เฉินชิงตูหันมาพูดกับเว่ยจิ้น “เว่ยจิ้น วันนี้ข้าโน้มน้าวเจ้า เจ้าอาจไม่ยินดีฟังเสมอไป ดังนั้นหลังจากร่วมสงครามใหญ่อีกครั้ง เจ้าค่อยฟังคำข้าก็ได้ ไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ซะ ถึงเวลานั้นจะมีสามสถานที่ให้เจ้าเลือก ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีป ทวีปเกราะทอง เจ้าคิดเสียว่าไปท่องภูเขาแม่น้ำก็แล้วกัน เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแจกันสมบัติทวีปไม่ควรจะเป็นเพียงแค่คนลุ่มหลงในรักที่เศร้าเสียใจอย่างสุดแสน อีกอย่างอยู่ที่ไหนก็เสียใจได้เหมือนกันนั่นแหละ ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ห่างไกลเกินไป แม่นางที่ชอบก็มองไม่เห็นเสียหน่อย”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ที่ข้าพูดจาไม่เกรงใจกับเจ้าแบบนี้ แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะเวทกระบี่ของเจ้ายังต่ำกว่าจั่วโย่ว ดังนั้นในอนาคตเมื่อออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็จำให้ดีว่าต้องตั้งใจฝึกกระบี่ เมื่อเวทกระบี่สูงขึ้นแล้วจะได้ไล่ตามจั่วโย่วได้ทัน และคราวหน้าข้าก็จะพิจารณาว่าจะเกรงใจเจ้าให้มากขึ้น”
เว่ยจิ้นยิ้มเจื่อน “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ?”
เฉินชิงตูกระดกปลายคางชี้ไป “ถามข้าทำไม ไปถามกระบี่ของเจ้าโน่น”
เว่ยจิ้นยิ่งจนใจกว่าเดิม
คราวนี้พอเว่ยจิ้นขอตัวจากไป เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจึงไม่ได้รั้งตัวไว้อีก
เหลือเพียงคนสองคนที่เวทกระบี่สูงส่ง
เฉินชิงตูเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนนั้นไม่ยอมให้จุดตะเกียงอมตะ แต่ทำการค้าเล็กๆ อย่างหนึ่งกับข้า ในอนาคตเมื่ออยู่บนสนามรบจะช่วยเขาหนึ่งครั้ง หรือไม่ก็ช่วยคนที่เขาอยากช่วยหนึ่งครั้ง”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “คนที่กลัวตายขนาดนั้น อยู่ดีๆ กลับไม่กลัวตายเสียแล้ว ส่วนจั่วโย่วที่พูดน้อย จู่ๆ กลับพูดมากเสียขนาดนั้น ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งอย่างพวกเจ้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่”
จั่วโย่วกล่าว “หากอยากรู้ อันที่จริงก็ง่ายมาก”
แน่นอนว่าต้องเป็นลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งของพวกข้าก่อนค่อยว่ากัน
เฉินชิงตูหัวเราะร่า “ข้าว่าเจ้าอย่าพูดเลยดีกว่า ศิษย์หลานทั้งหลายของเจ้ายังอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากอาจารย์ลุงใหญ่ผู้ไร้ศัตรูเทียมทานในสายตาของพวกเขา จู่ๆ กลับถูกคนซ้อมเสียจนหน้าเขียวจมูกบวม คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร”
ใช่ว่าจั่วโย่วจะไม่ถือสาคำพูดของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาสนใจเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น จึงถามว่า “หากเขามา จะทำอย่างไร?”
เฉินชิงตูเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งลูบเสยไปบนศีรษะ ลูบเลยไปยันผมที่อยู่ช่วงท้ายทอยของตัวเอง “ประตูใหญ่เปิดอ้า ต้อนรับแขกหมื่นปี เซียนกระบี่รับมือกับศัตรู มีแต่จะรังเกียจว่าปีศาจใหญ่ไม่ใหญ่พอ แค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
เฉินชิงตูเอ่ยสัพยอก “โอ้โห ในที่สุดก็อยากออกกระบี่เพื่อตัวเองแล้วรึ?”
