เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยคำพูดเกรงใจอีก
สุดท้ายจ้งชิวเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นหลักการเหตุผลที่ดีแค่ไหน ก็มีช่วงเวลาที่ไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าตัวหลักการเหตุผลนั้นมีปัญหา แต่เป็นเพราะมนุษย์มีความยากลำบากและเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป ทั้งๆ ที่ข้าวหนึ่งอย่างเลี้ยงคนได้ร้อยแบบ ถึงท้ายที่สุดจะมีสักกี่คนที่ชอบข้าวชามนั้น แล้วมีสักกี่คนที่เคยนึกถึงว่ารสชาติที่แท้จริงของข้าวชามนั้นว่าเป็นอย่างไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองไตร่ตรองดูให้มาก”
จ้งชิวทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เขาอยากจะเอ่ยถ้อยคำปลอบใจ เพียงแต่มองคนหนุ่มชุดเขียวผู้นี้แล้วก็รู้สึกว่าดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็น จึงไม่พูดอะไรแล้ว
เผยเฉียนเรียกอาจารย์พ่อเบาๆ หนึ่งคำ แต่กลับพูดต่อไม่ออกอีก
กวอจู๋จิ่วที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กเริ่มนับนิ้ว น่าจะกำลังคำนวณอยู่ในใจ ดูว่าเมื่อไหร่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ถึงจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง
หางตาของเผยเฉียนเหลือบไปเห็นการกระทำของกวอจู๋จิ่ว จึงไม่มีเวลามามัวเสียใจแล้ว แม่นางน้อยคนนี้น่ารำคาญจริงๆ
เฉาฉิงหล่างกุมหมัดบอกลา
เฉินผิงอันโบกมือเบาๆ จากนั้นก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ
หลังจากส่งพวกเขาไปแล้ว เฉินผิงอันก็พากวอจู๋จิ่วไปส่งที่หน้าประตูใหญ่ของนคร จากนั้นตนเองก็ขับเรือยันต์ไปที่หัวกำแพงเมือง
บนหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วถาม “ไปกันหมดแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “มีอะไรก็พูดมาตามตรง”
เฉินผิงอันเริ่มคิดถึงช่วงเวลาที่มีเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างอยู่ข้างกายขึ้นมาบ้างแล้ว ยามนั้นศิษย์พี่ใหญ่ดูจะเกรงใจตนอยู่ไม่น้อยนะ
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “หากข้าหวังให้ศิษย์พี่ใหญ่รับปากอาจารย์ว่าจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงก็ไม่ควรปฏิเสธเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ควรจะรับปากเขาว่าจะจุดตะเกียงแห่งชะตาชีวิตไว้ที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่เพราะข้า แล้วยังต้องมีความกังวลเพิ่มขึ้นมาด้วย”
จั่วโย่วเอ่ย “พูดจาแค่ครึ่งๆ กลางๆ? ใครสอนเจ้า อาจารย์ของพวกเราหรือ?! เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้าออกกระบี่เร็วหรือช้า เจ้าที่ไม่แม้แต่จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกหรอก แล้วใครมอบความกล้าให้เจ้ามาคิดเรื่องวุ่นวายพวกนี้? เจ้าเอ่ยประโยคนั้นกับอวี้เจวี้ยนฟูว่าอย่างไร หรือว่าหลักการเหตุผลมีไว้แค่เอ่ยให้คนอื่นฟังเท่านั้น? หลักการเหตุผลในใจที่ได้มาอย่างลำบากยากแสน จะเหมือนในร้านเหล้าและบนตราประทับบนหน้าพัดพับที่ตัวเองไม่เก็บไว้ก็ขายแลกเงินมาทั้งหมดงั้นหรือ? หลักการเหตุผลผายลมสุนัขเช่นนี้ ข้าว่าไม่ต้องเรียนรู้สักข้อจึงจะดี”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ไปชั่วขณะ
ปกติแล้วศิษย์พี่ใหญ่จะไม่พูดอะไรกับตนมากนัก วันนี้กลับพูดเยอะขนาดนี้ ดูท่าจะโมโหตนมากจริงๆ
ไม่เป็นไร
เฉินผิงอันคิดแผนการรับมือมาไว้นานแล้ว “ต่อให้อาจารย์จะยุ่งแค่ไหน ตอนนี้มีพวกเผยเฉียนเฉาฉิงหล่างอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะไปเยี่ยมพวกเขาอยู่บ่อยๆ ศิษย์พี่ใหญ่สอนวิชากระบี่อย่างไร ข้าเชื่อว่าพวกศิษย์หลานของศิษย์พี่ใหญ่ก็จะต้องเล่าให้ให้อาจารย์ของพวกเราฟังทั้งหมด อาจารย์ฟังแล้วต้องดีใจมากแน่นอน”
คราวนี้เป็นจั่วโย่วบ้างที่พูดไม่ออก
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามว่า “ทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีคนมากมายที่ไม่ได้ลืมคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช่หรือไม่?”
