กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 632

หลิ่วซัวสนิทกับหวังอี้ฝู่มาก ขนาดเป็นเสี้ยนเหว่ยที่มีอำนาจบารมีแปดทิศแล้ว แต่กลับยังยินดีที่จะออกไปตากแดดตากลมที่คลองส่งน้ำกับนายท่านของตน แล้วก็ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเหมือนกัน ช่างมีน้ำใจนัก

ดังนั้นหลิ่วซัวจึงยังชอบเรียกชายฉกรรจ์ผู้นี้ว่าหวังเสี้ยนเหว่ย

หวังอี้ฝู่ไม่ได้พูดอะไร

หลิ่วซัวที่เป็นเด็กรับใช้ของหลิ่วชิงเฟิงมาโดยตลอด แรกเริ่มสุดก็ติดตามหลิ่วชิงเฟิงออกมาจากสวนสิงโต ออกทัศนาจรไปทั่วทิศ จากนั้นก็เข้าเมืองไปสอบ ภายหลังจึงไปอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอ

ตอนนี้ก็ยังอยู่ในวัยของเด็กหนุ่ม เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มกลับไม่อ่อนเยาว์ถึงเพียงนั้นอีกแล้ว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกวันนี้เด็กหนุ่มดีใจมก แต่วันหน้าอาจต้องรู้สึกเสียใจ

เพียงแต่ว่าเรื่องที่ทำให้เขาเสียใจในตอนนี้ก็คือนายท่านของตัวเอง อายุยังไม่มาก ยังไม่ทันถึงสี่สิบปี แต่จอนผมสองข้างกลับมีสีขาวแซมแล้ว

ที่ยิ่งทำให้หลิ่วซัวเสียใจก็คือสภาพของนายท่านในทุกวันนี้ไม่เหมือนบัณฑิตที่สวมชุดเขียวผู้สง่างามในปีนั้นเลยแม้แต่น้อย

ท่ามกลางม่านสนธยา รถม้ามาถึงจุดพักม้าแห่งหนึ่ง ยื่นส่งเอกสารผ่านด่านและเอกสารราชการแล้ว คนทั้งสามก็หยุดพักค้างแรมกันที่นี่ เสมียนของจุดพักม้ามองไม่ออกจริงๆ ว่าบุรุษแซ่หลิ่วคนนั้นคือขุนนาง กลับเป็นองค์รักษ์ที่ทำหน้าที่เป็นสารถีซึ่งพูดน้อยเงียบขรึมของเขาเสียอีกที่ดูเหมือนขุนนางมากกว่า

เพราะรู้สึกว่าตำแหน่งขุนนางของหลิ่วชิงเฟิงไม่เล็กไม่ใหญ่ จึงจัดห้องพักให้คนทั้งสามไว้สองห้อง ไม่ดีและไม่เลว

หลิ่วชิงเฟิงกินอาหารเย็นแล้วก็เริ่มจุดตะเกียงอ่านตำรา ทั้งยังเอาหมึกและพู่กันออกมา

หวังอี้ฝู่นั่งอยู่ด้านข้าง ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์หลิ่ว ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้เพียงแค่เพื่ออ่านหนังสือแล้วไม่ทำร้ายสายตา เจ้าก็น่าจะลองฝึกตนดูนะ เงินเทพเซียนน้อยนิดแค่นี้ไม่จำเป็นต้องช่วยประหยัดให้ต้าหลีหรอก เพราะถึงอย่างไรราชสำนักต้าหลีก็มีแต่จะได้กำไรมากขึ้น”

หลิ่วชิงเฟิงวางตำราลง ส่ายหน้าเอ่ย “ช่างเถิด พรสวรรค์ด้านการฝึกตนของตัวเองเป็นอย่างไร ตัวข้ารู้ดี”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันนี้หวังอี้ฝู่พูดเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่หลิ่วชิงเฟิงก็ยังปฏิเสธ หวังอี้ฝู่จึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความอีก

หลิ่วชิงเฟิงพลิกเปิดหน้าหนังสือแล้วก็ข่มใจไม่อ่านต่อไปอย่างที่หาได้ยาก เขาปิดตำรา ยื่นมือปาดไปบนหน้าหนังสือเบาๆ “ดื่มเหล้ากันหน่อยไหม?”

