สรุปเนื้อหา บทที่ 609.5 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 609.5 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
จูเหมยพึมพำ “ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “แม่นางน้อย พูดให้ดังๆ หน่อย สายเหวินเซิ่งของพวกเราไม่เคยถือสาคนที่ด่าต่อหน้า หากมีเหตุผลยังจะยกนิ้วโป้งบอกว่าเจ้าด่าได้ดีด้วยซ้ำ ด่าคนลับหลัง ก็ได้เหมือนกัน แต่อย่าให้พวกเราได้ยินเข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นอ่านหนังสือเหมือนกินฉี่ กินข้าวเหมือนกินขี้ ต้องโดนฟ้าผ่าหัว”
จูเหมยตื่นตระหนกเล็กน้อย ขยับตัวนั่งใกล้กับอวี้เจวี้ยนฟูอีกนิด
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “เงินร้อนน้อยเหรียญไหนก็ได้”
ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “บวกกับของรางวัลเพิ่มเติม หากข้าชนะ เจ้าค่อยเอาตำราเมฆหมากสีเล่มนั้นมอบให้ข้า”
หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “ย่อมได้”
การประลองครั้งที่สาม
หลินจวินปี้เดินนำไปก่อน
ผลคือหลินจวินปี้ที่เดินนำไปก่อนซึ่งถือว่าได้เปรียบมาก อีกทั้งยังอยู่ห่างจากชัยชนะบนกระดานอีกแค่เสี้ยวเดียว กลับเกือบจะติดกับวงจรแห่งหายนะจากการลงมือของอีกฝ่ายถึงสามครั้ง แม้ว่าสีหน้าของหลินจวินปี้จะเป็นปกติโดยตลอด ทว่าในใจกลับมีไฟโทสะขุมหนึ่งลุกโชนขึ้นมาในที่สุด
ทั้งสองฝ่ายวางเม็ดหมากมากเกือบสี่ร้อยครั้ง!
สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว การปิดฉากการประลองครั้งนี้น่าตื่นตะลึงอย่างมาก
สำหรับคนที่มองคนทั้งสองประลองกันกลับไม่มีใครมองแนวโน้มที่จะตัดสินแพ้ชนะอย่างแน่ชัดออก
หลังจากวางหมากลงครั้งหนึ่ง หลินจวินปี้ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
ชุยตงซานกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด หยิบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา โน้มตัวมาด้านหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งที่คีบหมากออกมา มืออีกข้างจับรั้งชายแขนเสื้อเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ไปโดนเม็ดหมากบนกระดาน ในขณะที่เขากำลังจะวางเม็ดหมากลง หลินจวินปี้ก็พลันบังเกิดความมั่นใจ ชนะแล้ว!
ชุยตงซานพลันยกมือขึ้น ยักไหล่ให้หลินจวินปี้ที่ตกตะลึงไปเล็กน้อย “ฮ่าๆ โมโหหรือไม่? โมโหหรือไม่? ข้าจะไม่วางลงตรงนี้หรอก โอ้โห้ ข้านี่มันฉลาดจริงๆ เล้ย สมองใหญ่จริงๆ ไหวพริบดีเยี่ยมเลยนะนี่”
นี่น่าจะเรียกว่าถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่สิงร่างได้แล้ว
แทบทุกคนซึ่งรวมถึงจูเหมย หรือแม้แต่จินเจินเมิ่งที่ไม่ค่อยชอบเล่นหมากล้อมก็ยังตะลึงอึ้งงันเป็นไก่ไม้กันไปหมด
ชุยตงซานหยุดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังค้อมเอวคีบเม็ดหมากไปวางมุมอื่นบนกระดาน จากนั้นก็กลับมานั่งที่เดิม สองมือสอดกันอยู่ชายแขนเสื้อ “ไม่เล่นแล้วๆ สามารถเอาชนะหลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวนได้สามครั้งติด แค่นี้ก็พึงพอใจมากแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “พระจันทร์วันนี้กลมจริงๆ เล้ย”
อืม กลางวันแสกๆ จะมีดวงจันทร์ที่ไหนให้มอง เด็กหนุ่มจึงคิดถึงพี่หญิงโจวเฉิงคนนั้นขึ้นมาแล้ว
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “ข้าแพ้แล้ว เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ วันหน้าข้าจะประคองส่งให้ด้วยสองมือ”
ชุยตงซานพลันหัวเราะเสียงเย็น “โอ้โห ฟังจากน้ำเสียงนี่สิ มองเรื่องการแพ้ชนะอย่างเรียบง่ายมากหรือ? ทำไม รู้สึกว่าข้าผู้อาวุโสวางเม็ดหมากกับเจ้าสี่ร้อยครั้ง ก็เท่ากับว่าพวกเราฝีมือสูสีกันจริงๆ แล้วงั้นหรือ? หยอกเจ้าเล่นหรอกน่า มองไม่ออกสินะ? เชื่อหรือไม่ว่าการเล่นครั้งที่สี่ที่พวกเราจะไม่มีของเดิมพันอะไรสักอย่างนี้ เดิมพันแค่ว่าภายในการวางหมากแปดสิบครั้ง ข้าก็จะสามารถเอาชนะกบใต้บ่อตัวหนึ่งที่นอนโอ้อวดบารมีอยู่ในราชวงศ์เส้าหยวนได้?!”
