กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 613

แม่นางน้อยพลันยื่นมือออกมา ส่งเมล็ดแตงกำหนึ่งให้นักเล่านิทาน “อย่ารอไปเล่าครั้งหน้าเลย เล่าวันนี้แหละ เล่าวันนี้เลย มีเมล็ดแตง แถมยังมีอีกมากด้วย”

เด็กหนุ่มคนที่เอ่ยเนื้อความครึ่งหนึ่งบนกลอนคู่หน้าประตูศาลเทพอภิบาลเมืองกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “อย่าไปขอร้องเขา อยากเล่าก็เล่า ไม่อยากเล่าก็ตามใจ ถึงอย่างไรหลังจากฟังเรื่องนี้จบ วันหน้าข้าก็จะไม่มาที่นี่อีกแล้ว”

เห็นเพียงว่านักเล่านิทานรับเมล็ดแตงไปจากมือของแม่นางน้อย จากนั้นก็โบกกิ่งไม้ไผ่อย่างแรง “พอมองอย่างละเอียด เพียงชั่วพริบตานั้น จุดแสงที่เล็กอย่างยิ่งก็พลันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เพียงไม่นานก็มีแสงจำนวนมากกว่าเดิมปรากฏขึ้น ทีละจุดทีละเสี้ยว มารวมตัวกันจนกลายเป็นเหมือนดวงจันทร์ดวงใหม่ เส้นแสงเหล่านี้แหวกอากาศยามราตรีอยู่เหนือถนน เจอทะเลเมฆก็ฝ่าทะเลเมฆ ประหนึ่งเซียนที่เดินอยู่บนเส้นทาง เมื่อเทียบกับห้าขุนเขาแล้วยังสูงยิ่งกว่า และบนผืนดินกว้างใหญ่แห่งนั้น พวกผู้ฝึกตนน้อยใหญ่ พวกชาวบ้านคนธรรมดาทั้งหลายต่างก็ต้องสะดุ้งตื่นจากความฝัน ออกจากประตูหรือไม่ก็เปิดหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมา พอมองเห็นแล้วก็ต้องตะลึงงันกันไปเลย!”

พูดมาถึงตรงนี้ นักเล่านิทานรีบแทะเมล็ดแตงทันที “อย่าเร่งๆ ขอแทะเมล็ดแตงสักสองสามเมล็ดก่อน”

พอแทะเมล็ดแตงไปแล้ว เฉินผิงอันก็เอ่ยต่อว่า “ยิ่งขยับเข้าใกล้ศาลเทพอภิบาลเมือง บัณฑิตก็ยิ่งได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครั่นดังชัดเจน ราวกับว่ามีเทพมารัวตีกลองสายฟ้าอยู่เหนือศีรษะไม่หยุด ทั้งกังวลว่าท่านเทพอภิบาลเมืองจะเป็นพวกตะเภาเดียวกับท่านเทพภูเขา แต่ขณะเดียวกันในใจก็เกิดความหวังขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง หวังว่าฟ้าดินที่กว้างใหญ่นี้จะมีใครสักคนที่ยินดีช่วยทวงความเป็นธรรมให้แก่ตน ต่อให้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็พร้อมน้อมรับ ถึงอย่างไรเส้นทางในโลกมนุษย์ก็ไม่ได้มีแต่โคลนเละไปเสียทั้งหมด ถึงอย่างไรจิตใจของผู้อื่นก็สามารถปลอบประโลมจิตใจของข้าได้”

ทุกคนที่อยู่รอบม้านั่งตัวเล็กกลั้นหายใจ เงี่ยหูรอฟัง

“บัณฑิตต้องยกมือข้างหนึ่งบังตาอย่างห้ามไม่ได้ นั่นเป็นเพราะแสงนั้นยิ่งนานก็ยิ่งเจิดจ้าแสบตา เป็นเหตุให้บัณฑิตที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไม่อาจจ้องมองได้อีก อย่าว่าบัณฑิตเลยที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่เทพอภิบาลเมืองและขุนนางผู้ช่วยของเขาก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่อาจเพ่งมองแสงสว่างเจิดจ้าที่อยู่ระหว่างฟ้าดินนั่นโดยตรงได้ แสงสว่างนั้นกว้างแค่ไหน พวกเจ้าลองเดาดูสิ? มันกว้างมากจนถึงขนาดสาดส่องไปรอบรัศมีร้อยลี้ของศาลเทพอภิบาลเมือง ประหนึ่งเวลากลางวันที่ดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางนภา หากเป็นเทพภูเขาตัวเล็กๆ ที่ออกเดินทาง จะมีขบวนที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไร?!”

เฝิงคังเล่อถามหยั่งเชิง “หรือจะมีเซียนกระบี่ผ่านทางมา?”

