กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 617

เฉินผิงอันลืมตาขึ้นก็มีกระบี่บินสี่เล่มปรากฏตัวอย่างพร้อมเพรียงแทบจะในเสี้ยววินาที ชูอีกำลังขอคุณความชอบ สืออู่ยังคงว่าง่ายอยู่ดังเดิม ส่วนซงเจินและไฮเหลย ถึงอย่างไรก็เป็นแค่กระบี่จำลอง แม้ว่าจะผ่านการหลอมใหญ่มาแล้วก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะมีสติปัญญาได้อย่างชูอีสืออู่

ในห้องเล็กๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นยาที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุด

สีท้องฟ้านอกหน้าต่างใกล้เป็นสีเหลืองส้มของยามสนธยา

หลับตาลงสัมผัสถึงภาพบรรยากาศอันพร่าเลือนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ห่างออกไป พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง เฉินผิงอันก็เก็บกระบี่บิน จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ ตรวจสอบโรคที่อาจจะทิ้งไว้หลังศึกใหญ่ หลักๆ คือสำรวจไปตามช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งสี่แห่ง

สงครามของผู้ฝึกตน การจับคู่ต่อสู้กัน หากช่องโพรงลมปราณแห่งชีวิตกลายเป็นซากปรักหักพังที่คล้ายกับซากสนามรบ ก็แสดงว่ารากฐานของมหามรรคาได้รับความเสียหาย

เพียงแต่ว่าจิตเมล็ดงาเพิ่งจะปรากฏกายก็มีมังกรเพลิงเลื้อยมาด้วยท่าทางดุดัน บนหัวของมังกรคือคนจิ๋วสีทองที่ยืนอยู่ ยังคงสวมชุดลัทธิขงจื๊ออยู่เหมือนเดิม นอกจากพกกระบี่แล้วยังมีตำราสีทองเล่มนั้น เพียงแต่ว่าตัวมันกลายเป็นคนหัวโล้นน้อยๆ คนหนึ่ง

คนจิ๋วสีทองยืนอยู่บนหัวของมังกรเพลิง ถลึงตาจ้องมองเฉินผิงอันอย่างดุดัน ตั้งท่าพร้อมโจมตีทุกเมื่อ

เฉินผิงอันแสร้งวางมาดข่มขู่ให้กลัว “อย่าด่านะ หากข้าอำมหิตขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็ยังด่าได้”

เจ้าหัวโล้นน้อยจะยังสนเรื่องพวกนี้อีกหรือ? เปิดปากได้ก็ด่ากราดทันที

เฉินผิงอันจะด่าตอบโต้กับคนจิ๋วสีทองจริงๆ จังๆ ก็คงไม่ได้ จึงได้แต่แสร้งทำตัวหูหนวกเป็นใบ้ เพราะถึงอย่างไรหากไม่ได้มันช่วยลาดตระเวนฟ้าดินแห่งเล็ก ควบคุมลมปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธเฮือกนั้นไม่ให้ไปรบกวนการโคจรของปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณ ไม่อย่างนั้นเมื่อผ่านศึกใหญ่ครั้งนี้ไป จิตใจของเฉินผิงอันจะเข้าสู่สภาวะหลับใหลเหมือนตายไปครึ่งตัว ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธกับปราณวิญญาณของผู้ฝึกตน สองฝ่ายตีกันจนไอร้อนลอยระอุขึ้นฟ้ามาตั้งนานแล้ว ถึงเวลานั้นจะเป็นดั่งน้ำค้างแข็งที่ตกลงบนหิมะ ภัยร้ายซ่อนแฝงไร้ที่สิ้นสุด

ในจวนน้ำ ปราณวิญญาณแห้งขอดไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ลายน้ำบนภาพวาดฝาผนังหม่นหมองไร้สีสัน บ่อน้ำเล็กๆ ก็แห้งขอด แต่รากฐานของตราประทับอักษรน้ำ ภาพวาดฝาผนังและบ่อน้ำขนาดเล็กกลับไม่ได้รับความเสียหาย แต่ก็แน่นอนว่าไม่ได้ไร้ความเสียหายซะเลย ก็แค่มีโอกาสที่จะซ่อมแซมให้กลับมาดีได้อีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นสีสันบนภาพวาดฝาผนังหลุดร่อนเล็กน้อย ภาพเทวรูปองค์เทพวารีที่เดิมทีก็ยังไม่มั่นคงยิ่งส่ายไหวเตรียมแตกสลาย เทพวารีหลายองค์ที่ราวกับถูกแต้มนัยน์ตา แสงสีทองที่เดิมทีแจ่มจ้าบริสุทธิ์ก็หม่นหมองลงไปเล็กน้อย

ตลอดทั้งจวนน้ำเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวไม่มีงานอะไรให้ทำ ต่อให้เป็นสตรีที่ฝีมือเก่งกาจแค่ไหน แต่หากไร้วัตถุดิบก็ยากจะปรุงอาหารดีๆ ออกมาได้ พวกมันเงยหน้ามองดวงจิตเมล็ดงาของเฉินผิงอัน แม้ปากจะไม่พร่ำบ่น ทว่าแต่ละคนหัวคิ้วขมวดมุ่นไม่คลาย สายตาฉายแววตำหนิ เฉินผิงอันจึงได้แต่รับรองกับพวกมันว่าจะพยายามช่วยหาข้าวของเครื่องใช้มาเสริมในบ้าน นำความมีชีวิตชีวากลับคืนมาให้ที่นี่ พวกคนจิ๋วชุดเขียวไหล่ลู่คอตก ไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก