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “อ้อ?”
แล้วชุยตงซานก็ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือนี่? ข้าเอาชนะได้แล้ว อีกทั้งยังมากถึงสามครั้ง เงินที่ได้มาไม่มาก ขอให้ข้าพูดจาวางโตให้สนุกปากบ้างไม่ได้เลยหรือ?”
ชุยตงซานหุบยิ้ม มองสถานการณ์หมากซับซ้อนบนกระดานที่มีเม็ดหมากวางไว้เต็มแน่น แล้วจุ๊ปากพูดว่า “พวกเราสองพี่น้องวางสถานการณ์เทพเซียนแบบนี้ด้วยกัน มารดามันเถอะ ศาลาแห่งความชื่นมื่นใกล้จะระเบิดแล้วกระมัง เพราะว่าชื่นมื่นเบิกบานจะตายอยู่แล้ว!”
อันที่จริงเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูแคลนฝีมือการเล่นหมากล้อมของคนผู้นี้อีกแล้ว
เหยียนลวี่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
นอกจากเปียนจิ้งแล้วก็ถือว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขาใกล้เคียงกับหลินจวินปี้มากที่สุด ดังนั้นจึงยิ่งรู้ดีว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเด็กหนุ่มชุดขาวสูงแค่ไหน
ดังนั้นจึงเริ่มเปลี่ยนจากการเกลียดแค้นอย่างเดียวกลายมามีความหวาดกลัวควบคู่ไปด้วย ยังคงเกลียดแค้นอยู่เหมือนเดิม ถึงขั้นยังเกลียดแค้นมากขึ้น แต่ส่วนลึกในใจกลับมีความหวาดเกรงเสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างที่มิอาจห้ามได้
ชุยตงซานโบกมือให้คุณชายหลินที่นั่งยองอยู่ในห้องส้วมแต่ไม่ยอมขี้ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันหน้าเอาเงินมาให้ข้า แต่เจ้าจะเป็นคนเอามาให้เองหรือไม่ ไม่สำคัญ คุณชายหลิน ข้าจะเก็บกระดานหมากแล้ว ทำไม จะช่วยเก็บงั้นหรือ? เจ้าช่วยมาตั้งสามครั้งใหญ่ๆ แล้ว ข้าว่าอย่าเลย หากเจ้ายังทำแบบนี้ มโนธรรมในใจของข้าคงจะไม่สงบ นี่เป็นบัญชาจากสวรรค์ ทำให้ข้ามิอาจเป็นเพื่อนกับคนใจกว้างแบบเจ้าได้ ยามค่ำคืนข้าคงต้องนอนพลิกไปพลิกมาหลับไม่ลงแน่นอน”
หลินจวินปี้ถอนหายใจ
ในเมื่อมีการเล่นกระดานที่สามนี้ หากนำไปวางไว้ในประวัติศาสตร์ของตลอดทั้งราชวงศ์เส้าหยวน บางทีอาจมากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นการประลองที่มีชื่อเสียง ดังนั้นผลลัพธ์นี้เขาจึงยังพอยอมรับได้
ชุยตงซานเก็บเม็ดหมากด้วยการโยนมันใส่ในโถอย่างไม่มีมาด เสียงเม็ดหมากกระทบโถดังกังวานพลางพึมพำกับตัวเองไปด้วยว่า “ชนะติดต่อกันสามครั้ง สบาย สบายใจจริงๆ เพียงแต่ว่าอาศัยความแตกต่างของฝีมือการเล่นหมากล้อมมาบดขยี้อีกฝ่ายกลับเป็นเรื่องน่าเบื่อนัก หากฝีมือของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างกัน แพ้ชนะขึ้นอยู่กับดวง ดวงอยู่ที่ข้า จากนั้นก็ชนะหมากล้อมอีก นั่นต่างหากถึงจะสบายอกสบายใจอย่างแท้จริง คาดว่าชีวิตนี้คุณชายหลินคงผ่านด่านบนกระดานหมากมาได้ราบรื่นเกินไป อีกทั้งยังเคยชินที่จะใช้กำลังข่มคนอื่น ก็เลยไม่อาจเข้าใจอารมณ์ของข้าได้ น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”
