแพ้แล้ว อาจารย์ซีหลูก็จะไม่ใช่นักเล่นลำดับต้นๆ ของแคว้นในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีกแล้วหรือ? หรือว่า ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ จะถูกขับไล่ออกจากลำดับรายชื่อตำราหมากล้อมใต้หล้างั้นหรือ?
การประลองครั้งที่สอง
หลินจวินปี้ใช้เวลาไตร่ตรองนานมาก
ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวฝั่งตรงข้ามก็ยิ่งใคร่ครวญนานยิ่งกว่า ในที่สุดก็ไม่แสร้งทำเป็นเกาแก้มเกาคาง หรือบางครั้งก็แสร้งทำเป็นขมวดคิ้วเบาๆ ราวกับลำบากใจอีกแล้ว
แพ้ชนะยังคงห่างกันเพียงเสี้ยวเดียว
ครั้งนี้กลายเป็นหลินจวินปี้ที่เพ่งมองกระดานหมากเนิ่นนานบ้างแล้ว
หมากสามเม็ดสุดท้ายของอีกฝ่ายล้วนมีฝีมือเลิศล้ำ
ฝีมือการเล่นเพิ่มขึ้นพรวดพราด รูปแบบการเล่นพลิกเปลี่ยน หลักการเหตุผลก็ยิ่งกลับหน้ามือเป็นหลังมือ
นี่ถึงได้ทำให้หลินจวินปี้ตั้งตัวไม่ทัน หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันใช้เวลาไตร่ตรองยาวนานอย่างถึงที่สุดแล้ว เขาก็ได้แต่โยนหมากแสดงถึงการยอมแพ้อีกครั้ง
สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวแปลกประหลาดไปเล็กน้อย “เจ้าศึกษาการเล่นครั้งที่หกของตำราเมฆหลากสีลึกล้ำไปหน่อยหรือไม่ ในเมื่อมีวิธีการรับมือแล้ว ต่อให้จะบอกได้ยากว่าจะแพ้หรือชนะ แต่เมื่อรู้สถานการณ์ในเวลานี้ดีแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีโอกาส เหตุใดถึงยังไม่ยอมวางหมาก? ถ่อมตัวทำให้ตัวเองต้องอุดอู้ตาย แบบนี้ก็เรียกว่าถ่อมตัวได้ด้วยหรือ? คุณชายหลิน หากเจ้ายังเล่นหมากล้อมอยู่แบบนี้ก็เท่ากับว่ายกเงินให้คนอื่นเปล่าๆ นี่ข้าคงจะต้องขอให้เจ้าเล่นตาถัดไปด้วยกันจริงๆ แล้วนะเนี่ย”
หลินจวินปี้ถอนหายใจ “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่?”
อีกฝ่ายพลันหัวเราะก๊าก แต่กลับใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ต้องรู้แน่อยู่แล้ว คุณชายหลินเจ้าต้องการใช้การแพ้หมากสองกระดานมาทำให้ข้ารู้สึกว่าหลักการเล่นหมากล้อมที่เจ้าเชี่ยวชาญมีรูปแบบเช่นนี้ จากนั้นรอให้ข้าเปิดปากเอ่ยถึงการเล่นครั้งที่สาม ลงเดิมพันก้อนใหญ่ ก็จะเอาชนะข้าจนข้าล้มละลายใช่หรือไม่? คุณชายหลิน นักเล่นระดับแคว้นที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมอย่างพวกเจ้าช่างใจดำเสียจริง วันนี้นับว่าข้าได้เรียนรู้แล้ว”
หลินจวินปี้เปิดปากเอ่ยว่า “การเล่นครั้งที่สาม เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ข้าจะทุ่มเทฝีมือเต็มที่”
ชุยตงซานกำมือเป็นหมัดแล้วโบกเบาๆ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เงินร้อนน้อยเหรียญนี้ที่พี่หญิงอวี้ซื้อพัดของข้าไป ข้าจะแพ้ให้เจ้าไม่ได้หรอกนะ ส่วนเงินร้อนน้อยเหรียญอื่นเจ้าก็เชิญเลือกได้ตามสบาย ถึงอย่างไรในกระเป๋าข้าก็ไม่มีอยู่แล้ว”
ชุยตงซานหันหน้ามาตะโกนเรียก “พี่หญิงอวี้ ท่านวางใจเถอะ ต่อให้ข้าแพ้หมดหน้าตักก็จะยังเก็บเงินร้อนน้อยที่มีความหมายถึงความสัมพันธ์พี่สาวน้องชายที่ลึกล้ำของพวกเราเหรียญนี้เอาไว้!”
อวี้เจวี้ยนฟูแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!