ตรงประตูใหญ่ของจวนน้ำ คนจิ๋วชุดทองนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวมังกรเพลิง ถลึงตาใส่พวกคนจิ๋วชุดเขียวทั้งหลาย

เจ้าพวกตัวน้อยที่ไร้ชีวิตชีวารีบลุกขึ้นยืนน้อมส่งเฉินผิงอันจากไปทันที

ออกมาจากจวนน้ำ คนจิ๋วชุดทองก็เริ่มขี่มังกรเพลิงไล่ตามไปด่าเฉินผิงอันอีกครั้ง

ตรงศาลภูเขาและจวนน้ำสองแห่งก็มีสภาพพอๆ กับจวนน้ำที่ต้องได้รับการซ่อมแซม ต้องอาศัยเงินเทพเซียนและวัตถุวิเศษห้าธาตุมาช่วยเติมหลุมให้เต็ม

ความเสียหายของช่องโพรงสำคัญสามแห่งและวัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็นเหตุให้เฉินผิงอันขอบเขตถดถอยไปทีเดียวสามขั้น ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสอง

ข่าวดีก็คือ ปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ผ่านการปรับปรุงจากอาเหลียงผ่านทะลุปรุโปร่งครบทุกด่านแล้ว

ชูอี สืออู่ครอบครองช่องโพรงลมปราณสำคัญสองแห่ง ยังคงใช้แท่นสังหารมังกรขัดเกลาคมกระบี่ต่อไป

ช่องโพรงที่แรกเริ่มสุดมีปราณกระบี่ ‘เล็กจ้อย’ สามเส้นขดตัวอยู่ เหลือเพียงแค่แห่งสุดท้าย จึงเหมือนเรือนที่ว่างเปล่า รอคอยให้คนเข้ามาอยู่

รอแค่ให้เฉินผิงอันฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่สมชื่อมากกว่าชูอีสืออู่ออกมา และเขาเองได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง

การที่มิอาจฝ่าด่านสุดท้ายของปราณกระบี่สิบแปดหยุดได้เสียที ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ช่องโพรงที่ปราณกระบี่กลุ่มนั้นเคยอยู่ได้สร้าง ‘ด่านยิ่งใหญ่’ ที่ขัดขวางกองทัพม้าเหล็กของปราณกระบี่ขึ้นมาอย่างที่มองไม่เห็น

เฉินผิงอันพลันหัวเราะ เจ้าคนจิ๋วสีทองหัวโล้นนั่น มองดูท่าทางแล้วน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย

คิดไม่ถึงว่าความคิดนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ตรงหน้าอกก็เหมือนถูกหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเข้าอย่างจัง เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวและเลือดข้นเหนียวหนืดออกมาคำหนึ่ง

เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้เลยหรือ ไปเรียนรู้มาจากใครกัน? คงจะเรียนมาจากลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนกระมัง

เฉินผิงอันสวมรองเท้าลงจากเตียงมาเดินได้อย่างไม่มีปัญหา

ป๋ายหมัวมัวที่เฝ้าอยู่ในระเบียงด้านนอกตลอดเวลายิ้มกล่าวว่า “ท่านเขยฟื้นแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันเปิดประตู ถามว่า “ป๋ายหมัวมัว ข้าหลับไปนานแค่ไหน?”

ป๋ายหมัวมัวเอ่ย “ไม่นาน แค่สามวันสามคืนเท่านั้น”

เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก “การศึกบนหัวกำแพงเมืองเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

ป๋ายหมัวมัวยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ “จะว่าไปแล้วก็แปลก ก่อนหน้านี้จัดขบวนทัพเอิกเกริกขนาดนั้น รอจนโจมตีเมืองเข้าจริงๆ กลับยังเป็นการต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ อยู่เหมือนเดิม ใช้วิธีการโจมตีเมืองที่ไม่ต่างจากสองครั้งก่อนหน้านี้ มีแต่พาตัวมาตายเท่านั้น”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที หมุนตัวเดินไปยกม้านั่งยาวออกมาวางในระเบียง นั่งลงพูดคุยกับป๋ายหมัวมัว

คำพูดของป๋ายหมัวมัว แน่นอนว่าเพื่อให้เขาสบายใจเท่านั้น

แม้มองภายนอกแล้ว เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรป๋ายหมัวมัวก็ไม่มีทางพูดจาส่งเดชกับเรื่องใหญ่เช่นนี้ เพียงแต่ว่าความจริงเบื้องหลัง ความรู้สึกหายใจไม่ออก เมฆดำที่กดทับลงบนนคร ลมฟ้าลมฝนที่กำลังจะมาเยือน ไม่มีทางที่ป๋ายหมัวมัวจะสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

การศึกหลายครั้งก่อนหน้านี้ที่เป็นดั่งฟ้าร้องดังสนั่นแต่ฝนที่ตกจริงกลับบางเบา ล้วนเป็นแค่การเตรียมการไว้ล่วงหน้าเท่านั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!