หวังอี้ฝู่รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะพูดเรื่องความรู้หรือเรื่องการบริหารปกครอง หวังอี้ฝู่ร้อยคนก็สู้อาจารย์หลิ่วคนเดียวไม่ได้ แต่หากว่ากันเรื่องดื่มเหล้า กลับตรงกันข้ามเลยทีเดียว”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มขื่นส่ายหน้า “ยังไม่ทันได้ดื่มเหล้าก็เริ่มด่าคนแล้วนะ”

หวังอี้ฝู่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้

คือแม่ทัพใหญ่ผู้กุมอำนาจ คือเสาค้ำยันแคว้นของราชวงศ์สกุลหลูซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปในอดีต

และช่วงแรกเริ่มสุดราชวงศ์ต้าหลีก็คือหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู!

หลิ่วซัวยกชามเหล้าเข้ามาให้ เหล้าเป็นเหล้าของพวกชาวบ้านทั่วไป ซื้อได้ไหว และรสชาติก็ไม่แย่

หลิ่วซัวช่วยรินเหล้าให้คนทั้งสอง จากนั้นก็มองนายท่านและหวังเสี้ยนเหว่ยที่นั่งนิ่งไม่ขยับ ถามอย่างสงสัยว่า “จะดื่มเหล้ากันไม่ใช่หรือขอรับ? ไม่มีกับแกล้มหรอก เว้นเสียจากว่าข้าเรียกใช้ขุนนางดูแลจุดพักม้าที่มองคนด้วยหางตาผู้นั้นได้”

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “การให้เกียรติที่แท้จริงคือการที่คนไม่มาไม่เริ่มงานเลี้ยง เจ้าไม่นั่งลง ข้ากับหวังเสี้ยนเหว่ยก็ไม่กล้าหยิบชามเหล้าหรอก”

หลิ่วซัวหัวเราะฮ่าๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้

ที่แท้ยามที่นายท่านของตนเอ่ยหยอกล้อขึ้นมาก็น่าสนใจถึงเพียงนี้

น่าเสียดายที่เกิดขึ้นน้อยครั้งเกินไปหน่อย

หลิ่วซัวดื่มเหล้าไม่เก่ง ไม่ชอบดื่มเหล้า แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเองก็ไม่กล้าดื่มมาก เพราะต้องคอยดูแลนายท่านของตัวเอง หากหวังเสี้ยนเหว่ยยุให้ดื่มมากเข้า เขาก็ควรต้องห้ามปรามสักหน่อย

โชคดีที่นายท่านดื่มช้ามาก แล้วหวังเสี้ยนเหว่ยก็ไม่ยุให้ดื่ม นี่ทำให้เด็กหนุ่มสบายใจได้มาก

พออารมณ์ดีจึงกลายเป็นว่าหลิ่วซัวดื่มเยอะเสียเอง

หวังอี้ฝู่วางถ้วยเหล้าลง “อาจารย์หลิ่ว อันที่จริงข้าใคร่รู้มาโดยตลอดว่าเจ้ามองบนภูเขาอย่างไรกันแน่”

หลิ่วชิงเฟิงจิบเหล้าหนึ่งคำ เอ่ยเนิบช้าว่า “หากเพียงแค่เรื่องมองบนภูเขาอย่างไร คงไม่มีความหมายสักเท่าไร ที่จริงแล้วเส้นแบ่งระหว่างบนภูเขากับล่างภูเขาไม่ได้ใหญ่อย่างที่พวกเราคิดไว้ ล่างภูเขา อายุสั้นตายก่อนวัยอันควร บนภูเขากลับมีอายุขัยยืนยาวยิ่งกว่า”

หวังอี้ฝู่ถาม “เวทคาถาตระกูลเซียน อาจารย์หลิ่วจะไม่พูดถึงสักหน่อยหรือ? เรื่องนี้ไม่ได้มีความต่างที่เด่นชัดยิ่งกว่าอายุขัยสั้นยาวหรืออย่างไร?”

หลิ่วชิงเฟิงส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ข้าเป็นบัณฑิต ยามเจอกับทหารบนสนามรบ ถูกฟันแค่ทีสองทีก็ตายแล้ว หวังเสี้ยนเหว่ย เจ้าว่าทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากหรือไม่?”

