จูเหมยพึมพำ “ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “แม่นางน้อย พูดให้ดังๆ หน่อย สายเหวินเซิ่งของพวกเราไม่เคยถือสาคนที่ด่าต่อหน้า หากมีเหตุผลยังจะยกนิ้วโป้งบอกว่าเจ้าด่าได้ดีด้วยซ้ำ ด่าคนลับหลัง ก็ได้เหมือนกัน แต่อย่าให้พวกเราได้ยินเข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นอ่านหนังสือเหมือนกินฉี่ กินข้าวเหมือนกินขี้ ต้องโดนฟ้าผ่าหัว”
จูเหมยตื่นตระหนกเล็กน้อย ขยับตัวนั่งใกล้กับอวี้เจวี้ยนฟูอีกนิด
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “เงินร้อนน้อยเหรียญไหนก็ได้”
ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “บวกกับของรางวัลเพิ่มเติม หากข้าชนะ เจ้าค่อยเอาตำราเมฆหมากสีเล่มนั้นมอบให้ข้า”
หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “ย่อมได้”
การประลองครั้งที่สาม
หลินจวินปี้เดินนำไปก่อน
ผลคือหลินจวินปี้ที่เดินนำไปก่อนซึ่งถือว่าได้เปรียบมาก อีกทั้งยังอยู่ห่างจากชัยชนะบนกระดานอีกแค่เสี้ยวเดียว กลับเกือบจะติดกับวงจรแห่งหายนะจากการลงมือของอีกฝ่ายถึงสามครั้ง แม้ว่าสีหน้าของหลินจวินปี้จะเป็นปกติโดยตลอด ทว่าในใจกลับมีไฟโทสะขุมหนึ่งลุกโชนขึ้นมาในที่สุด
ทั้งสองฝ่ายวางเม็ดหมากมากเกือบสี่ร้อยครั้ง!
สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว การปิดฉากการประลองครั้งนี้น่าตื่นตะลึงอย่างมาก
สำหรับคนที่มองคนทั้งสองประลองกันกลับไม่มีใครมองแนวโน้มที่จะตัดสินแพ้ชนะอย่างแน่ชัดออก
หลังจากวางหมากลงครั้งหนึ่ง หลินจวินปี้ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
ชุยตงซานกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด หยิบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา โน้มตัวมาด้านหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งที่คีบหมากออกมา มืออีกข้างจับรั้งชายแขนเสื้อเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ไปโดนเม็ดหมากบนกระดาน ในขณะที่เขากำลังจะวางเม็ดหมากลง หลินจวินปี้ก็พลันบังเกิดความมั่นใจ ชนะแล้ว!
ชุยตงซานพลันยกมือขึ้น ยักไหล่ให้หลินจวินปี้ที่ตกตะลึงไปเล็กน้อย “ฮ่าๆ โมโหหรือไม่? โมโหหรือไม่? ข้าจะไม่วางลงตรงนี้หรอก โอ้โห้ ข้านี่มันฉลาดจริงๆ เล้ย สมองใหญ่จริงๆ ไหวพริบดีเยี่ยมเลยนะนี่”
นี่น่าจะเรียกว่าถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่สิงร่างได้แล้ว
แทบทุกคนซึ่งรวมถึงจูเหมย หรือแม้แต่จินเจินเมิ่งที่ไม่ค่อยชอบเล่นหมากล้อมก็ยังตะลึงอึ้งงันเป็นไก่ไม้กันไปหมด
ชุยตงซานหยุดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังค้อมเอวคีบเม็ดหมากไปวางมุมอื่นบนกระดาน จากนั้นก็กลับมานั่งที่เดิม สองมือสอดกันอยู่ชายแขนเสื้อ “ไม่เล่นแล้วๆ สามารถเอาชนะหลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวนได้สามครั้งติด แค่นี้ก็พึงพอใจมากแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “พระจันทร์วันนี้กลมจริงๆ เล้ย”
อืม กลางวันแสกๆ จะมีดวงจันทร์ที่ไหนให้มอง เด็กหนุ่มจึงคิดถึงพี่หญิงโจวเฉิงคนนั้นขึ้นมาแล้ว
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “ข้าแพ้แล้ว เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ วันหน้าข้าจะประคองส่งให้ด้วยสองมือ”
ชุยตงซานพลันหัวเราะเสียงเย็น “โอ้โห ฟังจากน้ำเสียงนี่สิ มองเรื่องการแพ้ชนะอย่างเรียบง่ายมากหรือ? ทำไม รู้สึกว่าข้าผู้อาวุโสวางเม็ดหมากกับเจ้าสี่ร้อยครั้ง ก็เท่ากับว่าพวกเราฝีมือสูสีกันจริงๆ แล้วงั้นหรือ? หยอกเจ้าเล่นหรอกน่า มองไม่ออกสินะ? เชื่อหรือไม่ว่าการเล่นครั้งที่สี่ที่พวกเราจะไม่มีของเดิมพันอะไรสักอย่างนี้ เดิมพันแค่ว่าภายในการวางหมากแปดสิบครั้ง ข้าก็จะสามารถเอาชนะกบใต้บ่อตัวหนึ่งที่นอนโอ้อวดบารมีอยู่ในราชวงศ์เส้าหยวนได้?!”
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “อ้อ?”
แล้วชุยตงซานก็ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือนี่? ข้าเอาชนะได้แล้ว อีกทั้งยังมากถึงสามครั้ง เงินที่ได้มาไม่มาก ขอให้ข้าพูดจาวางโตให้สนุกปากบ้างไม่ได้เลยหรือ?”
