กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 612

สรุปบท บทที่ 612.2 ลมกำลังจะก่อตัว: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 612.2 ลมกำลังจะก่อตัว จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 612.2 ลมกำลังจะก่อตัว คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เฉินชิงตูหันมาพูดกับเว่ยจิ้น “เว่ยจิ้น วันนี้ข้าโน้มน้าวเจ้า เจ้าอาจไม่ยินดีฟังเสมอไป ดังนั้นหลังจากร่วมสงครามใหญ่อีกครั้ง เจ้าค่อยฟังคำข้าก็ได้ ไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ซะ ถึงเวลานั้นจะมีสามสถานที่ให้เจ้าเลือก ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีป ทวีปเกราะทอง เจ้าคิดเสียว่าไปท่องภูเขาแม่น้ำก็แล้วกัน เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแจกันสมบัติทวีปไม่ควรจะเป็นเพียงแค่คนลุ่มหลงในรักที่เศร้าเสียใจอย่างสุดแสน อีกอย่างอยู่ที่ไหนก็เสียใจได้เหมือนกันนั่นแหละ ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ห่างไกลเกินไป แม่นางที่ชอบก็มองไม่เห็นเสียหน่อย”

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ที่ข้าพูดจาไม่เกรงใจกับเจ้าแบบนี้ แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะเวทกระบี่ของเจ้ายังต่ำกว่าจั่วโย่ว ดังนั้นในอนาคตเมื่อออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็จำให้ดีว่าต้องตั้งใจฝึกกระบี่ เมื่อเวทกระบี่สูงขึ้นแล้วจะได้ไล่ตามจั่วโย่วได้ทัน และคราวหน้าข้าก็จะพิจารณาว่าจะเกรงใจเจ้าให้มากขึ้น”

เว่ยจิ้นยิ้มเจื่อน “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ?”

เฉินชิงตูกระดกปลายคางชี้ไป “ถามข้าทำไม ไปถามกระบี่ของเจ้าโน่น”

เว่ยจิ้นยิ่งจนใจกว่าเดิม

คราวนี้พอเว่ยจิ้นขอตัวจากไป เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจึงไม่ได้รั้งตัวไว้อีก

เหลือเพียงคนสองคนที่เวทกระบี่สูงส่ง

เฉินชิงตูเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนนั้นไม่ยอมให้จุดตะเกียงอมตะ แต่ทำการค้าเล็กๆ อย่างหนึ่งกับข้า ในอนาคตเมื่ออยู่บนสนามรบจะช่วยเขาหนึ่งครั้ง หรือไม่ก็ช่วยคนที่เขาอยากช่วยหนึ่งครั้ง”

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “คนที่กลัวตายขนาดนั้น อยู่ดีๆ กลับไม่กลัวตายเสียแล้ว ส่วนจั่วโย่วที่พูดน้อย จู่ๆ กลับพูดมากเสียขนาดนั้น ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งอย่างพวกเจ้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่”

จั่วโย่วกล่าว “หากอยากรู้ อันที่จริงก็ง่ายมาก”

แน่นอนว่าต้องเป็นลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งของพวกข้าก่อนค่อยว่ากัน

เฉินชิงตูหัวเราะร่า “ข้าว่าเจ้าอย่าพูดเลยดีกว่า ศิษย์หลานทั้งหลายของเจ้ายังอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากอาจารย์ลุงใหญ่ผู้ไร้ศัตรูเทียมทานในสายตาของพวกเขา จู่ๆ กลับถูกคนซ้อมเสียจนหน้าเขียวจมูกบวม คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร”

ใช่ว่าจั่วโย่วจะไม่ถือสาคำพูดของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาสนใจเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น จึงถามว่า “หากเขามา จะทำอย่างไร?”

เฉินชิงตูเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งลูบเสยไปบนศีรษะ ลูบเลยไปยันผมที่อยู่ช่วงท้ายทอยของตัวเอง “ประตูใหญ่เปิดอ้า ต้อนรับแขกหมื่นปี เซียนกระบี่รับมือกับศัตรู มีแต่จะรังเกียจว่าปีศาจใหญ่ไม่ใหญ่พอ แค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”

เฉินชิงตูเอ่ยสัพยอก “โอ้โห ในที่สุดก็อยากออกกระบี่เพื่อตัวเองแล้วรึ?”

