กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 613

สรุปบท บทที่ 613.3 ศัตรูมาถึง เซียนกระบี่อยู่: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 613.3 ศัตรูมาถึง เซียนกระบี่อยู่ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 613.3 ศัตรูมาถึง เซียนกระบี่อยู่ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยคำพูดเกรงใจอีก

สุดท้ายจ้งชิวเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นหลักการเหตุผลที่ดีแค่ไหน ก็มีช่วงเวลาที่ไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าตัวหลักการเหตุผลนั้นมีปัญหา แต่เป็นเพราะมนุษย์มีความยากลำบากและเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป ทั้งๆ ที่ข้าวหนึ่งอย่างเลี้ยงคนได้ร้อยแบบ ถึงท้ายที่สุดจะมีสักกี่คนที่ชอบข้าวชามนั้น แล้วมีสักกี่คนที่เคยนึกถึงว่ารสชาติที่แท้จริงของข้าวชามนั้นว่าเป็นอย่างไร”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองไตร่ตรองดูให้มาก”

จ้งชิวทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เขาอยากจะเอ่ยถ้อยคำปลอบใจ เพียงแต่มองคนหนุ่มชุดเขียวผู้นี้แล้วก็รู้สึกว่าดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็น จึงไม่พูดอะไรแล้ว

เผยเฉียนเรียกอาจารย์พ่อเบาๆ หนึ่งคำ แต่กลับพูดต่อไม่ออกอีก

กวอจู๋จิ่วที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กเริ่มนับนิ้ว น่าจะกำลังคำนวณอยู่ในใจ ดูว่าเมื่อไหร่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ถึงจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง

หางตาของเผยเฉียนเหลือบไปเห็นการกระทำของกวอจู๋จิ่ว จึงไม่มีเวลามามัวเสียใจแล้ว แม่นางน้อยคนนี้น่ารำคาญจริงๆ

เฉาฉิงหล่างกุมหมัดบอกลา

เฉินผิงอันโบกมือเบาๆ จากนั้นก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ

หลังจากส่งพวกเขาไปแล้ว เฉินผิงอันก็พากวอจู๋จิ่วไปส่งที่หน้าประตูใหญ่ของนคร จากนั้นตนเองก็ขับเรือยันต์ไปที่หัวกำแพงเมือง

บนหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วถาม “ไปกันหมดแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

จั่วโย่วขมวดคิ้ว “มีอะไรก็พูดมาตามตรง”

เฉินผิงอันเริ่มคิดถึงช่วงเวลาที่มีเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างอยู่ข้างกายขึ้นมาบ้างแล้ว ยามนั้นศิษย์พี่ใหญ่ดูจะเกรงใจตนอยู่ไม่น้อยนะ

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “หากข้าหวังให้ศิษย์พี่ใหญ่รับปากอาจารย์ว่าจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงก็ไม่ควรปฏิเสธเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ควรจะรับปากเขาว่าจะจุดตะเกียงแห่งชะตาชีวิตไว้ที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่เพราะข้า แล้วยังต้องมีความกังวลเพิ่มขึ้นมาด้วย”

จั่วโย่วเอ่ย “พูดจาแค่ครึ่งๆ กลางๆ? ใครสอนเจ้า อาจารย์ของพวกเราหรือ?! เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้าออกกระบี่เร็วหรือช้า เจ้าที่ไม่แม้แต่จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกหรอก แล้วใครมอบความกล้าให้เจ้ามาคิดเรื่องวุ่นวายพวกนี้? เจ้าเอ่ยประโยคนั้นกับอวี้เจวี้ยนฟูว่าอย่างไร หรือว่าหลักการเหตุผลมีไว้แค่เอ่ยให้คนอื่นฟังเท่านั้น? หลักการเหตุผลในใจที่ได้มาอย่างลำบากยากแสน จะเหมือนในร้านเหล้าและบนตราประทับบนหน้าพัดพับที่ตัวเองไม่เก็บไว้ก็ขายแลกเงินมาทั้งหมดงั้นหรือ? หลักการเหตุผลผายลมสุนัขเช่นนี้ ข้าว่าไม่ต้องเรียนรู้สักข้อจึงจะดี”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ไปชั่วขณะ

ปกติแล้วศิษย์พี่ใหญ่จะไม่พูดอะไรกับตนมากนัก วันนี้กลับพูดเยอะขนาดนี้ ดูท่าจะโมโหตนมากจริงๆ

ไม่เป็นไร

เฉินผิงอันคิดแผนการรับมือมาไว้นานแล้ว “ต่อให้อาจารย์จะยุ่งแค่ไหน ตอนนี้มีพวกเผยเฉียนเฉาฉิงหล่างอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะไปเยี่ยมพวกเขาอยู่บ่อยๆ ศิษย์พี่ใหญ่สอนวิชากระบี่อย่างไร ข้าเชื่อว่าพวกศิษย์หลานของศิษย์พี่ใหญ่ก็จะต้องเล่าให้ให้อาจารย์ของพวกเราฟังทั้งหมด อาจารย์ฟังแล้วต้องดีใจมากแน่นอน”

คราวนี้เป็นจั่วโย่วบ้างที่พูดไม่ออก

เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามว่า “ทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีคนมากมายที่ไม่ได้ลืมคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช่หรือไม่?”

