กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 632

ตอนนั้นเจียงซ่างเจินอารมณ์ดียิ่งนัก ไม่เพียงแต่เข้ามาในบ้าน ยังดื่มเหล้าร่วมกับกู้ช่าน ครั้นจึงสร้างฟ้าดินขนาดเล็กตัดขาดโลกภายนอกขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ เอ่ยประโยคที่ชวนให้ตะลึงพรึงเพริดอยู่หลายคำโดยที่ไม่เห็นกู้ช่านเป็นคนนอกแม้แต่น้อย

บอกว่าทุกวันนี้เขาเจียงซ่างเจินแม่งอึดอัดจะตายห่าอยู่แล้ว ข้างเตียงนอนมีแต่คนมาส่งเสียงกรนดังสนั่นอยู่แบบนี้

แล้วยังด่าไปถึงเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยก ด่าว่าเขาเลือกที่ตั้งสำนักได้เลอะเลือนนัก เปลี่ยนไปเป็นสถานที่แห่งอื่นที่นกไม่มาขี้ก็ยังได้ แต่ดันมาเลือกสถานที่แห่งนี้ มิใช่ว่าคิดอยากให้เขาเจียงซ่างเจินต้องนอนไม่หลับทุกคืนหรือไร

กู้ช่านแค่รับฟังเฉยๆ มือสองข้างประคองจอกเหล้า แล้วก็ไม่ได้ดื่มเหล้า

ท่าทางเช่นนี้มีความหมายเรียบง่ายมาก ก็คือเขากู้ช่านอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ก็จะเป็นแค่กู้ช่านในแบบที่เจ้าสำนักเจียงคิดว่าควรต้องเป็นอย่างไรถึงจะถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น

ส่วนตัวกู้ช่านเองเป็นอย่างไรกันแน่ คิดอย่างไร จิตใจดั้งเดิมเป็นอย่างไร ความต้องการในอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนไม่สำคัญแม้แต่น้อย

ดังนั้นเจียงซ่างเจินเพียงแค่มาเยือนครั้งเดียว ดื่มเหล้าไม่กี่จอกก็จากไป

เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นอกจากคำพูดบางอย่างของเจ้าสำนักเจินจิ้งแล้ว เขาก็ไม่เคยปิดบังอะไรต่อเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ ทว่าตอนแรกเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ยังเป็นกังวลอย่างมาก กังวลว่ากู้ช่านจะเปลี่ยนไปเป็นกู้ช่านที่เคยอยู่บนเกาะชิงเสียอีกครั้ง ไม่ใช่กู้ช่านที่เคยเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำกับท่านเฉิน

ยังดีที่กู้ช่านไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาเป็นกังวลมากนัก นอกจากงานเลี้ยงรับรอง งานเลี้ยงสุราที่มีมากมายนับไม่ถ้วนจนน่าเหลือเชื่อแล้ว ทุกปีกู้ช่านจะต้องเอาเวลาอย่างน้อยที่สุดหกเดือนพาเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋เดินทางท่องไปบนภูเขาล่างภูเขาบริเวณใกล้เคียงทะเลสาบซูเจี่ยนด้วยกัน

ท่ามกลางการเดินทางเหล่านี้ นอกจากเดินทางไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวตามขุนเขาสายน้ำแล้วก็เคยมีความขัดแย้งที่คาดไม่ถึงมากมายเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือพวกเขาได้ไปเจอโศกนาฎกรรมที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้

คราวนั้นกู้ช่านไม่ได้ไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง หรือเพียงยิ้มรับแล้วปล่อยผ่านไป การลงมือครั้งนั้นเขาใช้กระบี่ธรรมดาทั่วไปที่ปกติพกไว้ตรงเอวแค่ให้พอเป็นพิธีสังหารผู้ฝึกลมปราณสิบสองคนเพียงลำพัง ทุกคนล้วนตายคาที่ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว คนหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ต่างก็หวาดเกรงอย่างยิ่งด้วย เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้ากู้ช่านที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วยซ้ำ กลับไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ ให้เอาคืนแม้แต่น้อย

