เป็นเพราะสำนักใบถงดวงซวยแปดชาติจริงๆ จะโทษที่คนอื่นรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของพวกเขาไม่ได้
อันดับแรกก็เป็นตู้เม่าบรรพจารย์ขอบเขตบินทะยานที่อยู่ดีๆ ก็ตายไป ไม่เพียงแต่ตายไป ยังลากเอาถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งให้พังภินท์ไปด้วย เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสหลังจากตู้เม่าตายไปล้วนไม่อาจเก็บไว้ที่สำนักของตัวเองได้ บวกกับที่การออกกระบี่ของเซียนกระบี่จั่วโย่วผู้นั้นรัดกุมเกินไป ผลกระทบลึกล้ำยาวไกลเกินไป ทำร้ายไปถึงจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนแทบทุกคนในสำนักใบถง ต่างกันแค่ว่าตื้นลึกเท่านั้น ภายหลังก็มีเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกที่จัดงานเลี้ยงบนทะเลเมฆอย่างกำเริบเสิบสาน งานเลี้ยงนั้นจัดขึ้นที่ริมอาณาเขตพื้นที่อิทธิพลของสำนักใบถง หากเปลี่ยนมาเป็นในอดีตตอนที่บรรพจารย์ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์อย่างตู้เม่ายังอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้ตู้เม่าลงมือด้วยตัวเอง เจียงซ่างเจินก็คงถูกคนไล่ฟันจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว
จากนั้นก็เป็นบรรพจารย์ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งที่ทรยศออกจากสำนัก โดยเอาสมบัติล้ำค่าของสำนักไปสวามิภักดิ์กับสำนักกุยหยก สุดท้ายก็ไปเลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างในแจกันสมบัติทวีปพร้อมกับเจียงซ่างเจิน ร่วมกันบุกเบิกที่ดิน เพียงแต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่มีข่าวของคนผู้นี้แล้ว ว่ากันว่าเขาปิดด่านไปแล้ว
เหวยอิ๋งพลันเอ่ยว่า “หวงถิงที่พูดถึงก่อนหน้านี้ อันที่จริงตามความเห็นของข้า โชควาสนาของนางค่อนข้างจะน่าเสียดาย ต้องถูกกักขังอยู่ในทวีปแห่งหนึ่ง หากผู้ฝึกกระบี่ของสำนักใบถงมีความคิดจิตใจของกบใต้บ่อน้อยลงหน่อย ยินดีจะไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้มากหน่อย ต่อให้ใบถงทวีปถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเป็นดั่งอุตรกุรุทวีป ก็ควรจะรวบรวมวาสนาของเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว หากคำพูดของข้าใช้ได้ผล นับจากวันนี้เป็นต้นไปก็จะให้ผู้ฝึกกระบี่เดินทางไปที่ภูเขาห้อยหัว ภูเขาลึกน้ำค้างย่อมลงแรง ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาบนร่างย่อมต้องเปื้อนน้ำค้างกลับมาไม่มากก็น้อย โชควาสนาบนวิถีกระบี่ของใบถงทวีปในแต่ละปีถูกสะสมทีละเล็กทีละน้อยเหมือนมดย้ายรัง กำลังทรัพย์ก็ย่อมอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาได้เอง แน่นอนว่าผู้ฝึกกระบี่ที่ออกไปหาประสบการณ์เหล่านี้จะต้องถูกปิดหูปิดตาเอาไว้ เพราะมีเพียงแค่คนที่จิตใจซื่อสัตย์เท่านั้นถึงจะทำงานใหญ่สำเร็จได้”
เหวยอิ๋งกล่าวอย่างระอาใจ “หากนางอยู่ที่สำนักกุยหยก ข้าก็ยินดีจะช่วยนางหวงถิงช่วงชิงบนวิถีกระบี่”
เจียงเหิงไม่รู้ว่าเรื่องโชควานาที่เหวยอิ๋งพูดถึงเป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเอง หรือเป็นความลับสวรรค์ที่เจ้าสำนักสวินยวนเปิดเผยแก่เขากันแน่ แต่เจียงเหิงย่อมไม่คิดจะสอบถาม รู้เรื่องนี้แล้ว ไยยังต้องถามให้มากความ
ส่วนเรื่องที่สตรีที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดคนนั้นมาอยู่สำนักกุยหยกได้อย่างไร แล้วเหตุใดเหวยอิ๋งถึงได้มองนางสูงกว่าคนอื่น เจียงเหิงล้วนไม่สนใจ
สุดท้ายเหวยอิ๋งพูดเนิบช้าว่า “เมื่อโชคร้ายถึงที่สุด โชคดีย่อมมาเยือน ดวงจันทร์เต็มดวงย่อมกลายเป็นจันทร์เสี้ยว จะไม่ตรวจสอบไม่ได้”
เจียงเหิงมองไปยังทิศไกล ยิ้มพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าเป็นคนที่กินดื่มอยู่เฉยๆ รอความตาย กิจการใหญ่พันปีล้วนให้พี่อิ๋งเป็นคนคิด”