จั่วโย่วกล่าว “สายของเหวินเซิ่ง พูดแค่เหตุผล ไม่เคยคุยโว ข้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่และอาจารย์ลุงใหญ่จะทำให้คนร่วมสำนักได้รู้ว่า คำกล่าวที่ว่าผู้มีเวทกระบี่สูงสุดในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ไม่ใช่แค่คำชื่นชมที่เกินจริง และคำประเมินนี้ยังต่ำไปด้วยซ้ำ”

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ยังอยากได้สูงกว่านี้อีกหรือ? จะสูงแค่ไหน? เขย่งเท้ายืดคอให้มาถึงหัวไหล่ข้าเลยไหม?”

จั่วโย่วกล่าว “เฉินชิงตู ตัดขาดฟ้าดิน มาสู้กันสักตั้ง”

เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลังแล้วเดินจากไป

จั่วโย่วหลับตาทำสมาธิเพื่อหล่อเลี้ยงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่นอีกครั้ง

สงครามใหญ่ครั้งถัดไป เหมาะแก่การออกกระบี่อย่างเต็มกำลังมากที่สุด

จุดที่ห่างไปไกลแสนไกล

สตรีโจวเฉิงยังคงโล้ชิงช้าอยู่ดังเดิม นางคลอเพลงพื้นบ้านของที่แห่งอื่นที่ยากจะทำความเข้าใจอยู่ในลำคอ

เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นางยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง มีคนหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากต่างถิ่นสอนบทเพลงนี้ให้แก่นาง ก็ไม่ถือว่าสอน แค่ว่าเขาชอบไปนั่งอยู่จุดที่ไม่ห่างจากชิงช้าเท่าไรแล้วคลอเพลงอยู่กับตัวเอง ตอนนั้นนางไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าฟัง ยิ่งไม่อยากเรียน ขนาดฝึกกระบี่ยังมีเวลาไม่พอ แล้วจะเรียนเรื่องเลื่อนลอยพวกนี้ไปทำไม

ภายหลังโจวเฉิงได้ยินคำกล่าวว่าผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาเป็นครั้งแรก เขายังบอกว่าการที่เขามาที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นบ้านเกิดในใจของเขา ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร ก็แค่อยากมาดูเท่านั้น

เซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือเดินมาหยุดอยู่ข้างชิงช้า ยื่นมือข้างหนึ่งมากำเชือกเอาไว้แล้วแกว่งเบาๆ

โจวเฉิงไม่ได้หันหน้ากลับไป แค่ถามเสียงเบาว่า “พี่หญิงลู่ มีคนบอกว่าอยากจะมาดูบ้านเกิดในใจ ถึงขั้นไม่เสียดายชีวิต เหตุใดท่านถึงไม่ไปดูมาตุภูมิในใจของท่านบ้าง? ไม่ได้ต้องตายเสียหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านยังสะสมคุณความชอบด้านการรบมามากขนาดนั้น เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่ารับปากท่านมานานแล้ว บอกว่าหากผลการศึกมีมากพอก็จะไม่ขัดขวาง”

ลู่จือคือหญิงสาวที่มีเรือนกายสูงเพรียวผอมบางอย่างเห็นได้ชัดคนหนึ่ง แก้มของนางตอบลงเล็กน้อย เพียงแต่ผิวพรรณขาวนวล หน้าผากโหนกเกลี้ยงเกลา แวววาวประหนึ่งสะสมแสงจันทร์ไว้ภายใน

รูปโฉมของนางไม่ถือว่างดงามสักเท่าไร เพียงแต่พลังอำนาจน่าเกรงขาม แม้จะยืนอยู่ข้างชิงช้าเงียบๆ แต่พลังอำนาจกลับเหมือนยามที่จั่วโย่วไม่เก็บปราณกระบี่

ลู่จือส่ายหน้า “การที่มีข้อตกลงเช่นนั้น เป็นเพราะมีความคิดว่าอยากจะหาอย่างอื่นทำนอกเหนือจากการฝึกกระบี่ สามารถทำได้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องทำจริงๆ”