ครั้งนั้นแม้แต่เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ก็ยังรู้สึกว่าช่างสาแก่ใจ ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย

สุดท้ายกู้ช่านที่หันหลังให้คนทั้งสอง มือหนึ่งถือกระบี่ ไม่รีบร้อนสอดกระบี่กลับเข้าฝัก มือหนึ่งกำเป็นหมัดเบาๆ เคาะลงบนมือข้างที่กำกระบี่ สลัดเลือดที่ติดอยู่บนกระบี่เล่มยาวออกไป

ตอนที่กู้ช่านหมุนตัวกลับมากระบี่ก็ถูกสอดกลับเข้าฝักแล้ว เขายิ้มเอ่ยว่า ‘ไปกันเถอะ ฟ้าดินให้กำเนิดและหล่อเลี้ยง ฟ้าดินคอยเก็บศพ ไม่ต้องไปสนใจ’

ตอนนี้กิจการของกู้ช่านไม่เล็ก นอกจากเกาะชิงเสียที่หลิวจื้อเม่าเอากลับคืนมาได้แล้ว ก็ยังมีเกาะอีกหลายแห่งที่ได้รับการบันทึกให้อยู่ในนามของเขา ดังนั้นอันที่จริงกู้ช่านจึงมาที่ตรอกนี้น้อยครั้ง แต่ทุกครั้งที่กลับมาจากการออกเดินทาง หรือไม่ก็แอบปลีกตัวมาจากงานที่ยุ่ง เขาก็มักจะมาพักค้างคืนที่นี่

วันนี้ข้าวโพดมีเยอะมากพอ แม้ว่าทุกครั้งจะได้กินแค่ท่อนเล็ก แต่เด็กชายก็ยังกินจนพุงป่อง

กู้ช่านคิดเรื่องในใจเรื่องหนึ่ง

เขาตั้งใจจัดวางหมากสองตัวไว้ในภูเขาตะวันเที่ยงและสกุลสวี่นครลมเย็นโดยใช้วิธีที่อ้อมไปอ้อมมาร้อยพันตลบ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะดึงเส้นสายที่วางไว้นี้ขึ้นมาได้เมื่อใด

ในเมื่อรีบร้อนไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยให้มันเป็นไปก็แล้วกัน

เด็กชายเรอดังเอิ้ก ทิ้งตัวนั่งแปะลงบนพื้นเสียเลย มองเจ้าคนแซ่กู้ที่อยู่ด้านข้างแล้วก็ถามว่า “นอกจากข้าแล้วยังจะมีใครที่พูดง่ายยอมให้เจ้าได้กินข้าวโพดท่อนใหญ่อีก?”

กู้ช่านชำเลืองตามองเขา

เด็กชายพลันรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

แล้วกู้ช่านก็หัวเราะ ชี้ไปบนใบหน้าของเด็กชาย “เช็ดขี้มูกหน่อย”

เด็กชายรีบสูดน้ำมูกทันที ไม่จำเป็นต้องใช้หลังมือหรือชายแขนเสื้อเช็ดด้วยซ้ำ

กู้ช่านคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้ากับคนผู้นั้นคงยากที่จะกลับไปมีความสัมพันธ์เหมือนในอดีตได้แล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ข้าไม่ทำความผิดใหญ่หลวง ไม่ทำความผิดแม้แต่ครั้งเดียว เขาก็จะคิดถึงข้าไปตลอด ใต้หล้านี้มีเพื่อนสนิทกี่มากน้อยที่คิดจะเลิกคบก็เลิกคบกันไปเลย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ ข้ากับเขาในเวลานี้ไม่ไกลไม่ใกล้ กลับทำให้ข้าสบายใจได้มากกว่า”

กู้ช่านหันมามองเด็กชายที่ย่นคอนั่งอยู่บนพื้น ยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่าอย่างไร? เจ้าขี้มูกยืดน้อย?”