จั่วโย่วพยักหน้า “แน่นอน แต่ก็ยังไม่มีประโยชน์สักเท่าใด”

เฉินผิงอันถามอีก “หัวกำแพงทั้งสองด้านมีอริยะสองท่านของลัทธิขงจื๊อและลัทธิพุทธเฝ้าพิทักษ์ บวกกับม่านฟ้าที่มีอริยะลัทธิเต๋าคอยดูแลอยู่ นี่ก็เพื่อพยายามที่จะประคับประคองกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ให้ถูกโชคชะตาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกัดกร่อนกลืนกินอย่างนั้นหรือ?”

จั่วโย่วเอ่ย “สำหรับอริยะของสามลัทธิแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายสักเท่าใด อริยะลัทธิขงจื๊อที่มีชาติกำเนิดมาจากพุทธบริษัทท่านนั้น ในอดีตหลังจากที่อาจารย์โต้วาทีล้มเหลว เขาก็ได้ไปอยู่สายของหย่าเซิ่ง ความรู้ลึกล้ำ ดังนั้นเจ้าอย่าได้คิดว่าสายของหย่าเซิ่งไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว บัณฑิตอย่างพวกเรากลัวว่าผลประโยชน์ที่ตัวเองควรได้รับจะเกิดความเสียหายมากที่สุด จากนั้นก็จะร้อนรนกระวนกระวายใจ ตำหนิกล่าวโทษทุกคนทุกเรื่อง แล้วก็อย่าได้คิดว่าสายหลี่เซิ่งมีวิญญูชนหวังไจ่อยู่คนหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายหลี่เซิ่งบนโลกทุกคนจะเป็นนักปราชญ์วิญญูชนกันไปทั้งหมด”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางถูกใบไม้หนึ่งใบบังตาแล้วมองไม่เห็นขุนเขาเช่นนี้หรอก”

จงขุยวิญญูชนแห่งใบถงทวีปก็มีชาติกำเนิดมาจากสายหย่าเซิ่ง

จั่วโย่วถาม “ก่อนจะจากไป ชุยตงซานผู้นั้นพูดอะไรไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่เรื่องยิบย่อยเท่านั้น”

จั่วโย่วเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ว่า “ปีนั้นนอกจากอาจารย์แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นชุยฉานตอนที่เป็นเด็กหนุ่ม ตอนที่พวกเราได้พบเจอเขา เขาก็เป็นคนหนุ่มที่มีอายุพอๆ กับเจ้าในตอนนี้แล้ว”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ข้ายังคงเชื่อมาโดยตลอดว่า วิถีทางโลกใบนี้จะต้องยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ”

จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ควรเป็นเช่นนี้”

เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ หากเวลาปกติท่านยิ้มบ่อยๆ หน่อย อันที่จริงท่านก็หล่อเหลากว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะเสียอีก”

จั่วโย่วย้อนถาม “ไม่ยิ้มก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ข้าคิดว่าใช่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเว่ยจิ้นจะคิดเช่นไร”

จั่วโย่วอืมรับหนึ่งที “ไว้คราวหน้าข้าจะลองถามเขาดู”

เฉินผิงอันเอ่ยเสริมว่า “ยังต้องดูว่าการตอบคำถามข้อนี้ของเว่ยจิ้นจริงใจหรือไม่”

จั่วโย่วพยักหน้า “มีเหตุผล”

ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยกันอยู่อย่างนี้

คนสนิทคุ้นเคยต่างจากไปไกล

ก็เหมือนอย่างวันนี้ที่เฉินผิงอันเป็นเช่นนี้

วันนี้เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงเสาศาลา นั่งงีบหลับรับลมเย็นๆ

บนหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วลืมตาแล้วลุกขึ้นยืน เอามือกดด้ามกระบี่ หรี่ตามองไปยังทิศไกล

ทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง ทะเลทรายกว้างไกลหมื่นลี้พัดตัวหอบโถมเข้ามามืดฟ้ามัวดิน