โจวเฉิงไม่เอ่ยอะไรอีก

ลู่จือไกวชิงช้าเบาๆ “หลังจากได้ไปเยือนภูเขาห้อยหัวอย่างเปิดเผย ความคิดนั้นก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ความคิดตอนนี้ก็คือไปทางทิศใต้ ไปเยือนสถานที่สองแห่งที่ห่างไกลมากๆ ป้อนน้ำม้าข้ามลำธาร ปักกระบี่ลากจันทราภูผา”

ยามที่เดินผ่านเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่พู่ห้อยกระบี่ยาวมากจนสามารถผูกกระบี่ให้ลากพื้น หัวกำแพงเมืองกว้างขวางมาก อันที่จริงทั้งสองฝ่ายก็อยู่ห่างกันมาก แต่อู๋เฉิงเพ่ยที่เดิมทีใจลอยกลับหันขวับมาจ้องผู้เฒ่าคนนั้นเขม็ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ด่าอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่า ไสหัวไปให้ไกล!”

ผู้เฒ่าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีฉายาว่าเฒ่าหูหนวก ฉายาของเขาฟังแล้วไม่มีบารมีเอาเสียเลย แต่กลับติดอันดับสิบคนสูงสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างจริงแท้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลำดับขั้นของผู้เฒ่าที่อยู่เหนือกว่าน่าหลันเซาเหว่ยและลู่จือเสียอีก

พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ทุกคนสามารถทำตัวเจ้าอารมณ์ได้ ลำพังเพียงแค่ประโยคที่ล่วงเกินอย่างถึงที่สุดของอู๋เฉิงเพ่ยประโยคนี้ ผู้เฒ่าก็สามารถออกกระบี่ได้แล้ว และใครที่ขัดขวางก็ล้วนต้องเจอเคราะห์ซวยไปด้วย

ทว่าเฒ่าหูหนวกกลับทำเหมือนคนหูหนวกจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยอะไร กลับกันยังเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินเร็วขึ้นดั่งที่อีกฝ่ายต้องการ ไปมาประหนึ่งเมฆหมอก พริบตาเดียวก็หายวับไม่เห็นเงา

อู๋เฉิงเพ่ยถึงได้ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปอีกครั้ง

เฒ่าหูหนวกเดินๆ หยุดๆ มีคนทักทาย มีคนที่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่ผู้เฒ่ากลับไม่เอ่ยอะไรกับใคร

มีเพียงมาถึงจุดที่ภิกษุอยู่ เขาถึงได้หยุดยืนนิ่ง พูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “พูดภาษาพระธรรมอีกสักหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว”

ภิกษุที่นั่งอยู่ปลายสุดด้านหนึ่งของหัวกำแพงเมืองจึงเริ่มเทศน์ภาษาธรรม

นอกเบาะรองนั่งของภิกษุคือเมฆสีขาวโพลน บางครั้งก็มีแสงสีทองเส้นหนึ่งผุดวาบแล้วก็หายไป นั่นคือภาพเหตุการณ์อัศจรรย์หลังจากที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาถูกวัตถุที่มองไม่เห็นขัดขวางจึงสาดกระเซ็นเป็นสะเก็ด

ภิกษุยื่นมือออกมาเหมือนวักน้ำ เพียงแต่ก็ยังช้ากว่าแสงสีทองเส้นนั้นอยู่ดี เขาจึงหดมือกลับ ต้องกลับไปมือเปล่าอีกครั้งหนึ่ง