ชุยตงซานพลันยิ้มถามว่า “ทำไม รู้สึกว่าสองคำกล่าวที่ว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าสูงเกินไป หรือไม่ก็โชคเข้าข้างข้าล้วนไม่เป็นจริง? ฝีมือการเล่นหมากล้อมสูงหรือไม่ ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจก็พอแล้ว แต่ข้าโชคดีหรือไม่ คุณชายหลินเจ้าต้องยอมรับนะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเล่นกันอีกตา เปลี่ยนวิธีใหม่ เป็นอย่างไร? ไม่ได้แข่งเรื่องฝีมือการเล่นหมากล้อมทั้งหมด แต่เน้นในเรื่องดวงมากกว่า กล้าหรือไม่? ถึงขั้นพูดได้ว่า สิ่งที่พวกเราแข่งกันมีแค่เรื่องของดวงเท่านั้น หมากล้อมที่แข่งเช่นนี้ ตลอดชีวิตต่อจากนี้คุณชายหลินอาจไม่มีโอกาสได้เล่นแล้ว เพราะแค่ดูที่ดวง ดังนั้นพวกเราจึงไม่ลงเงินเดิมพัน หรือเดิมพันสิ่งของอะไรทั้งนั้น”
หลินจวินปี้ถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เจ้าเป็นคนตัดสินการเล่นหมากล้อมตานี้ จะแพ้หรือชนะ ก่อนจะแข่งเจ้าก็บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยไว้ก่อน ขอแค่สถานการณ์หมากบนกระดานเป็นอย่างที่เจ้าบอกไว้ ไม่ว่าบนกระดานข้าจะแพ้หรือชนะก็ล้วนถือว่าเป็นเจ้าที่ชนะ พวกเราแข่งกันว่าใครดวงดีกว่ากัน กล้าหรือไม่?!”
คนจำนวนไม่น้อยซึ่งมีเจี่ยงกวนเฉิงเป็นหนึ่งในนั้นยินดีจะควักเงินจ่ายกันจริงๆ แต่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกลับเริ่มไล่คน อีกทั้งยังไม่เหลือพื้นที่ใดๆ ให้ปรึกษาอีกด้วย ดังนั้นบนหัวกำแพงจึงเหลือแค่อวี้เจวี้ยนฟูและจูเหมยที่อวี้เจวี้ยนฟูช่วยหนุนหลังให้
ทั้งสองฝ่ายเริ่มวางเม็ดหมากลงบนกระดาน มองดูเหมือนเป็นการทบทวนกระดาน แต่ในความจริงแล้วนอกจากกระดานที่สามของตำราเมฆหลากสี ได้มีการเล่นกระดานใหม่เกิดขึ้นแล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลินจวินปี้ที่ใช้ความคิดใคร่ครวญอย่างยาวนานไม่หยุด อยู่ดีๆ ก็หยุดค้างที่มุมบนขวาของกระดาน บนกระดานหมากเขาวางเม็ดหมากใหม่ไปแค่สามสิบหกเม็ด แค่นั้นหลินจวินปี้ก็หน้าซีดขาว เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมโยนหมากยอมแพ้
ชุยตงซานพูดเสียงราบเรียบว่า “ตามข้อตกลง มาเล่นกันอีกครั้ง เป็นการเล่นครั้งที่สองแบบนับย้อนหลังจากตำราเมฆหลากสีที่แพ้ในช่วงสุดท้าย พื้นที่บนกระดานหมากเหลือน้อยมากแล้ว เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้น้อยมากๆ เจ้ายังคงวางหมากแทนเจ้านครจักรพรรดิขาว จำไว้ว่า บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยไว้ก่อนว่านอกกระดานนี้ใครจะแพ้ใครจะชนะ เป็นแค่การแข่งกันในเรื่องของดวงเท่านั้น แพ้ชนะบนกระดานอย่าได้ไปใส่ใจมากนัก หากยังคงเป็นข้าที่ชนะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้าง ขอให้เจ้าเล่นกับข้าอีกตาแล้ว”
หลินจวินปี้บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยว่านอกการเล่นกระดานนี้ใครจะแพ้ใครจะชนะ
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เก็บเม็ดหมากทั้งหมดบนกระดานกลับมา ก่อนจะวางเม็ดหมากกันอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับกระดานหมากก่อนหน้านี้ เม็ดหมากบนกระดานนี้เยอะกว่ามาก
เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งก้านธูป เด็กหนุ่มชุดขาวก็ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ การเล่นครั้งถัดไปเปลี่ยนมาเป็นข้าที่เป็นคนบอกผลแพ้ชนะกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก่อนบ้าง จากนั้นเจ้าและข้าค่อยมาเล่นด้วยกัน เรื่องของดวงนี้ ในเมื่อดวงอยู่กับข้าทุกครั้ง โชคในการเดิมพันโชติช่วงเกินไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องคุกเข่าขอร้องให้แพ้ดูสักครั้ง เป็นฝ่ายสับเปลี่ยนตำแหน่งดวงด้วยตัวเอง หากครั้งนี้ยังคงเป็นข้าที่ชนะ แล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรก็เป็นการบอกว่าวันนี้ข้าดวงดีมากจริงๆ อยู่แล้ว เกี่ยวอะไรกับฝีมือการเล่นหมากล้อมของคุณชายหลินว่าสูงหรือต่ำด้วยเล่า? ไม่เกี่ยวเลย ไม่เกี่ยวเลยสักนิด”
เม็ดเหงื่อผุดซึมออกจากหน้าผากของหลินจวินปี้ เขาอึ้งงันไร้คำพูด ทั้งไม่อยากโยนหมากยอมแพ้ แล้วก็ไม่เอ่ยคำใด ราวกับว่าแค่อยากมองกระดานหมากให้มากขึ้น แค่อยากรู้ว่าจะแพ้อย่างไรเท่านั้น
แม้ปากของเด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะพูดจามีมารยาท ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน
อวี้เจวี้ยนฟูถอนหายใจ พาจูเหมยออกไปจากที่นี่
เป็นอย่างที่ชุยตงซานผู้นั้นว่าไว้จริงๆ
อันที่จริง ‘ดวงในการเดิมพัน’ ของอวี้เจวี้ยนฟูก่อนหน้านี้ถือว่าดีมากแล้ว
เด็กสาวจูเหมยเองก็รู้หนักเบา เดินตามอวี้เจวี้ยนฟูออกไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้เงียบๆ
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกำลังจะเปิดปากเอ่ย
ชุยตงซานกลับใช้สองนิ้วคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาหมุนเบาๆ พูดโดยไม่เงยหน้า “ยามชมการประลองหมากล้อมไม่ควรพูดจา ช่วยมีกฎเกณฑ์หน่อยได้หรือไม่? เป็นถึงเซียนกระบี่แผ่นดินกลางผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งเป็นถึงศิษย์หลานของโจวเสินจือ แบกรับภาระยิ่งใหญ่ที่ราชครูราชวงศ์เส้าหยวนไหว้วานมา แต่กลับช่วยปกป้องมรรคาให้กับเด็กรุ่นหลังแบบนี้น่ะหรือ? ข้ากับคุณชายหลินแค่พบหน้ากันก็รู้สึกเหมือนสหายที่รู้จักกันมานาน เพราะฉะนั้นข้าจึงพูดง่ายกับทุกเรื่อง แต่หากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยคิดจะอาศัยเวทกระบี่และสถานะของตัวเองมาข่ม ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอกำลังเสริมให้มาช่วยแล้ว หลักการเหตุผลที่ตื้นเขินเพียงเท่านี้ เข้าใจบ้างหรือไม่? หากไม่เข้าใจก็มีคนที่เวทกระบี่สูง ข้าสามารถขอร้องให้เขามาช่วยสั่งสอนชี้แนะเจ้าได้”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเปลี่ยนจากลังเลมาเป็นเด็ดเดี่ยว ไม่สนใจถ้อยคำของเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “หลินจวินปี้ เจ้าลุกขึ้นได้แล้ว”
หลินจวินปี้กลับลังเลตัดสินใจไม่ได้ สองมือกำเป็นหมัดแน่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!