ไม่รู้ว่าเหตุใด เด็กชายถึงรู้สึกเพียงว่ากู้ช่านในเวลานี้ไม่เหมือนกู้ช่านที่ตนรู้จักอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าเอะอะโวยวายเหมือนเมื่อก่อนอีก ได้แต่เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ข้าอายุน้อย ไม่ว่าอะไรก็ล้วนไม่เข้าใจ ล้วนฟังเจ้าทั้งหมด”

กู้ช่านหัวเราะ “ก็ฉลาดอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับข้าแล้วยังห่างชั้นไปหน่อย”

คราวนี้เด็กชายไม่กลัวเขาแล้ว ถลึงตาใส่ทันที “ข้าฉลาดรึ? เจ้าลองไปถามไม้บรรทัดของอาจารย์ดูสิ!”

กู้ช่านอืมรับหนึ่งที แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “มีเหตุผลจริงๆ”

กู้ช่านพลันลุกขึ้นยืน พูดกับเด็กคนนั้นว่า “เจ้าไปนั่งอยู่ในห้องข้าสักพัก จำไว้ว่าอย่าหยิบจับอะไรส่งเดช”

เด็กชายไม่เข้าใจ แต่ก็ยังไปอยู่ในห้องของกู้ช่านอย่างว่าง่าย เพียงแต่ว่าเขย่งปลายเท้าชะเง้อมองจากหน้าต่าง ด้วยกังวลว่าจะเกิดเรื่องกับกู้ช่าน

ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเขาเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ

มีความฉลาดอยู่อย่างหนึ่งที่เกิดจากสัญชาตญาณแต่กำเนิด

กู้ช่านมองไปทางประตูใหญ่ ยิ้มกล่าว “ไม่ยอมเข้ามาก็ไม่เป็นไร ข้าออกจากบ้านไปพบเจ้าเองก็แล้วกัน”

บัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามา เขาปรากฏตัวด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เอ่ยแนะนำตัวเองว่า “ข้าชื่อหลิ่วชื่อเฉิง เป็นคนจากแคว้นป๋ายซาน แคว้นป๋ายซานที่อยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหูมากๆ น่ะ เดิมทีข้าเดินทางมาทัศนศึกษาที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ไปถึงนครอวิ๋นโหลวแล้ว มึนงงไปครู่หนึ่ง อยู่ดีๆ ก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว เข้าใจผิด ล้วนเป็นความเข้าใจผิดกัน ข้าไม่ใช่โจรแน่นอน แต่เป็นสุภาพชนจริงแท้ สุภาพชนประเภทที่ว่ามีคุณงามความดีติดตัวน่ะ!”

กู้ช่านหรี่ตาลง แล้วจึงกุมหมัดคารวะ “ในเมื่อไม่จำเป็นต้องให้ผู้น้อยออกไปข้างนอก ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญท่านผู้อาวุโสออกมาจากร่างเถิด”

บุคลิกของบัณฑิตพลันแปรเปลี่ยน ก้าวเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา

‘หลิ่วชื่อเฉิง’ จุ๊ปากพูด “เด็กรุ่นหลังนี่น่ากลัวจริงๆ”

กู้ช่านลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ “ขอแค่ผู้อาวุโสไม่รู้สึกว่า ‘เด็กคนนี้ไม่ควรเก็บเอาไว้’ จะอย่างไรก็ได้หมด”

หลิ่วชื่อเฉิงผู้นั้นได้ยินคำก็หัวเราะร่า “น่าสนใจๆ ยอดเยี่ยมนักๆ ใช่แล้ว เดิมทีข้ามาเอา ‘คัมภีร์สกัดคงคา’ เล่มนั้นคืน กังวลว่ามันจะเจอกับคนไม่ดี คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคู่สร้างคู่สมเช่นนี้ เจ้าเด็กน้อย ดูแล้วเจ้าอายุยังไม่มาก แต่ขอบเขตกลับสูงพอสมควร ชื่อว่าอะไรล่ะ?”

กู้ช่านมีสีหน้าปั้นยาก นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสมาเพื่อรับลูกศิษย์หรือ?”

