กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 632

เดิมทีภูเขาห้อยหัวมีแค่ประตูใหญ่บานเดียวที่เชื่อมโยงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้ได้บุกเบิกประตูอีกบานที่ใหญ่ยิ่งกว่า ตรงประตูบานเก่าจึงขาดความครึกครื้นไปไม่น้อย

หากพูดตามคำกล่าวของชายฉกรรจ์กอดกระบี่ก็คือได้ใหม่แล้วลืมเก่า ชวนให้คนเสียใจอย่างสุดซึ้ง

นักพรตน้อยที่วัยวุฒิสูงอย่างถึงที่สุดยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น ในขณะที่อ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดที่ปัญญาชนผู้ผิดหวังคนหนึ่งเป็นผู้เขียนก็เอื้อมมือไปดึงแสงจันทร์กระจ่างมากำหนึ่ง กักไว้ใกล้กับตัวเองและตำรา มองดูเหมือนแสงหิ่งห้อยที่ช่วยส่องสว่างแก่หนังสือ

คราวก่อนเจ้าเด็กหนุ่มชุดขาวที่ถูกประตูหนีบหัว แล้วค่อยถูกลาถีบทำให้เขาสะอิดสะเอียดหงุดหงิดใจ รวมเล่มตำราบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญดีๆ เล่มหนึ่งที่เป็นดั่งน้ำใสไหลเย็น กลับถูกคนผู้นั้นเรียกเป็นนิยายรักประโลมโลกฉบับถูกตัดทอนเนื้อหา ทำเอาเขาอารมณ์ห่อเหี่ยวไปหลายวัน ไม่ว่าหนังสืออะไรก็ไม่มีอารมณ์อ่าน จึงได้แต่สละความบันเทิงที่มีไม่มากนี้ทิ้งไป วันๆ ได้แต่นั่งเหม่อลอย

เพียงแต่ว่าไม่ได้อ่านตำราติดต่อกันมาเกือบเดือน ด้วยความเบื่อหน่ายสุดขีดจึงกลับมาอ่านหนังสืออีกครั้ง คราวนี้เอาตำราปึกใหญ่มาตั้งวางไว้ข้างกาย อ่านตลอดทั้งกลางวันกลางคืน หมกมุ่นอย่างยิ่ง

แม้ว่านักพรตน้อยจะเป็นคนในกลุ่มเทพเซียน แต่กลับชอบอ่านหนังสืออย่างเชื่องช้าและละเอียดมาก ต่อให้ผ่านตาไปแล้วจะไม่มีวันลืม แต่ก็ชอบเปิดย้อนกลับไปดูหน้าแรกๆ อยู่บ่อยๆ

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูกอดกระบี่เดินเตร็ดเตร่มาหานักพรตน้อย แต่พอคิดว่าทำอย่างนี้เป็นการละเลยต่อหน้าที่ก็เลยวิ่งกลับไป เอากระบี่ยาววางไว้บนเสา แล้วถึงได้หิ้วกาเหล้ามานั่งอ่านตำราอยู่ข้างกายนักพรตน้อย นักพรตน้อยต้องการมีความสุขเพียงลำพัง อีกทั้งยังรังเกียจกลิ่นเหล้าบนตัวอีกฝ่าย จึงหันตัวหนี ชายฉกรรจ์ก็หันตัวตามไปด้วย นักพรตน้อยเป็นเพื่อนบ้านกับเขามานานหลายปี จึงรู้ดีว่ายามที่ผู้ฝึกกระบี่เบื่อหน่ายนั้นสามารถเบื่อได้ถึงขั้นไหน ดังนั้นจึงปล่อยเขาไป

ชายฉกรรจ์ยื่นมือมาชี้ประโยคหนึ่งบนหน้าหนังสือ “บัณฑิตในหนังสือเล่มนี้พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ‘ภูเขาเขียวน้ำใส ปราณวิญญาณฟ้าดินควบคู่หญิงงาม บุรุษอย่างข้ามาที่โลกมนุษย์แห่งนี้ ก็เพียงแค่ทำเรื่องเหยียบย่ำขุนเขาสายน้ำ รังแกคนงามเท่านั้น’ ประโยคนี้พูดได้ดียิ่งนัก สามารถวงเอาไว้แล้วเอามาท่องจำได้เลย”

นักพรตน้อยเคยชินกับความปากมากของชายฉกรรจ์ผู้นี้แล้ว จึงเอาแต่พลิกเปิดหน้าหนังสือของตัวเองไป ชายฉกรรจ์เองก็ไม่สนว่านักพรตน้อยจะอ่านถึงหน้าไหนหรือจะเปิดหน้าเท่าไร เอาแต่พร่ำพูดอยู่กับตัวเองเท่านั้น

อ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบ ชายฉกรรจ์ก็ถอนหายใจ “น่าเบื่อ ไม่มีกลิ่นอายคาวโลกีย์แม้แต่น้อย”