“ม้าแก่ริมชายแดน ปลดบังเหียนแล้วอยากนอนหลับ ไม่มีเรี่ยวแรงจะเอาชนะในการรบ”
เหวยอิ๋งหัวเราะ ทอดสายตามองไปไกลเท่าที่การมองเห็นของตนจะเอื้ออำนวย “ช่างเป็นกลิ่นอายของความเซื่องซึมเหงาหงอย พันหลุมหมื่นสุสานที่ดีจริงๆ”
ได้ยินถ้อยคำประหลาดพวกนี้ เจียงเหิงก็แค่จดจำไว้ตามจิตใต้สำนึกเท่านั้น
ความคิดของเจียงเหิงล่องลอยไปไกล ในอดีตเขาเคยเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัว กุ้ยฮูหยินของเกาะกุ้ยฮวา กระบี่ที่พุ่งมาจากชั้นเมฆเหนือนครมังกรเฒ่า สวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัว…
การเดินทางไกลครั้งนั้น เดิมทีเจียงเหิงคิดอยากจะครอบครองเรือข้ามทวีปลำแรกของใบถงทวีป ถือว่าช่วยบุกเบิกเส้นทางการเงินสายใหม่ให้กับสกุลเจียง เงินไม่มาก แต่กลับมีกำไร ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะทำให้บุรุษที่ดูเหมือนมีเมฆหมอกบดบังตลอดเวลาผู้นั้นหันมามองบุตรชายอย่างตนเต็มๆ ตาสักครั้ง
ผลกลับกลายเป็นว่าทุกเรื่องล้วนไม่ราบรื่น ไม่เพียงแต่เรื่องลับครั้งนี้ที่ทำไม่สำเร็จ พอไปถึงภูเขาห้อยหัว ย้อนกลับมาที่สำนักกุยหยกได้ไม่นานเท่าไรก็มีข่าวลือที่ชวนให้สะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุดนั้นแพร่ออกมา เขาเจียงเหิงก็แค่ออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งหนึ่ง เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านก็มีน้องชายโผล่มาคนหนึ่งแล้วอย่างนั้นหรือ?
วันนี้เจียงเหิงทะยานลมออกจากยอดเขาจิ่วอี้กลับไปที่เรือนพักของตัวเอง ยังคงเป็นบ้านหลังเก่าที่ท่านแม่เคยพักอาศัย
เจียงเหิงนั่งอยู่บนธรณีประตูของห้องแห่งหนึ่ง หันหน้าไปมองด้านในที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนแล้วพูดเสียงสะอื้น “ท่านแม่ ท่านพ่อโกหกท่าน ตอนนั้นท่านพ่อยังอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา จะไปแอบมองท่านได้อย่างไร สรุปแล้วท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่…”
สุดท้ายเจียงเหิงเงยหน้าขึ้น พึมพำว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดขนาดนั้น จะไม่รู้ได้อย่างไร ท่านเป็นแบบนี้มาตลอดชีวิต ในใจห่วงใยแต่เจ้าคนสารเลวที่ใจจืดใจดำผู้นั้น ท่านแม่ ท่านรอข้าก่อนเถอะ สักวันหนึ่งข้าจะต้องให้เขาเอ่ยปากขอโทษท่านด้วยตัวเอง จะต้องทำได้แน่นอน นับแต่วันนั้นไปข้าก็จะไม่ใช่เจียงเหิงอะไรอีกแล้ว จะเป็นเจียงเป่ยไห่…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุด แต่ก็ทำให้เจียงเหิงหวาดกลัวลึกเข้าไปถึงกระดูกดังขึ้นในจุดที่ห่างไปไม่ไกล “ลูกชายคนดี พูดแบบนี้กับพ่อของตัวเองได้อย่างไร ไม่กตัญญูเลยนะ จะต้องตาย”
ร่างเจียงเหิงขึงเกร็ง หันหน้ากลับไปมองบุรุษที่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าผู้นั้นด้วยท่าทางแข็งทื่อ
บุรุษผู้นั้นทอดถอนใจติดๆ กัน “กว่าจะได้กลับบ้านมาสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย กลับต้องมาถูกลูกชายของตัวเองตำหนิยาวเหยียด โชคดีที่ข้าใจจืดใจดำ จิตใจอำมหิตไร้ปราณี ไม่อย่างนั้นจิตแห่งมรรคาคงระเบิดแตก ขอบเขตถดถอยไปหลายขั้นแล้วเป็นแน่”
เจียงเหิงลุกขึ้นยืนร่างกายโงนเงน ใบหน้าซีดขาวเหมือนขี้เถ้ามอด
คนผู้นั้นมองเจียงเหิงอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าจะโง่ไปหน่อย เพราะถึงอย่างไรความโง่นี้ก็ได้แม่เจ้ามา แต่จะดีจะชั่วก็ยังถือว่าเป็นคน นี่ก็เหมือนนางอีกเหมือนกัน อันที่จริงถือเป็นเรื่องดี คนโง่ก็มีโชคของคนโง่ ดีมาก แต่ว่ากฎบ้านยังต้องมี วันนี้ข้าจะไม่ถือสาเจ้า เจ้าเติบใหญ่ขนาดนี้ ข้าที่เป็นพ่อไม่เคยสั่งสอนอบรมอะไรเจ้า แล้วก็ไม่เคยด่าอะไรเจ้า วันหน้าเจ้าต้องจดจำประโยคหนึ่งให้ขึ้นใจ บิดาไม่เมตตาลูกต้องกตัญญู จากนั้นก็พยายามให้พี่น้องอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ไม่ว่าใครก็ห้ามทำให้ข้าเหนื่อยใจ”
