เขาขี่กระบี่จากไป ก่อนจะจากไปได้พูดกับนางว่า “สำนักใบถงของพวกเรามีความหวัง ข้าเชื่อในตัวพวกเจ้า พวกเจ้าเองก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง”
ข้างลำคลองจึงเหลือเพียงหญิงสาวคนเดียว
รอกระทั่งเงาร่างของเจ้าสำนักจากไปไกลแล้ว คาดว่าน่าจะไปถึงภูเขาบรรพบุรุษแล้ว นางถึงได้นั่งลงริมตลิ่งแล้วเริ่มเหม่อลอย
ไม่รู้ว่าเซียนกระบี่ที่ไร้เหตุผลที่สุดในใต้หล้าคนนั้น พอไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วจะไปใช้เหตุผลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างไร
นางโยนหินก้อนหนึ่งลงแม่น้ำ ในใจแอบด่าคนผู้นั้นไปหนึ่งประโยค
……
นครมังกรเฒ่า แจกันสมบัติทวีป
จวนอ๋องเจ้าเมือง
ซ่งจี๋ซิน หรือควรจะเรียกว่าซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองตามแผนผังวงศ์ตระกูลซ่งราชวงศ์ต้าหลี วันนี้เขาหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง จึงหลบความวุ่นวายมาเอนตัวนอนบนม้านั่งยาวในระเบียง
สามลัทธิเก้าสาขา พวกบุคคลจากสถานที่ต่างๆ รุงรังวุ่นวายอะไรพวกนั้น ล้วนคิดจนหัวแทบแตกหวังจะมุดเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องเจ้าเมืองแห่งนี้
ยิ่งนานวันซ่งจี๋ซินก็ยิ่งรู้สึกว่าข้างกายของตนขาดบุคคลที่สามารถเรียกใช้งานได้อย่างสบายใจ อีกทั้งยังทำงานได้เก่ง
ขอแค่หัวสมองดี ขอบเขตสูงพอ ซ่งจี๋ซินก็ไม่ถือสาชาติกำเนิดของอีกฝ่าย
แต่เงื่อนไขก็คือต้องเป็นคนที่เขาซ่งจี๋ซินเลือกเอง
ไม่อย่างนั้นหากเป็นคนที่มาจากการบอกเป็นนัยของตระกูลฝู จากคำพูดมีนัยของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน หรือแม้แต่คนจากภูเขาตะวันเที่ยงและสกุลสวี่นครลมเย็น การกระทำและคำพูดของพวกเขาก็ล้วนทำให้ซ่งจี๋ซินหงุดหงิดได้ทั้งสิ้น
ประเด็นสำคัญคือคนมากมายที่มีคุณสมบัติจะเดินเข้ามาในจวน ซ่งจี๋ซินล้วนไม่อาจเพิกเฉยได้
เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกว่าเจอคนพูดภาษาคน เจอผีพูดภาษาผีเป็นเรื่องยากตรงไหน ตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกว่ายากอยู่เหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าตนเหนื่อยจริงๆ
สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นี่ก็เป็นเพราะต่อให้ซ่งจี๋ซินจะเป็นอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลีมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าตนเป็นอ๋องเจ้าเมืองที่พื้นที่ศักดินาของตนคืออาณาบริเวณครึ่งทวีปอย่างแท้จริง
ต่อให้ผู้ฝึกตนเฒ่าหรือแม้แต่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนจะปฏิบัติตนกับเขาอย่างมีมารยาท กระทั่งพวกแม่ทัพบู๊ที่กุมอำนาจอย่างแท้จริงของต้าหลี หรือลูกหลานแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นทั้งหลายที่เดินทางลงใต้มาเยือนนครมังกรเฒ่า ยามที่พูดคุยกับตนก็ยังต้องกะเกณฑ์คำพูดและน้ำเสียงของตัวเองให้ดี
แต่ซ่งจี๋ซินก็ยังไม่คุ้นชิน
ราวกับกำลังฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
แต่เรื่องที่ทำให้ลึกๆ ในใจของซ่งจี๋ซินไม่สบอารมณ์เป็นที่สุดคือเรื่องที่มองดูเหมือนว่าเล็กอย่างยิ่ง
จื้อกุยสาวใช้ข้างกายที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันมานานหลายปี ดูเหมือนว่าจะยิ่งอยู่ห่างไกลจากเขาไปทุกที
ยิ่งนานวันซ่งจี๋ซินก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจนาง
ในความเป็นจริงแล้วจื้อกุยไม่ได้มีคำพูดการกระทำ หรือแม้กระทั่งสายตาที่ไม่สมเหตุสมผลใดๆ
แต่ซ่งจี๋ซินกลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดของจวนอ๋องและจวนตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่า
ซ่งจี๋ซินไม่อยากถามนาง อยากให้นางเป็นคนบอกตนด้วยตัวเอง
คนหนึ่งไม่คิดถาม คนหนึ่งไม่คิดบอก
ซ่งจี๋ซินเอนตัวนอนอยู่บนม้านั่งยาว ตั้งใจว่าจะไม่คิดอะไรทั้งนั้น ขอนอนสักพัก อย่างน้อยที่สุดก็ได้หลับสักงีบ เขาพึมพำกับตัวเองว่า “คงไม่ใช่แค่สนิทสนมกันแต่ภายนอกกระมัง ไม่ใช่หรอกน่า”
ซ่งจี๋ซินพลันลุกพรวดขึ้นนั่ง ขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่
เพราะข้างกายมีบุรุษสวมชุดขาวคนหนึ่งมานั่งอยู่
เสด็จอาซ่งจ่างจิ้ง
หรือควรเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ!