ผู้เฒ่าหูหนวกไปหาอริยะลัทธิขงจื๊อที่มีชาติกำเนิดจากพุทธบริษัท ตำแหน่งของเขาอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของหัวกำแพงเมือง ผู้เฒ่าเอ่ยประโยคที่คล้ายคลึงกัน อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นจึงเอ่ยบางประโยค ผู้เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับ แล้วจึงไปหานักพรตเฒ่าที่อยู่ในจุดสูงสุดกลางทะเลเมฆ คือลูกศิษย์ใหญ่ของลูกศิษย์ใหญ่เบื้องใต้มรรคาจารย์เต๋า รอกระทั่งนักพรตเฒ่าเอ่ยถ้อยคำบางอย่างแล้ว ผู้เฒ่าหูหนวกถึงได้ออกมาจากหัวกำแพง ไปยังคุกที่เขารับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์มานานหลายพันปี คุกแห่งนี้ไม่มีชื่อ ก็น่าประหลาดนัก ยิ่งเป็นปีศาจใหญ่ที่ขอบเขตสูง จุดที่ถูกกักขังก็ยิ่งอยู่ใกล้กับพื้นดิน ยามที่ผู้เฒ่าหัวหนวกเดินผ่านกรงขังแต่และแห่ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ยินเสียงด่าหรือคำเย้ยหยันอะไรอยู่แล้ว ส่วนความเดือดดาลของปีศาจใหญ่ที่ชักนำให้ตลอดทั้งกรงขังสั่นสะเทือนไม่หยุดนั้น ผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่สนใจ ผู้เฒ่าหลังค่อมไม่แม้แต่จะเงยหน้า จึงมองไม่เห็นสายตาเคียดแค้นที่ฝังลึกลงกระดูกดำพวกนั้น สุดท้ายจึงลงไปยังชั้นล่างเพื่อไปดูปีศาจที่ขอบเขตไม่สูง แล้วถ่ายทอดเวทกระบี่ให้ จะเรียนหรือไม่เรียนก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ล้วนต้องตายอยู่แล้ว ตายช้าตายเร็ว แบบไหนโชคดีกว่ากัน? บอกได้ยากนัก

ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกำชับเขาไว้หนึ่งเรื่อง วันที่เขาต้องขึ้นหัวกำแพงเมืองไปสังหารศัตรูนั้น นอกจากชีวิตเล็กๆ ของโอสถทองสามคนที่แลกมาด้วยคุณความชอบซึ่งสามารถอยู่ต่อได้ตามข้อตกลงแล้ว ก็อย่าลืมว่าต้องสังหารเผ่าปีศาจทั้งหมดที่อยู่ในคุก หากไม่ได้ยินประโยคนี้ ถ้าอย่างนั้นก็หูหนวกจริงๆ แล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่ตายไปแล้ว หูจะยังได้ยินอีกได้อย่างไร?

ผู้เฒ่าหูหนวกไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้ต้องไม่พอใจ หลายพันปีมานี้ เลือกไปเลือกมา ก็ทยอยเลือกปีศาจได้สามตน ปัญหาข้อเดียวนั้นอยู่ที่ว่า ต่อให้มีพรสวรรค์ดีแค่ไหน สามารถกดขอบเขตได้มากเท่าไร นานวันเข้าก็ยังจำต้องฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ดี เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก หากขอบเขตไม่พอจะมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยหลายพันปีได้อย่างไร? แน่นอนว่าต้องตายไปตามอายุขัย ดังนั้นในประวัติศาสตร์มีคนตายไปกี่ครั้ง ผู้เฒ่าหูหนวกก็จะเสียดายเท่านั้น รอไปรอมา รอมาอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ยังมีลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อมีชีวิตรอดอยู่สามคน ซึ่งไม่รู้ว่าศิษย์พี่ของพวกเขาที่เรียนวิชากระบี่อย่างเงียบเชียบแล้วก็ตายไปอย่างเงียบเชียบมีมากกี่คนแล้ว

ในบรรดาคนทั้งสาม คนหนึ่งเพิ่งจะเป็นขอบเขตถ้ำสถิต อีกคนหนึ่งขอบเขตประตูมังกร อีกคนหนึ่งคือคอขวดโอสถทองที่สติใกล้จะวิปลาสเต็มที

ในเรื่องของการรับลูกศิษย์นี้ เฒ่าหูหนวกเปิดเผยอย่างยิ่ง เป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว เมื่อกลายเป็นขอบเขตก่อกำเนิดก็ต้องตาย ดังนั้นจึงต้องชั่งน้ำหนักในเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตเอาเอง

นอกกำแพงเมืองปราณกระบี่และนคร นอกจากหอมายาที่อยู่ทางเหนือสุดแล้ว ยังมีจวนที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้อย่างคลังเจี่ยจ้าง เรือนว่านเฮ้อ หอถิงอวิ๋น ฯลฯ แต่อันที่จริงยังมีสถานที่บางแห่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญได้ แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไปแล้ว ไม่พูดถึงคุกที่เฒ่าหูหนวกเป็นคนดูแล อันที่จริงยังมีสถานที่อีกสามแห่ง หอกระบี่ที่ตระกูลต่งเป็นผู้ดูแล หอภูษาที่ตระกูลฉีเป็นผู้ดูแลและหอโอสถที่ตระกูลเฉินเป็นผู้ควบคุม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!