หวังอี้ฝู่พยักหน้ารับ “ที่แท้ในสายตาของอาจารย์หลิ่ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็แค่มีหมัดใหญ่กว่า แค่นี้เท่านั้น”

หลิ่วชิงเฟิงไม่ดื่มเหล้าอีก “คนมีเงิน คนบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายแรกที่ร่ำรวยจนตั้งตัวเป็นศัตรูกับแคว้นได้ และฝ่ายหลังที่บรรลุมรรคา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับบุญคุณยิ่งใหญ่จากโชควาสนาของฟ้าดิน มีชีวิตอย่างไร้ทุกข์ไร้กังวล เรื่องการกินอยู่ก็ยิ่งไม่ต้องกลัดกลุ้มไปอีกหลายรุ่นคน ถ้าอย่างนั้นก็ควรคิดที่จะเปิดกระเป๋าเอาเงินคืนกลับไปบ้าง มีไปมีมา น้ำเส้นเล็กไหลยาว นี่ไม่ใช่ว่าข้าต้องการให้ทุกคนเลียนแบบอริยะผู้ทรงคุณธรรม ไม่ใช่แบบนั้นเลย แต่เพราะการทำเช่นนี้ก็คือการมอบเงินน้อยออกจากประตูเพื่อต้อนรับเงินใหญ่เข้าสู่ประตู สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังได้รับกำไร ได้รับผลประโยชน์มากกว่าเดิมอยู่ดี”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยต่ออีกว่า “ความเยือกเย็นที่มีต่อคนทำลายกฎเกณฑ์ก็คือการทำร้ายที่ใหญ่หลวงที่สุดที่มีต่อคนรักษากฎเกณฑ์”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิ่วชิงเฟิงก็หันหน้ามามองเด็กหนุ่มหลิ่วซัวที่ดื่มเหล้าจนแทบจะเมามายไร้สติ แล้วยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่ากฎเกณฑ์ที่พวกเราตั้ง ต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่ดี ที่ถูกต้องเสมอไป?”

“นายท่านคิดเรื่องพวกนี้เองเถิด ข้าไม่คิดหรอก คิดแล้วก็คิดคำตอบไม่ออกอยู่ดี”

หลิ่วซัวโคลงศีรษะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “แต่นายท่านก็คิดให้น้อยลงหน่อย ไม่อย่างนั้นเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่นี้ข้าก็เหนื่อยใจตามท่านแล้ว”

หลิ่วชิงเฟิงโบกมือ กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “เจ้าดื่มเหล้าของตัวเองต่อไปเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”

หวังอี้ฝู่ยกชามเหล้าขึ้นดื่มคารวะหลิ่วชิงเฟิงหนึ่งชาม

หลิ่วชิงเฟิงเองก็ยกชามเหล้าขึ้นเช่นกัน “ข้าจะดื่มเท่าที่กำลังของตัวเองอำนวย คงไม่เกรงใจหวังเสี้ยนเหว่ยแล้ว”

ภายหลังหลิ่วซัวก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะ

ยากนักที่หวังอี้ฝู่จะได้คุยกับอาจารย์หลิ่วได้นาน อีกทั้งเป็นการคุยเรื่อยเปื่อยไม่เคร่งเครียดแบบนี้

ยามที่อาจารย์หลิ่วพูดถึงเรื่องวีรกรรมใหญ่ในสายตาของหวังอี้ฝู่ สีหน้าของเขาสงบนิ่ง เยือกเย็นอย่างถึงที่สุด มีเพียงพูดถึงเรื่องเล็กที่หวังอี้ฝู่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเท่านั้น

หลิ่วชิงเฟิงกลับดื่มเหล้าอึกใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นต้องเรียกว่าดื่มเหล้าดับทุกข์จริงๆ

“การหายไปของภาษาถิ่นในทุกหนแห่งของแจกันสมบัติทวีปทำให้คนเจ็บปวดใจ สายบุ๋นเล็กๆ จำนวนมากที่ต่อให้จะกระจัดกระจายแค่ไหน แต่ขอแค่ยังแพร่หลายอยู่ในตำราก็ถือว่ามีโอกาสที่จะได้รับการชดเชยกอบกู้ ทว่าภาษาถิ่นซึ่งเกี่ยวโยงกับขนบธรรมเนียมประเพณีมากมายเหล่านั้น หากหายไปแล้วก็คือหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วจริงๆ”

สุดท้ายหลิ่วชิงเฟิงมองเหม่อไปนอกหน้าต่าง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!