เม็ดกรวดเม็ดทรายคลุ้งตลบ ถึงขนาดสูงกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ ประหนึ่งคลื่นกระทบฝั่งที่โถมเข้าหากำแพงเมือง

ภิกษุที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งและอริยะสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่นั่งอยู่บนหัวกำแพงสองฝั่งซ้ายขวาของจั่วโย่วต่างก็ยื่นฝ่ามือออกมาในเวลาเดียวกัน กดหมอกขาวเหล่านั้นเบาๆ

อริยะลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่ถือไม้ปัดฝุ่นหางกวาง (คือไม้ปัดฝุ่นชนิดหนึ่งที่ทำจากหางกวาง ด้ามแบนอยู่ตรงกลาง ด้านข้างสองฝั่งเป็นขนกวางที่แผ่ออก ความกว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ) สีขาวหิมะนั่งขัดสมาธิอยู่บนจุดที่สูงอย่างถึงที่สุด เมื่อนักพรตเฒ่าทอดสายตามองไป สิ่งที่สายตามองเห็นก็คือทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าแหวกออกด้วยตัวเองทีละชั้น

มีแม่นางน้อยมัดผมแกละลักษณะเหมือนเด็กหญิงคนหนึ่ง เดิมทีนางกำลังอ้าปากหาว ฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง นั่งเหม่อมองกาเหล้าที่เปิดผนึกดินแล้ว เวลานี้ดีใจจึงกลิ้งตัวหมุนไปหลายตลบ แล้วจึงกระโดดผลุงขึ้นยืน สายตาเป็นประกายระยิบระยับ ตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ว่า “ต่ำกว่าขอบเขตหยกดิบลงไป ออกไปจากหัวกำแพงเมืองให้หมด! ทางฝั่งทิศเหนือใครที่ขอบเขตมากพอก็มารวมตัวให้ครบจำนวนคน!”

เฉาชิงตูเดินออกจากกระท่อมช้าๆ สองมือไพล่หลัง มาหยุดอยู่ข้างกายจั่วโย่วแล้วกระโดดขึ้นบนหัวกำแพงเบาๆ ยิ้มถามว่า “เก็บปราณกระบี่เอาไว้กินแทนข้าวหรือ?”

จั่วโย่วเงียบงันไม่เอ่ยคำใด กระบี่ที่พกไว้ไม่ได้ชักออกจากฝัก เพียงแต่ไม่เก็บปราณกระบี่ไว้อย่างยากลำบากอีกแล้ว แต่พุ่งรุดไปเบื้องหน้า

นอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทรายเหลืองเหมือนชนกระแทกผนัง พริบตาเดียวก็สลายกลายเป็นเศษฝุ่น ยากที่จะขยับเข้าใกล้หัวกำแพงเมืองได้อีกแม้แต่เสี้ยวเดียว

ไม่เพียงเท่านี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นนั้นยังขยับไปทางทิศใต้ต่อ ทรายเหลืองที่กลิ้งหลุนๆ จึงถอยกรูดออกห่างไปหลายสิบลี้

สุดท้ายฟ้าดินกลับคืนสู่ความสดใส การมองเห็นเปิดกว้าง ไร้สิ่งใดบดบังสายตา

ทางฝั่งของนครทางเหนือมีแสงกระบี่พร่างพราวหลายเส้นผุดขึ้นมา ก่อนจะพากันเก็บกระบี่ไปหยุดอยู่บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้

สุดท้ายบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่

มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ

เฉินชิงตู จั่วโย่ว

ต่งซานเกิง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ น่าหลันเสาเหว่ย เฒ่าหูหนวก ลู่จือ

เยว่ชิง หนิงเหลียนอวิ๋น อู๋เฉิงเพ่ย โจวเฉิง หมี่ฮู้ หมี่อวี้ ซุนจวี้เฉวียน เกาขุย เถาเหวิน หลี่ทุ่ยมี่ผู้ฝึกกระบี่เซียนเหรินผู้ถวายงานตระกูลเยี่ยน…

หานไหวจื่อแห่งอุตรกุรุทวีป เว่ยจิ้นแห่งแจกันสมบัติทวีป หยวนชิงสู่แห่งทักษินาตยทวีป ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ขู่เซี่ยแห่งราชวงศ์เส้าหยวน

เฉินชิงตูมองไปยังทิศไกล พูดกลั้วหัวเราะเอ่ยว่า “ตอนนี้มีเจ้าแก่หนังเหนียวผู้นั้นช่วยหนุนหลัง ความกล้าหาญก็เปี่ยมล้นอยู่ไม่น้อย มีคนหน้าใหม่ๆ มาหลายคนทีเดียว อืม มากันไม่น้อยด้วย พวกที่มีที่นั่งในรูหนูก็น่าจะมากันครบแล้ว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!