ลี่ไฉ่ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมานวดคลึงมุมปากเบาๆ ใจนึกอยากจะใช้หนึ่งกระบี่ไล่ฟันคนพวกนี้ทีละคนให้รู้แล้วรู้รอดกันไป
เพียงแต่ในทะเลสาบหัวใจของนางยังคงมีเสียงของอิ่นกวานหนุ่มดังขึ้นมา เขายังคงบอกนางว่าไม่ต้องรีบร้อน
ลี่ไฉ่ถึงได้อดทนข่มกลั้นไม่ออกกระบี่
เว่ยจิ้นลืมตาขึ้นมาแล้ว
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากของนครมังกรเฒ่าสองคนที่คิดจะเคลื่อนไหวรีบอยู่นิ่งอย่างสงบทันใด
พวกเจ้าของเรือของทักษินาตยทวีปก็นับว่ายังสงบเสงี่ยมกันดี
ส่วนทางฝั่งของอุตรกุรุทวีปนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่มีท่าทีจะเข้ามาร่วมวงด้วยแม้แต่น้อย
และในเวลานี้เมื่อความฮึกเหิมกล้าหาญอันท่วมท้นเต็มห้องโถงได้ผ่านเลยไป ทุกคนถึงได้ทยอยกันสังเกตเห็นว่าคนหนุ่มที่เดิมทีควรจะร้อนใจจนนั่งไม่ติด กลับนั่งเท้าคางด้วยมือข้างเดียว เอนตัวพิงโต๊ะสี่เซียน ยิ้มมองทุกคนอยู่อย่างนั้น
อุตรกุรุทวีป แจกันสมบัติทวีป ทักษินาตยทวีป ล้วนพูดคุยกันได้ง่าย
ทวีปหนึ่งนั้นเกิดจากขนบธรรมเนียมนับแต่โบราณนำพาให้เป็นไป อีกทวีปหนึ่งไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงในการพูด ส่วนอีกทวีปหนึ่งก็เพราะอยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากเกินไป เพราะถึงอย่างไรก็มีสกุลเฉินผู้รอบรู้ อีกทั้งเฉินฉุนอันยังเพิ่งออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปเมื่อไม่นานมานี้
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ธวัลทวีป ฝูเหยาทวีป คือทวีปที่พูดคุยได้ยากที่สุด
ทวีปหนึ่งเคยชินกับการเป็นผู้บงการ ดูแคลนเหล่าผู้กล้าของอีกแปดทวีปมานานแล้ว อีกทวีปหนึ่งต่อให้ฟ้าดินจะกว้างใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใหญ่เท่าเงินเทพเซียน ทวีปสุดท้ายเพราะทำการค้ากับภูเขาห้อยหัวมาจนโชกโชน แล้วก็เป็นทวีปที่มีความสามารถในการหาเงินมากที่สุด
เกราะทองทวีป หลิวเสียทวีป ทั้งพูดง่ายแล้วก็พูดยากในคราวเดียว ต้องดูที่สถานการณ์
ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่กลายมาเป็นพูดคุยกันได้ไม่ค่อยง่ายแล้ว
สุดท้ายสายตาของเฉินผิงอันย้ายไปมองร่างของผู้ดูแลเรือข้ามทวีปสองคนของนครมังกรเฒ่าค่อนข้างนาน
เรือข้ามทวีปของแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงก็คือเรือหกลำของนครมังกรเฒ่าซึ่งได้แก่ปลาวาฬกลืนสมบัติ และเกราะลอยฟ้าที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ห้อยหัวน้อย’ ของตระกูลฝู ตระกูลซุนมีแค่เต่าทะเลภูเขาที่ถูกบรรพบุรุษของตระกูลจับมากำราบจนเชื่อง ตระกูลฟ่านก็มีเกาะกุ้ยฮวา
ผู้ดูแลสองท่านที่มาเป็นแขกในเรือนชุนฟานคืนนี้ คนหนึ่งคือผู้ดูแลปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝู อีกคนหนึ่งคือเจ้าของเรือผู้เฒ่าของเรือข้ามทวีปตระกูลติง
ไปเยือนนครมังกรเฒ่ามาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบหน้าทั้งสองคนนี้ คาดว่าต่อให้บุคคลใหญ่ของนครมังกรเฒ่าสองท่านนี้เคยได้ยินชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ มาก่อน ก็คงคิดแค่ว่าเป็นชื่อที่ซ้ำกันเท่านั้น
อิ่นกวานหนุ่มยิ้มพูดอย่างเกียจคร้านว่า “อะไรกัน อะไรกัน การค้าได้กำไรดีๆ ที่ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ กลับจะต้องอาหัวมาวางบนโต๊ะการค้าแล้วชั่งน้ำหนักให้ได้เลยหรือ? ข้าว่าไม่จำเป็นกระมัง”
ถังเฟยเฉียนหัวเราะเสียงหยัน “เมื่อครู่คนที่บอกว่าจะฆ่าจะแกง อาศัยชื่อเสียงบารมีของเซียนกระบี่มากำหนดเป็นตายของคนตามใจชอบ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่พวกเรากระมัง?”
