กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 630

ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอย่างสมชื่อ คือลูกรักแห่งสวรรค์อันดับหนึ่ง การที่ขอบเขตยังไม่สูงมากก็เพียงแค่เพราะสาเหตุเดียว นั่นคืออายุยังน้อย

ด้วยเหตุนี้เรื่องของจิตหยินออกจากร่างเดินทางไกลจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับพวกเขา เพียงแต่ว่าจิตหยินของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามออกเดินทางกลับเป็นเรื่องที่หาได้ยาก และสามารถปล่อยจิตหยินออกมาข้างนอกได้เป็นระยะเวลานานในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ปล่อยให้มาอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่ปราณกระบี่เปี่ยมล้นโดยไม่เปิดเผยร่องรอยแม้แต่น้อยเช่นนี้กลับยิ่งเป็นเรื่องประหลาด

เพียงแต่ว่าเมื่อเรื่องแบบนี้มาเกิดกับตัวเฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่ที่รวมถึงหมี่อวี้จึงคร้านจะสืบเสาะให้ลึกซึ้ง

กลับเป็นลู่จือที่มองอยู่นาน แล้วยังใช้เสียงในใจสอบถามเฉินผิงอันโดยตรง “เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้เจ้าล่อให้หย่างจื่อ หวงหลวนลงมือ แรกเริ่มก็คิดจะให้พวกเขาบรรลุผลอยู่แล้วหรือ?”

เฉินผิงอันวาดวงกลมไว้ในสมุดปิ่งเปิ่น ช่วยหวังซินสุ่ยเลือกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินฝ่ายของตัวเองออกมายี่สิบคน ขณะเดียวกันก็ใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจตอบกลับลู่จือ “การตกปลาทั่วไป พอเบ็ดหย่อนลงน้ำ ล่อให้ปลาใหญ่มางับเหยื่อ ต่อให้สุดท้ายแล้วปลาใหญ่จะถูกกระชากขึ้นฝั่ง แต่เหยื่อล่อนั่นยังเหลืออยู่ไหม? เจ้าก็พูดเองว่า สัตว์เดรัจฉานเฒ่าที่มีอายุอยู่มาจนปูนนี้อย่างหย่างจื่อไม่มีทางเป็นคนโง่ ขัดขวางการถอยหนีของพวกมัน แน่นอนว่าต้องให้ข้าเป็นตัวล่อก่อน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ล้อมฆ่าของเซียนกระบี่ฝ่ายเราย่อมไม่มีทางมั่นคงได้แน่”

ลู่จือขมวดคิ้ว “หากจิตหยินแตกสลาย ก็ต้องมีจุดจบที่รากฐานมหามรรคาถูกทำลาย เจ้าเป็นถึงอิ่นกวาน ไยต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จิตหยินของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามคนหนึ่ง แลกเปลี่ยนมาด้วยปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสองตน เป็นการค้าที่คุ้มค่ายิ่ง”

ลู่จือลังเลไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันพูดอ้อมค้อมไปมา อันที่จริงลู่จือไม่ค่อยชอบนัก จึงพูดโพล่งไปตรงๆ ว่า “ขอเจ้าช่วยจริงใจต่อกันหน่อย”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง “หากสายอิ่นกวานคิดจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง ลำพังแค่อาศัยผลงานทางการสู้รบที่มองไม่เห็น ยังไม่พอ ปัญหาใหญ่ที่สุดของสายอิ่นกวานก็คือหลบอยู่เบื้องหลัง ปลอดภัยเกินไป ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับไม่เคยปล่อยกระบี่ หากเป็นช่วงเวลาที่สงครามราบรื่นย่อมไม่มีปัญหา แต่เมื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นฝ่ายสูญเสียในสงครามมากเข้า สายอิ่นกวานก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ นี่เป็นความรู้สึกของคนปกติทั่วไป ดังนั้นข้ารีบจ่ายค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ไปเสียแต่เนิ่นๆ ก็จะสามารถทำให้สายอิ่นกวานได้รับผลกระทบด้านจิตใจน้อยลง และหากจิตใจของสายอิ่นกวานจดจ่อมุ่งมั่น ยามที่วางแผนคิดกลยุทธ จัดวางกองกำลังจัดตั้งขบวนรบ เมื่อดูจากระยะยาวแล้ว กำแพงเมืองปราณกระบี่จะได้ผลประโยชน์มหาศาล”

ลู่จือส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้ที่เจ้าพูดน่าจะเป็นความจริง แต่ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ได้พูดเหตุผลทั้งหมดออกมา”

เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ “คำพูดในใจบางอย่างควรเหลือค้างไว้ก่อน เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ก็อย่าเพิ่งมาซักไซ้เอาตอนนี้เลย ไม่มีความหมายหรอก”

ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่จั่วโย่วได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุใดเฉินผิงอันถึงไม่เจ็บแค้นเดือดดาล? เป็นเพราะว่าเขามีกลอุบายลึกลับ เชี่ยวชาญการข่มกลั้นอารมณ์จริงๆ งั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่

เพราะว่าส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันหวังให้ศิษย์พี่จั่วโย่วได้มีชีวิตอยู่รอด อีกทั้งยังถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย สรุปก็คือต้องไม่ใช่คำว่า ‘อย่างไรก็ตายอยู่ดี’ (ภาษาจีนใช้คำว่าจั่วโย่วซื่อเก้อสื่อ 左右是个死 แปลตรงตัวได้อีกอย่างคือจั่วโย่วต้องตาย)

ตอนที่อยู่บนลานประลองยุทธของจวนหนิง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยเอ่ยว่าหากเป็นผลลัพธ์ที่ดี ย้อนกลับไปมองชีวิตคน ทุกเรื่องล้วนดีงาม

ก็คือหลักการนี้

ดังนั้นเกี่ยวกับการที่ตอนนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกักขังจิตหยินของตน ไม่อนุญาตให้ตนมาแจ้งข่าวแก่ศิษย์พี่ว่าจะต้องระวังการลอบโจมตีจากอิ่นกวาน

หลังจบเรื่องเฉินผิงอันไปเยี่ยมศิษย์พี่ที่กระท่อม แต่กลับไม่โกรธเคืองเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ยิ่งไม่อาฆาตแค้น

เรื่องราวทางโลกอย่าได้พูดถึงคำว่า ‘ถ้าหาก’ ไม่มีคำว่าถ้าหากจั่วโย่วถูกเซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานต่อยตายด้วยหมัดเดียวอะไรทั้งนั้น

เฉินผิงอันยุติบทสนทนาครั้งนี้ “ลู่จือ เจ้าแค่ทุ่มเทกายใจปกป้องสายอิ่นกวานให้เต็มที่ แค่มีกระบี่ก็พอ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใจกับเรื่องอื่น”

ลู่จือเอ่ยหยอกล้ออย่างที่หาได้ยาก “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างมีมาดขุนนางใหญ่โตยิ่งนัก”

เฉินผิงอันจึงได้แต่ฝืนใจเลียนแบบลูกศิษย์ของตน เอาวิชานอกรีตของภูเขาลั่วพั่วออกมาใช้ด้วยการยิ้มบางๆ เอ่ยไปอีกประโยคว่า “วิชาอภินิหารเวทกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ลู่ไม่กี่วันก็เดินขึ้นฟ้าได้ มาดขุนนางของผู้น้อยใหญ่หรือไม่ใหญ่ ในสายตาของผู้อาวุโสแล้วก็ไม่ใช่เรื่องตลกที่เอามาแกล้มสุราเท่านั้นหรอกหรือ”

ลู่จือยิ้มรับ

เฉินผิงอันแบ่งสมาธิออกเป็นสามส่วน

คัดตัวเซียนกระบี่แต่ละคนที่อยู่ในปิ่งเปิ่น ใช้เสียงในใจสื่อสารกับหวังซินสุ่ยที่รับผิดชอบเขียนสมุดปิ่งเปิ่นอยู่เป็นระยะ

คอยจับตามองความเคลื่อนไหวบนม้วนภาพวาดที่กางอยู่บนทางเดินม้า นี่ก็คือหน้าที่ของอิ่นกวาน ใช้อำนาจหาใช่ปล่อยปละละเลย

และยังต้องคอยสังเกตผู้ฝึกกระบี่ทั้งสิบเอ็ดคนอย่างละเอียด ฟังบทสนทนา การแลกเปลี่ยนสื่อสารระหว่างพวกเขา เหมือนกับขุนนางกรมขุนนางที่คอยสำรวจตรวจสอบทั้งขุนนางฝ่ายในและขุนนางที่ดำรงตำแหน่งอยู่นอกพื้นที่

เฉินผิงอันวางพู่กันลง บีบนวดข้อมือตามความเคยชิน อยู่ดีๆ ก็นึกถึงบทที่หกของตำรา ‘เรือเจินจู’ ข้อหนึ่งในนั้นมีการกล่าวถึง ‘เยาว์วัยมากปัญญา’

สายตาที่มองออกไป ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสิบเอ็ดคน หากอยู่ในใต้หล้าไพศาล ด้วยคุณสมบัติและพรสวรรค์ของพวกเขา ไม่ว่าจะด้านการฝึกตนหรือการศึกษาหาความรู้ ก็น่าจะมีคุณสมบัติได้เลื่อนสู่บทนี้ทั้งนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!