แม่นางน้อยสองคนที่นั่งขนาบซ้ายขวาของเฝิงคังเล่อพยักหน้ารับอย่างแรง “ต้องใช่แน่นอน ท่านเฉินเคยบอกว่าเหล่าเซียนกระบี่มีจิตใจใสสะอาด กระบี่ปลดปล่อยแสงเจิดจ้า”

เฉินผิงอันกล่าว “ถูกต้องแล้ว ก็คือเซียนกระบี่ที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์! แต่ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น เห็นเพียงว่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นผู้นำขี่กระบี่มาถึงศาลเทพอภิบาลเมืองก่อนใคร จากนั้นจึงเก็บกระบี่บิน พลิ้วกายยืนนิ่ง บังเอิญนัก คนผู้นี้ก็มีแซ่เฝิง นามว่าคังเล่อเช่นกัน คือเซียนกระบี่คนใหม่ที่เพิ่งจะมีชื่อเสียงของใต้หล้า ชอบผดุงความเป็นธรรมเป็นที่สุด เขาพกกระบี่ออกท่องยุทธภพ ตรงเอวห้อยไหใบเล็กๆ ส่งเสียงเคร้งคร้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้านในบรรจุสิ่งใดไว้ จากนั้นก็บังเอิญยิ่งกว่า ข้างกายเซียนกระบี่ท่านนี้ยังมีเซียนกระบี่หญิงที่งดงามอยู่อีกคนหนึ่ง และนางก็มีนามว่าซูซิน ทุกครั้งที่ขี่กระบี่ลงจากภูเขาจะชอบพกเมล็ดแตงไว้ในชายแขนเสื้อ ยามที่ลงจากภูเขามาแล้วเจอเรื่องไม่เป็นธรรม เมื่อขจัดความอยุติธรรมได้เรียบร้อยแล้ว นางก็จะกินเมล็ดแตง หากมีใครซาบซึ้งในตัวนาง เซียนกระบี่หญิงท่านนี้ก็ไม่ต้องการเงิน แค่มอบเมล็ดแตงให้นางสักเล็กน้อยก็พอ”

เฝิงคังเล่ออึ้งงันเป็นไก่ไม้ พอคืนสติกลับมาก็รีบยืดเอวตั้ง อีกนิดก็เกือบจะหลั่งน้ำตาแล้ว เขากล่าวอย่างซาบซึ้งว่า “เรื่องเล่านี้สนุกยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

แม่นางน้อยที่มีชื่อว่าซูซินรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางหน้าแดงก่ำ แล้วยังรู้สึกละอายใจด้วย วันนี้นางพกเมล็ดแตงมาน้อยไปหน่อย

ได้ยินนักเล่านิทานเอ่ยต่ออีกว่า “สวบๆๆ มีเซียนกระบี่พากันพลิ้วกายลงพื้นไม่หยุด แต่ละท่านมีมาดสง่างาม บุรุษหากไม่หน้าตาหล่อเหลาดุจหยกก็มีพลังอำนาจน่าตื่นตะลึง ส่วนสตรีหากไม่งดงามปานบุปผาก็มีท่วงท่าองอาจเปี่ยมชีวิตชีวา ดังนั้นท่านผู้เฒ่าเทพอภิบาลเมืองที่พอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจมากพอจึงตกใจไม่น้อย พวกขุนนางผู้ช่วยและขุนนางผีตนอื่นๆ ก็ยิ่งจิตวิญญาณแกว่งไกว แต่ละตนพากันโค้งคำนับ ไม่กล้าเงยหน้ามองมา พวกเขาตกใจกันยิ่งนัก เหตุใด…เหตุใดถึงมีเซียนกระบี่โผล่มาทีเดียวมากมายขนาดนี้? และในบรรดาเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเหล่านั้น นอกจากเฝิงคังเล่อกับซูซินแล้ว ยังมีโจวสุ่ยถิง จ้าวอวี่ซาน หม่าเซี่ยงเอ๋อร์…”

ลำพังเพียงแค่ชื่อแซ่ก็ร่ายออกมายาวเหยียด ระหว่างนี้นักเล่านิทานยังมองไปยังเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้ชื่อ เด็กคนนั้นจึงรีบตะโกนอย่างร้อนใจว่า “ข้าชื่อสือทั่น”

นักเล่านิทานจึงเพิ่มชื่อเซียนกระบี่สือทั่นเข้าไปอีกคนหนึ่ง

ส่วนเด็กหนุ่มจ้าวอวี่ซานที่ได้ยินชื่อตัวเองก็ยิ้มกว้าง เพียงแต่ไม่นานก็ตีหน้าเคร่งอีกครั้ง