เจียงเหิงที่ในสมองเหลวเป็นแป้งเปียกได้แต่พยักหน้ารับอย่างทึ่มทื่อ
เจียงซ่างเจินหมุนตัวเดินจากไป จุ๊ปากพูดว่า “เหตุใดถึงได้ให้กำเนิดลูกกระต่ายหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเจ้าได้นะ มองนานหน่อยก็ให้รู้สึกย่ำแย่แล้ว เจ้านี่ช่างผิดต่อพ่อแม่ซะจริง วันหน้าหากได้พบเจอข้าอีกต้องก้มหน้าพูดนะ”
เจียงเหิงถึงได้กล้ายกมือเช็ดทั้งน้ำตาและเหงื่อที่ท่วมเต็มใบหน้า ไปเดินวนหน้าประตูผีมารอบหนึ่งก็ เวลานี้จึงรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก
คำพูดพวกนี้ของบุรุษในวันนี้อาจถูกคนนอกที่ได้ยินเข้ารู้สึกสงสารสภาพการณ์ของเขาเจียงเหิง แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเทียบกับถ้อยคำที่บุรุษเอ่ยในอดีต นี่ถือว่าเป็นถ้อยคำที่ไพเราะแล้ว
หลังจากที่เจียงซ่างเจินออกมาจากเรือนหลังนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ศาลบรรพจารย์ภูเขาเสินจ้วน ต้องการน้อมต้อนรับเจ้าสำนักผู้เฒ่าที่ออกจากด่าน เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานได้สำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหรือฐานะ อันที่จริงเหวยอิ๋งก็ควรจะมีตำแหน่งที่นั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์ อีกทั้งที่นั่งจะต้องไม่มีทางค่อนไปข้างหลังอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่ายอดเขาจิ่วอี้พิเศษเกินไป กลับกลายเป็นว่าไม่มีที่นั่งของเขา
กฎตายตัวที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่มีเหตุผลให้พูดถึง และตระกูลเซียนอักษรจง กฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษก็มักจะใหญ่กว่าผืนฟ้าอยู่เสมอ
เดินเข้าประตูมา เจียงซ่างเจินที่ถูกเจียงเหิงทำลายอารมณ์ดีๆ ไปเล็กน้อยพลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน เขาล่ะชอบสีหน้าเหมือนคนกินขี้แล้วยังต้องบอกว่าขี้อร่อยของเจ้าตะพาบเฒ่าพวกนี้จริงๆ
เห็นผู้ฝึกตนหญิงที่นั่งติดประตูใหญ่ที่ยังรักษาความงามเอาไว้ได้ รูปร่างก็ไม่แย่เลยแม้แต่น้อย เจียงซ่างเจินก็รีบขยับเข้าไปใกล้ ยิ้มเอ่ยกับอีกฝ่ายทันที “ศิษย์พี่หญิงหลิว ตรงนี้ลมแรงจะตายไป ระวังจะโดนลมเย็นเข้าล่ะ ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ดูท่านสิผอมลงแล้ว ข้าเจ็บปวดใจนัก ไม่มีเนื้อกินจะได้อย่างไร หากไม่มีเงินจริงๆ ก็มาหาข้าสิ อย่านั่งอยู่ตรงนี้เลย ไปๆๆ ที่นั่งของข้าอยู่ค่อนไปทางด้านหน้า เจ้าก็มานั่งบนตักข้าเถอะ”
สตรีผู้นั้นจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาเยียบเย็น
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจ บนใบหน้าเขียนคำว่าถูกทำร้ายจิตใจเอาไว้ แล้วก็เดินจากไป
ทุกคนที่มีเก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์ล้วนรู้ดีว่า ใต้หล้านี้คนที่ต้องการถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจียงซ่างเจินที่สุดต้องมีนางเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าเจ้าของเก้าอี้ส่วนใหญ่ก็รู้สึกไม่ต่างจากนางสักเท่าไร
น่าเสียดายที่เจียงซ่างเจินยังคงมีชีวิตอยู่อย่างดี ทุกวันคล้ายคนที่แบกบ่อขี้วิ่งพล่านไปทั่ว ตัวเขาเองอารมณ์ดี แต่คนอื่นกลับขยะแขยงนี่นา
หลังจากที่เจียงซ่างเจินนั่งลงแล้วก็ทิ้งตัวนั่งพังพาบอยู่อย่างนั้น พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด “อยู่บ้านสบายที่สุดจริงๆ ด้วย นั่งยองในห้องส้วมก็ยังเป็นตัวของตัวเองมากกว่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!