นักพรตน้อยวางตำราในมือลง แล้วหยิบเล่มใหม่ขึ้นมา คือนิยายในยุทธภพที่จอมยุทธเดินไต่ผนังข้ามกำแพงในค่ำคืนที่แสงจันทร์มืดมิดสายลมเย็นฉ่ำ ชายฉกรรจ์อ่านไปเจอจุดที่สนุกสนานตระการตาก็จะดื่มเหล้าเพิ่มมากขึ้น เพียงแต่ว่าสายตาจ้องเป๋งไปที่หน้าหนังสือตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้พลาดไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว คอยจุ๊ปากชื่นชมไปด้วย “ไม่เสียแรงที่เป็นท่านเทพเทวาน้อยในตำราที่ท่านเทพเทวาผู้เฒ่านอกตำราหมายตา ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธคนอื่นใช้เวลาทั้งชีวิตก็มิอาจศึกษาวิชาล้ำโลกได้อย่างกระจ่างแจ้ง พอมาอยู่ในมือเขา แค่คืนเดียวก็เรียนเป็นแล้ว ช่างน่าอิจฉาจริงๆ น่าเสียดายที่คาถาบทนี้เขียนผ่านๆ ไปอย่างคลุมเครือ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องลองทำตามดูแล้ว…”

“เห็นไหม ข้าพูดถูกแล้วไหมล่ะ เจ้าเฒ่าสกปรกประเภทนี้ ยิ่งชอบพูดจาประหลาดบ้าๆ บอๆ เท่าไรก็ยิ่งเป็นยอดฝีมือล้ำโลกที่อำพรางตัวตนได้อย่างลึกล้ำเท่านั้น เป็นอย่างไร? เหมือนอย่างที่ข้าพูดเลยไหมล่ะ ผู้เฒ่าถูกใจท่านเทพเทวาน้อยของพวกเราคนนี้จริงๆ ด้วย โอ้โห ผลงานการประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่! ใช้กำลังภายในระยะเวลาหกสิบปีซึ่งเป็นพละกำลังตลอดชีวิตของตัวมาเองมากรอกเทใส่ ไม่เพียงแต่ช่วยให้จุดลมปราณเริ่นตูเอ้อร์ม่ายทะลุปรุโปร่ง ยังสามารถช่วยชำระล้างไขกระดูกได้อีกด้วย เจ้าตัวดี นี่หากหวนคืนสู่ยุทธภพอีกครั้งจะไม่ไร้ศัตรูทัดทานเลยหรือ?”

หนังสือเพิ่งถูกเปิดอ่านไปแค่ครึ่งเล่ม นักพรตน้อยก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นไร้เทียมทาน ต่อให้มีพลังภายในหกสิบปีที่หล่นลงมาจากฟ้านี้ บวกกับอีกยี่สิบปีที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ก็ยังมีกำลังภายในแค่แปดสิบปีเท่านั้น ก่อนหน้านี้มีปมเงื่อนที่ถูกผูกเอาไว้ อาศัยการเอ่ยเตือนจากคนที่ผ่านทางมาในหนังสือ พญามารที่ก่อลมคาวฝนเลือดอยู่ในยุทธภพผู้นั้นฝึกบำเพ็ญตนจนมีกำลังภายในร้อยปีแล้ว กำลังภายในบริสุทธิ์อย่างมาก ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ยังเอาชนะไม่ได้หรอก”

ชายฉกรรจ์นวดคลึงปลายคาง รู้สึกว่ามีเหตุผล “ถ้าอย่างนั้นก็ยังขาดศาสตราวุธเทพที่ตัดเหล็กเหมือนดินโคลนไปน่ะสิ แต่ก็ไม่น่าจะได้มาครองเร็วเกินไปนัก เพราะถึงอย่างไรก็เพิ่งจะดำเนินเรื่องมาได้แค่ครึ่งเล่มเอง”

นักพรตน้อยพลิกหน้าต่อไปช้าๆ เห็นด้วยกับชายฉกรรจ์อย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก “จะรีบร้อนไปไย ต้องได้มีอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็สู้ไม่ได้หรอก”

ชายฉกรรจ์กระดกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึกใหญ่ “คนรักเก่าที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จอมยุทธหญิงฝ่ายธรรมะที่เจอกันในยุทธภพโดยบังเอิญ สาวงามฝ่ายมารที่ทั้งรักทั้งแค้น จะขาดไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว!”