จั่วโย่วพยักหน้า “แน่นอน แต่ก็ยังไม่มีประโยชน์สักเท่าใด”
เฉินผิงอันถามอีก “หัวกำแพงทั้งสองด้านมีอริยะสองท่านของลัทธิขงจื๊อและลัทธิพุทธเฝ้าพิทักษ์ บวกกับม่านฟ้าที่มีอริยะลัทธิเต๋าคอยดูแลอยู่ นี่ก็เพื่อพยายามที่จะประคับประคองกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ให้ถูกโชคชะตาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกัดกร่อนกลืนกินอย่างนั้นหรือ?”
จั่วโย่วเอ่ย “สำหรับอริยะของสามลัทธิแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายสักเท่าใด อริยะลัทธิขงจื๊อที่มีชาติกำเนิดมาจากพุทธบริษัทท่านนั้น ในอดีตหลังจากที่อาจารย์โต้วาทีล้มเหลว เขาก็ได้ไปอยู่สายของหย่าเซิ่ง ความรู้ลึกล้ำ ดังนั้นเจ้าอย่าได้คิดว่าสายของหย่าเซิ่งไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว บัณฑิตอย่างพวกเรากลัวว่าผลประโยชน์ที่ตัวเองควรได้รับจะเกิดความเสียหายมากที่สุด จากนั้นก็จะร้อนรนกระวนกระวายใจ ตำหนิกล่าวโทษทุกคนทุกเรื่อง แล้วก็อย่าได้คิดว่าสายหลี่เซิ่งมีวิญญูชนหวังไจ่อยู่คนหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายหลี่เซิ่งบนโลกทุกคนจะเป็นนักปราชญ์วิญญูชนกันไปทั้งหมด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางถูกใบไม้หนึ่งใบบังตาแล้วมองไม่เห็นขุนเขาเช่นนี้หรอก”
จงขุยวิญญูชนแห่งใบถงทวีปก็มีชาติกำเนิดมาจากสายหย่าเซิ่ง
จั่วโย่วถาม “ก่อนจะจากไป ชุยตงซานผู้นั้นพูดอะไรไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่เรื่องยิบย่อยเท่านั้น”
จั่วโย่วเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ว่า “ปีนั้นนอกจากอาจารย์แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นชุยฉานตอนที่เป็นเด็กหนุ่ม ตอนที่พวกเราได้พบเจอเขา เขาก็เป็นคนหนุ่มที่มีอายุพอๆ กับเจ้าในตอนนี้แล้ว”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ข้ายังคงเชื่อมาโดยตลอดว่า วิถีทางโลกใบนี้จะต้องยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ควรเป็นเช่นนี้”
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ หากเวลาปกติท่านยิ้มบ่อยๆ หน่อย อันที่จริงท่านก็หล่อเหลากว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะเสียอีก”
จั่วโย่วย้อนถาม “ไม่ยิ้มก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ข้าคิดว่าใช่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเว่ยจิ้นจะคิดเช่นไร”
จั่วโย่วอืมรับหนึ่งที “ไว้คราวหน้าข้าจะลองถามเขาดู”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมว่า “ยังต้องดูว่าการตอบคำถามข้อนี้ของเว่ยจิ้นจริงใจหรือไม่”
จั่วโย่วพยักหน้า “มีเหตุผล”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยกันอยู่อย่างนี้
คนสนิทคุ้นเคยต่างจากไปไกล
ก็เหมือนอย่างวันนี้ที่เฉินผิงอันเป็นเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!