ซ่งจ่างจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แค่นี้ก็รู้สึกว่าลำบากแล้วรึ?”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้า “ไม่ว่าเรื่องใดก็ถ่วงเวลาล่าช้าไม่ได้ ไม่รับประกันว่าจะทำได้ดีสักเท่าไร แต่หากเป็นข้อผิดพลาดใหญ่ๆ ก็ย่อมไม่มีอย่างแน่นอน เสด็จอาวางพระทัยได้ หากมีคำตำหนิ ข้าจะตั้งใจรับฟัง มีความผิดก็พร้อมแก้ไข”
ซ่งจ่างจิ้งหัวเราะเสียงหยัน “หากด่าเจ้าแล้วมีประโยชน์ ข้าก็คงด่าจนกว่าเจ้าจะตายไปนั่นแหละ”
ซ่งจี๋ซินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออก และเขาก็เริ่มหายใจไม่คล่องแล้ว
แต่ในความเป็นจริงแล้วซ่งจ่างจิ้งไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่พูดแรงๆ ประโยคเดียวเท่านั้น
ซ่งจ่างจิ้งเอ่ย “วันหน้าหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่จะมาทำธุระอยู่ที่นี่”
ซ่งจี๋ซินสีหน้ามืดทะมึน
เจ้าลูกพันธ์ผสมตรอกซิ่งฮวาที่ตั้งแต่เด็กก็ชอบแกล้งทำตัวเป็นคนโง่ผู้นั้น!
น้อยครั้งนักที่ซ่งจี๋ซินจะชิงชังใครได้ขนาดนี้
ซ่งจ่างจิ้งลุกขึ้นเตรียมจากไป เขามองซ่งจี๋ซินแวบหนึ่ง “ข้าสามารถรับปากเจ้าเรื่องหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่นยามที่เจ้าคิดจะฆ่าหม่าขู่เสวียนก็แค่บอกข้าสักคำ แต่เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ข้อเรียกร้องมากมายอย่างอื่น ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะตอบตกลง ยกตัวอย่างเช่นสังหารฮ่องเต้เพื่อให้เจ้าได้นั่งบัลลังก์มังกร ส่วนข้อที่ว่าจะเอาโอกาสนี้ไปใช้กับหม่าขู่เสวียนอย่างเปล่าประโยชน์หรือไม่ เจ้าก็ช่างน้ำหนักเอาเอง”
ซ่งจี๋ซินลุกขึ้นตาม “จดจำไว้แล้ว”
หอเติงหลงริมทะเลนอกนครมังกรเฒ่า ทุกวันนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไปแล้ว
เป็นคำสั่งห้ามที่อ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ออกคำสั่งด้วยตัวเอง
คนที่สามารถไปชมทัศนียภาพที่นั่นได้มีเพียงหยิบมือเท่านั้น หากเป็นผู้ฝึกลมปราณก็ต้องเริ่มต้นที่ขอบเขตก่อกำเนิด
คนที่ไปเยือนที่นั่นบ่อยที่สุด กลับกลายเป็นสาวใช้คนหนึ่งของจวนอ๋องเจ้าเมือง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!