หากในเรื่องเล่าต่อจากนี้ของนักเล่านิทานยังมีเซียนกระบี่จ้าวอวี่ซานอีก ถ้าอย่างนั้นก็จะลองฟังดู แต่หากไม่มี ก็ยังจะฟังอยู่ดี

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีเซียนกระบี่จ้าวอวี่ซานที่ชื่อแซ่เหมือนเขาหรือไม่ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจ้าวอวี่ซานจากตรอกยากจนก็ต้องฟังเรื่องเล่าดูก่อนถึงจะรู้ได้ว่ามีหรือไม่มี

อันที่จริงต่อจากนั้นมา เรื่องเล่าก็ยังคงมีจุดหักเหอยู่เรื่อยๆ พวกเด็กๆ ยังคงช่างเลือก จะฟังเฉพาะเรื่องที่ตัวเองอยากฟังเท่านั้น

ไม่ว่าจะอย่างไร ด้านข้างม้านั่งและจุดที่ห่างออกไปก็ยังไม่มีใครที่เดินจากไป ยังคงอยู่ฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำฉบับครบถ้วนสมบูรณ์จนจบ ในที่สุดบัณฑิตก็สมหวัง เซียนกระบี่ทุกคนเดินทางมาร่วมอวยพร บัณฑิตกับสตรีที่รักผ่านอุปสรรคนานาประการมาด้วยกัน ในที่สุดก็สามารถกราบไหว้ฟ้าดินแต่งงานกันได้ นับแต่นั้นก็มีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ เรื่องราวจึงจบลงเช่นนี้

ไม่เพียงเท่านี้ ปกติทุกครั้งที่เรื่องเล่าจบเรื่อง พวกเด็กน้อยและเด็กหนุ่มเด็กสาวก็จะแยกย้ายกันไป ทว่าครั้งนี้กลับไม่มีใครจากไปทันที นี่ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

เพียงแต่ครั้งนี้ นักเล่านิทานกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากเรื่องเล่าอีกแล้ว เพียงมองพวกเขาแล้วยิ้มกล่าวว่า “เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า แต่เรื่องเล่าที่อยู่ในตำราก็ไม่ได้มีอยู่แค่บนหน้ากระดาษเท่านั้น อันที่จริงพวกเจ้าก็จะมีเรื่องราวที่เป็นของตัวเอง ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งจะเป็นเช่นนี้ วันหน้าข้าจะไม่ได้มาเป็นนักเล่านิทานอยู่ที่นี่อีกแล้ว หวังว่าหากมีโอกาส พวกเจ้าจะมาเป็นคนเล่าเรื่องราว ส่วนข้าจะมาเป็นคนฟังพวกเจ้าเล่า”

เฉินผิงอันหยิบม้านั่งลุกขึ้นยืน

มีเด็กคนหนึ่งเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ท่านเฉิน ท่านจะต้องกลับบ้านเกิดแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “เปล่า ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่ข้าจะไม่ใช่นักเล่านิทานที่แต่งเรื่องโกหกหลอกคน แล้วก็ไม่ใช่นักบัญชีที่ขายเหล้าหาเงินอะไรอีกแล้ว ดังนั้นจึงมีเรื่องอีกมากที่รอให้ข้าต้องไปทำ”

เฉินผิงอันเดินจากไปแล้ว หลังเดินออกไปได้ระยะหนึ่งก็พลันหันหน้ากลับมา ยิ้มกล่าว “หากอยากรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?”

พวกเด็กๆ หลายคนที่ลุกขึ้นยืนและเดินจากไปแล้วพากันหัวเราะครืน มีเพียงเสียงของคนไม่กี่คนที่เอ่ยคล้อยตาม แต่เสียงนั้นไม่ถือว่าเบาเลยจริงๆ “โปรดรอฟังตอนถัดไป!”

เฉินผิงอันหัวเราะ แล้วพูดพึมพำกับตัวเอง “เหลือไว้ เหลือไว้ก่อน”

……

เผยเฉียนตั้งใจฝึกหมัดอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากปีนั้นที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เพราะกลัวว่าวันใดจู่ๆ อาจารย์พ่อจะไล่ให้ตนกลับไป ภูเขาลั่วพั่วดีมาก แต่ขอแค่ไม่มีอาจารย์พ่ออยู่ ก็ไม่ค่อยดีมากพอ

วันนี้ตอนฝึกหมัดป๋ายหมัวมัวออกแรงไม่มากนัก คาดว่าคงกินข้าวไม่อิ่มกระมัง

แต่เผยเฉียนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะนางรู้สึกว่าตนใกล้จะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตสี่แล้ว! นี่ทำให้เผยเฉียนเบิกบานใจอย่างยิ่ง ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง พูดถ้อยคำน่าฟังมากมายกับป๋ายหมัวมัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!