คนที่เขียนหนังสือเล่มนี้คงหวังแค่ว่าจะหาเงินมาซื้อฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ หาเงินมาซื้อหมึกและกระดาษ น่าจะคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่หนังสือตีพิมพ์แล้วจะมีคนสองคนนี้มาอ่านหนังสือของตัวเอง

อีกทั้งทั้งสองฝ่ายยังอ่านหนังสืออย่าง ‘ตื้นเขิน’ เช่นนี้ แต่กลับพอะจะมีความชื่นชอบที่แท้จริงอยู่หลายส่วน

ต้องรู้ว่าท่านหนึ่งคือเทียนจวินลัทธิเต๋าซึ่งชื่อของอาจารย์เขาเป็นที่ต้องห้ามในใต้หล้า สิ่งที่เขาแสวงหาคือการเลียนแบบเจินเหรินยุคดึกดำบรรพ์ที่อุปถัมภ์ฟ้าดิน ควบคุมหยินหยาง เคลื่อนภูเขาย้ายมหาสมุทร สกัดดึงจิงชี่ อยู่ร่วมกับฟ้าดิน

อีกท่านหนึ่งคือเซียนกระบี่ใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เคยเข้าร่วมศึกสิบสามในครั้งนั้น ชั่วชีวิตนี้เขาไม่เพียงแต่คบหากับเหล่าผู้กล้าวีรบุรุษ สตรีคนรู้ใจยังเป็นเซียนกระบี่หญิงท่านหนึ่ง

เพียงแต่ว่านักพรตน้อยที่ทั้งสำนักและชาติตระกูลล้วนโดดเด่นเลื่องชื่อได้ออกจากบ้านเกิดอย่างใต้หล้ามืดสลัวมาฝึกประสบการณ์ที่นี่เพื่อขัดเกลาจิตแห่งมรรคา

และชายฉกรรจ์คนนี้ก็คือนักโทษอาญาในกลุ่มนักโทษอาญา ได้แต่คอยเฝ้าประตูใหญ่ด้านหลังคนทั้งสองปีแล้วปีเล่า

นักพรตน้อยปิดหนังสือ ชายฉกรรจ์ร้อนใจขึ้นมาโดยพลัน “ทำไมล่ะ?”

นักพรตน้อยเอ่ย “ชะลอให้ช้าสักหน่อย หนังสือเล่มนี้ไม่เลว อ่านช้าๆ หน่อย”

ในหนังสือมีภาพเหตุการณ์หนึ่ง ไม่เขียนบนภูเขา ไม่เขียนเทพเซียน เขียนแค่คนในยุทธภพ มีอยู่แค่ไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้นักพรตน้อยที่ไม่เคยออกท่องยุทธภพอย่างแท้จริงรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพวาด

ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ ไอน้ำลอยตัวไอหมอกถือกำเนิด บรรยากาศม่านฟ้าขมุกขมัว ใจกลางทะเลสาบมีเรือหลากสีล่องลอย วีรบุรุษผู้กล้ายืนอยู่บนหัวเรือ ไร้ไม้พายทว่าเรือแล่นผ่าลำน้ำ ค่อยๆ จอดลงเมื่อใกล้ศาลา ระหว่างทางมีเสียงต้นกกถูกแหวกดังสวบสาบ คนชุดขาวในศาลา ต้มสุรารอคอย นัดหมายมาดื่มจนเมามายแล้วค่อยตัดสินเป็นตาย

ชายฉกรรจ์ทอดถอนใจ ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ถามชวนคุยว่า “เจียงเต้าจวิน สรุปแล้วใต้หล้ามืดสลัวเป็นสถานที่แบบใดกันแน่?”

นักพรตน้อยตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “กฎเกณฑ์และขนบธรรมเนียมประเพณีมีอยู่ไม่น้อย ไม่ค่อยต่างจากใต้หล้าไพศาลเท่าไรกระมัง”

ชายฉกรรจ์ถาม “เต๋าเหล่าเอ้อร์ยังหาหลิงกวนทั้งห้าร้อยองค์เจอไม่ครบอีกหรือ?”

นักพรตน้อยไม่รู้สึกว่านี่จะเป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์อะไร “คาดว่ายังเร็วเกินไป เปลี่ยนเปลือกหอยประกอบพิธีกรรม (เป็นการแปลตรงตัวมาจากประโยค 螺蛳壳里做道场 ซึ่งสามารถแปลได้อีกอย่างว่าการทำเรื่องที่ซับซ้อน ทำพิธีการใหญ่โตในสถานที่คับแคบ) ต่อไป ไม่ใช่เรื่องง่าย”

ชายฉกรรจ์สอดสองมือหนุนหัวต่างหมอน เปลี่ยนท่านอนให้สบายขึ้นด้วยการยกเท้าข้างหนึ่งตั้งชัน อีกข้างยกขึ้นไขว่ห้าง “ยุ่งกันมากทั้งนั้นเลยนะ”

นักพรตน้อยยิ้มกล่าว “มีแต่ข้ากับเจ้านี่แหละที่ไม่ยุ่ง”

ชายฉกรรจ์มองไปทางดวงจันทร์ดวงนั้น “คนที่ต้องอดตาหลับขับตานอนอย่างพวกเราก็ยุ่งมากเหมือนกันนะ”

อาเหลียงเคยทิ้งวลีติดปากคำหนึ่งไว้ให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกตนที่อดนอนไม่เป็น ย่อมฝึกบำเพ็ญมหามรรคาอะไรไม่ได้

ส่วนจะอดนอนอย่างไร?

ก็คือต้องหลอมลมปราณหลอมกระบี่อย่างยากลำบาก เป็นพื้นฐาน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!