จั่วโย่วกล่าว “สายของเหวินเซิ่ง พูดแค่เหตุผล ไม่เคยคุยโว ข้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่และอาจารย์ลุงใหญ่จะทำให้คนร่วมสำนักได้รู้ว่า คำกล่าวที่ว่าผู้มีเวทกระบี่สูงสุดในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ไม่ใช่แค่คำชื่นชมที่เกินจริง และคำประเมินนี้ยังต่ำไปด้วยซ้ำ”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ยังอยากได้สูงกว่านี้อีกหรือ? จะสูงแค่ไหน? เขย่งเท้ายืดคอให้มาถึงหัวไหล่ข้าเลยไหม?”
จั่วโย่วกล่าว “เฉินชิงตู ตัดขาดฟ้าดิน มาสู้กันสักตั้ง”
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลังแล้วเดินจากไป
จั่วโย่วหลับตาทำสมาธิเพื่อหล่อเลี้ยงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่นอีกครั้ง
สงครามใหญ่ครั้งถัดไป เหมาะแก่การออกกระบี่อย่างเต็มกำลังมากที่สุด
จุดที่ห่างไปไกลแสนไกล
สตรีโจวเฉิงยังคงโล้ชิงช้าอยู่ดังเดิม นางคลอเพลงพื้นบ้านของที่แห่งอื่นที่ยากจะทำความเข้าใจอยู่ในลำคอ
เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นางยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง มีคนหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากต่างถิ่นสอนบทเพลงนี้ให้แก่นาง ก็ไม่ถือว่าสอน แค่ว่าเขาชอบไปนั่งอยู่จุดที่ไม่ห่างจากชิงช้าเท่าไรแล้วคลอเพลงอยู่กับตัวเอง ตอนนั้นนางไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าฟัง ยิ่งไม่อยากเรียน ขนาดฝึกกระบี่ยังมีเวลาไม่พอ แล้วจะเรียนเรื่องเลื่อนลอยพวกนี้ไปทำไม
ภายหลังโจวเฉิงได้ยินคำกล่าวว่าผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาเป็นครั้งแรก เขายังบอกว่าการที่เขามาที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นบ้านเกิดในใจของเขา ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร ก็แค่อยากมาดูเท่านั้น
เซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือเดินมาหยุดอยู่ข้างชิงช้า ยื่นมือข้างหนึ่งมากำเชือกเอาไว้แล้วแกว่งเบาๆ
โจวเฉิงไม่ได้หันหน้ากลับไป แค่ถามเสียงเบาว่า “พี่หญิงลู่ มีคนบอกว่าอยากจะมาดูบ้านเกิดในใจ ถึงขั้นไม่เสียดายชีวิต เหตุใดท่านถึงไม่ไปดูมาตุภูมิในใจของท่านบ้าง? ไม่ได้ต้องตายเสียหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านยังสะสมคุณความชอบด้านการรบมามากขนาดนั้น เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่ารับปากท่านมานานแล้ว บอกว่าหากผลการศึกมีมากพอก็จะไม่ขัดขวาง”
ลู่จือคือหญิงสาวที่มีเรือนกายสูงเพรียวผอมบางอย่างเห็นได้ชัดคนหนึ่ง แก้มของนางตอบลงเล็กน้อย เพียงแต่ผิวพรรณขาวนวล หน้าผากโหนกเกลี้ยงเกลา แวววาวประหนึ่งสะสมแสงจันทร์ไว้ภายใน
รูปโฉมของนางไม่ถือว่างดงามสักเท่าไร เพียงแต่พลังอำนาจน่าเกรงขาม แม้จะยืนอยู่ข้างชิงช้าเงียบๆ แต่พลังอำนาจกลับเหมือนยามที่จั่วโย่วไม่เก็บปราณกระบี่
ลู่จือส่ายหน้า “การที่มีข้อตกลงเช่นนั้น เป็นเพราะมีความคิดว่าอยากจะหาอย่างอื่นทำนอกเหนือจากการฝึกกระบี่ สามารถทำได้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องทำจริงๆ”
โจวเฉิงไม่เอ่ยอะไรอีก
ลู่จือไกวชิงช้าเบาๆ “หลังจากได้ไปเยือนภูเขาห้อยหัวอย่างเปิดเผย ความคิดนั้นก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ความคิดตอนนี้ก็คือไปทางทิศใต้ ไปเยือนสถานที่สองแห่งที่ห่างไกลมากๆ ป้อนน้ำม้าข้ามลำธาร ปักกระบี่ลากจันทราภูผา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!