ชุยตงซานหุบยิ้ม มองสถานการณ์หมากซับซ้อนบนกระดานที่มีเม็ดหมากวางไว้เต็มแน่น แล้วจุ๊ปากพูดว่า “พวกเราสองพี่น้องวางสถานการณ์เทพเซียนแบบนี้ด้วยกัน มารดามันเถอะ ศาลาแห่งความชื่นมื่นใกล้จะระเบิดแล้วกระมัง เพราะว่าชื่นมื่นเบิกบานจะตายอยู่แล้ว!”
อันที่จริงเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูแคลนฝีมือการเล่นหมากล้อมของคนผู้นี้อีกแล้ว
เหยียนลวี่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
นอกจากเปียนจิ้งแล้วก็ถือว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขาใกล้เคียงกับหลินจวินปี้มากที่สุด ดังนั้นจึงยิ่งรู้ดีว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเด็กหนุ่มชุดขาวสูงแค่ไหน
ดังนั้นจึงเริ่มเปลี่ยนจากการเกลียดแค้นอย่างเดียวกลายมามีความหวาดกลัวควบคู่ไปด้วย ยังคงเกลียดแค้นอยู่เหมือนเดิม ถึงขั้นยังเกลียดแค้นมากขึ้น แต่ส่วนลึกในใจกลับมีความหวาดเกรงเสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างที่มิอาจห้ามได้
ชุยตงซานโบกมือให้คุณชายหลินที่นั่งยองอยู่ในห้องส้วมแต่ไม่ยอมขี้ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันหน้าเอาเงินมาให้ข้า แต่เจ้าจะเป็นคนเอามาให้เองหรือไม่ ไม่สำคัญ คุณชายหลิน ข้าจะเก็บกระดานหมากแล้ว ทำไม จะช่วยเก็บงั้นหรือ? เจ้าช่วยมาตั้งสามครั้งใหญ่ๆ แล้ว ข้าว่าอย่าเลย หากเจ้ายังทำแบบนี้ มโนธรรมในใจของข้าคงจะไม่สงบ นี่เป็นบัญชาจากสวรรค์ ทำให้ข้ามิอาจเป็นเพื่อนกับคนใจกว้างแบบเจ้าได้ ยามค่ำคืนข้าคงต้องนอนพลิกไปพลิกมาหลับไม่ลงแน่นอน”
หลินจวินปี้ถอนหายใจ
ในเมื่อมีการเล่นกระดานที่สามนี้ หากนำไปวางไว้ในประวัติศาสตร์ของตลอดทั้งราชวงศ์เส้าหยวน บางทีอาจมากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นการประลองที่มีชื่อเสียง ดังนั้นผลลัพธ์นี้เขาจึงยังพอยอมรับได้
ชุยตงซานเก็บเม็ดหมากด้วยการโยนมันใส่ในโถอย่างไม่มีมาด เสียงเม็ดหมากกระทบโถดังกังวานพลางพึมพำกับตัวเองไปด้วยว่า “ชนะติดต่อกันสามครั้ง สบาย สบายใจจริงๆ เพียงแต่ว่าอาศัยความแตกต่างของฝีมือการเล่นหมากล้อมมาบดขยี้อีกฝ่ายกลับเป็นเรื่องน่าเบื่อนัก หากฝีมือของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างกัน แพ้ชนะขึ้นอยู่กับดวง ดวงอยู่ที่ข้า จากนั้นก็ชนะหมากล้อมอีก นั่นต่างหากถึงจะสบายอกสบายใจอย่างแท้จริง คาดว่าชีวิตนี้คุณชายหลินคงผ่านด่านบนกระดานหมากมาได้ราบรื่นเกินไป อีกทั้งยังเคยชินที่จะใช้กำลังข่มคนอื่น ก็เลยไม่อาจเข้าใจอารมณ์ของข้าได้ น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”
ชุยตงซานพลันยิ้มถามว่า “ทำไม รู้สึกว่าสองคำกล่าวที่ว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าสูงเกินไป หรือไม่ก็โชคเข้าข้างข้าล้วนไม่เป็นจริง? ฝีมือการเล่นหมากล้อมสูงหรือไม่ ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจก็พอแล้ว แต่ข้าโชคดีหรือไม่ คุณชายหลินเจ้าต้องยอมรับนะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเล่นกันอีกตา เปลี่ยนวิธีใหม่ เป็นอย่างไร? ไม่ได้แข่งเรื่องฝีมือการเล่นหมากล้อมทั้งหมด แต่เน้นในเรื่องดวงมากกว่า กล้าหรือไม่? ถึงขั้นพูดได้ว่า สิ่งที่พวกเราแข่งกันมีแค่เรื่องของดวงเท่านั้น หมากล้อมที่แข่งเช่นนี้ ตลอดชีวิตต่อจากนี้คุณชายหลินอาจไม่มีโอกาสได้เล่นแล้ว เพราะแค่ดูที่ดวง ดังนั้นพวกเราจึงไม่ลงเงินเดิมพัน หรือเดิมพันสิ่งของอะไรทั้งนั้น”
หลินจวินปี้ถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เจ้าเป็นคนตัดสินการเล่นหมากล้อมตานี้ จะแพ้หรือชนะ ก่อนจะแข่งเจ้าก็บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยไว้ก่อน ขอแค่สถานการณ์หมากบนกระดานเป็นอย่างที่เจ้าบอกไว้ ไม่ว่าบนกระดานข้าจะแพ้หรือชนะก็ล้วนถือว่าเป็นเจ้าที่ชนะ พวกเราแข่งกันว่าใครดวงดีกว่ากัน กล้าหรือไม่?!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!