หลิ่วชื่อเฉิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้สึกกระอักกระอ่วน ก่อนจะถอนหายใจหนึ่งที “เวลานี้เหตุการณ์นี้ช่างชวนให้ลำบากใจนัก”

กู้ช่านเอ่ย “ขอผู้อาวุโสโปรดพูดคุยกันดีๆ เถิด มีเรื่องอะไรก็ยิ่งต้องปรึกษากันให้ดีๆ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ กู้ช่านก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ จ้องเขม็งไปยัง ‘บัณฑิต’ ที่ขอบเขตต้องสูงอย่างถึงที่สุดแน่นอนตรงหน้านี้ แต่กลับไม่เหลือสีหน้าเคารพยำเกรงอีกแล้ว “ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสจะลำพองใจได้ครู่หนึ่งแล้วก็คงต้องผิดหวังแล้ว”

หลิ่วชื่อเฉิงอืมรับหนึ่งที แล้วก็พูดเลียนแบบกู้ช่านว่า “มีเหตุผลจริงๆ”

จากนั้นหลิ่วชื่อเฉิงก็ยิ้มเอ่ย “เจ้าไม่ควรอยู่ในสระน้ำเล็กๆ แห่งนี้ ควรจะไปอยู่ในนครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”

……

สถานการณ์แคว้นของราชวงศ์ต้าหลีเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วัน

ช่วงนี้อาณาเขตขุนเขากลางเก่าของต้าหลีมีฝนเม็ดเล็กพรมลงมาไม่ขาดสาย ทำให้คนรู้สึกรำคาญ

องค์เทพของอดีตห้าขุนเขาเดิมของต้าหลี ตอนนี้ถูกลดระดับขั้นให้เป็นเทพภูเขา บวกกับที่ภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือแห่งใหม่กำลังจะเลือกภูเขาอีกสามลูกให้เป็นภูเขาผู้สืบทอดของขุนเขาเหนือ นี่ก็ยิ่งทำให้เทพภูเขาบางองค์กลัดกลุ้ม

ในอดีตแจกันสมบัติทวีปไม่มีความพิถีพิถันในเรื่องนี้ ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เคยมีการกระทำที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มาก่อน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เด่นชัดนัก ถึงขั้นพูดได้ว่าสร้างหายนะไว้อย่างลึกล้ำยาวไกล เพราะการกระทำเช่นนี้ทั้งเปลืองเงินเปลืองแรง ไม่เป็นที่ชื่นชอบ ง่ายที่จะเกิดปัญหาแทรกซ้อน สร้างความยุ่งยากต่างๆ ตามมา

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะเทือกเขาใต้อาณัติเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ห่างจากขุนเขาใหญ่มาไกลอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ภูเขาที่เป็นเพื่อนบ้านกับขุนเขาใหญ่ บนภูเขามีเทพภูเขาอยู่ก่อนแล้ว เดิมทีในนามก็ถือว่าอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ต่ำเตี้ยกว่าซานจวินของขุนเขาใหญ่หนึ่งระดับ หากได้กลายเป็นภูเขาผู้สืบทอด การพันธนาการทางกฎเกณฑ์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะซานจวินสามารถมาเยือนภูเขาบ้านของตนได้อย่างรวดเร็วตามใจปรารถนา ตามหลักพิธีการที่อริยะลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ตั้ง เดิมทีในราชสำนักมีเพียงที่ว่าการของกรมพิธีการเท่านั้นที่สามารถตรวจสอบและประเมินความชอบความผิด ผลได้ผลเสียของเทพภูเขาในพื้นที่หนึ่งได้

แม้จะบอกว่าเจ้ากรมและรองเจ้ากรมพิธีการต่างก็ไม่กล้าเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรเรื่องใหญ่ของแคว้นก็หนีไม่พ้นเรื่องพิธีบวงสรวงและเรื่องของกองทัพ แต่กิจธุระน้อยใหญ่ที่เป็นรูปธรรมก็ล้วนให้หลางจงของฝ่ายงานพิธีการรับผิดชอบดูแล ที่ต้องคอยคบค้าสมาคมอยู่เป็นประจำจริงๆ แท้จริงแล้วก็คือใต้เท้าหลางจงที่ระดับขั้นไม่สูง แต่กลับกุมอำนาจที่แท้จริงนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!