เฉินผิงอันยังคงค้างอยู่ในท่าเดิม ยิ้มตาหยีเอ่ย “ข้าก็แค่เป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อน ได้กุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือก็เลยเหมือนคางคกขึ้นวอ ตัวเลยลอยไปหน่อยไม่ใช่หรือ”
อู๋ฉิวจิบน้ำชาของเรือนชุนฟานอึกหนึ่ง วางถ้วยชาลงเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “คนรุ่นพวกเราไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร แตกต่างจากใต้เท้าอิ่นกวานราวก้อนเมฆกับดินโคลน ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันก็พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง พวกเราหาเงินมาได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่ละคนล้วนเอาชีวิตออกไปเดิมพันกันทั้งนั้น ไม่สู้เปลี่ยนสถานที่เปลี่ยนช่วงเวลา แล้วค่อยมาคุยกันใหม่อีกครั้งดีหรือไม่? ยังคงเป็นประโยคนั้น ใต้เท้าอิ่นกวานคนหนึ่ง คำพูดคำจาย่อมมีน้ำหนักอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนเหล่าเซียนกระบี่เช่นนี้ บางทีไม่ต้องให้ใต้เท้าอิ่นกวานออกหน้าด้วยตัวเอง เปลี่ยนเป็นเจ้าประมุขเยี่ยนหรือเซียนกระบี่น่าหลันที่มาพูดคุยกับบุคคลตัวเล็กๆ อย่างพวกเราก็เพียงพอมากแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วว่า ออกจากประตูก็มีกฎของการออกจากประตู นั่งอยู่ในนี้ก็มีกฎของการนั่งอยู่ในนี้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องทุกอย่างล้วนสามารถแก้ไขได้ด้วยเงินเทพเซียน เมื่อครู่มัวแต่เอะอะโวยวายกัน พวกเจ้าก็เลยคิดน้อยเกินไป ดังนั้นข้าจะพูดให้ชัดเจนอีกหน่อย ข้ามาเยือนภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ นับตั้งแต่แรกก็คิดอยากจะเปลี่ยนเจ้าของเรือกลุ่มใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น…”
เฉินผิงอันมองไปยังผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองที่ตำแหน่งอยู่ด้านหลัง “หลิ่วเซินเจ้าของเรือ ‘หนีซาง’ ข้ายินดีจ่ายเงินฝนธัญพืชสองร้อยเหรียญ หรือไม่ก็จ่ายด้วยทรัพยากรของหอโอสถที่มีมูลค่าเท่ากัน แลกมาด้วยการที่ให้ศิษย์น้องหญิงของเทพธิดาหลิ่วเข้ามารับหน้าที่ดูแล ‘หนีซาง’ แทน ราคาไม่ยุติธรรม แต่ในเมื่อคนก็ตายไปแล้ว จะยังทำอย่างไรได้อีก? วันหน้าก็จะไม่มาหาเงินที่ภูเขาห้อยหัวแล้วหรือ? คนไม่อยู่แล้ว แต่เรือข้ามฟากยังอยู่นี่นา จะดีจะชั่วก็ได้เงินมาตั้งสองร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช ทำไมถึงเลือกเจ้าเป็นคนแรก? เหตุผลง่ายมาก เจ้าคือมะพลับนิ่ม คิดจะฆ่าขึ้นมา ทั้งภูเขาและอาจารย์ของเจ้าก็ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม”
สตรีโอสถทองผู้นั้นหน้าซีดขาวทันใด
เจียงเกาไถถามด้วยรอยยิ้มขึ้นมาทันที “ไม่ทราบว่าในสายตาของใต้เท้าอิ่นกวาน หัวของของมีมูลค่าเป็นเงินกี่เหรียญฝนธัญพืช?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าคือคนที่ต้องตายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ข้าจ่ายแม้แต่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเดียว ทางฝั่งของสกุลหลิวธวัลทวีป เซียนกระบี่เซี่ยย่อมช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้เอง ทางฝั่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ย่อมได้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่ไปพูดคุยกับโจวเสินจืออาจารย์ลุงของเขา ให้ช่วยจัดการถังเฟยเฉียนและที่พึ่งเบื้องหลังของเขา ทุกคนล้วนเป็นคนทำการค้าก็น่าจะรู้ดีว่า ขอบเขตไม่ขอบเขตอะไรนี่ ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
เฉินผิงอันเอ่ย “เซียนกระบี่เซี่ย อย่าเพิ่งออกไปเลย ให้เจ้าของเรือเจียงได้พูดอีกสักคำแล้วค่อยสังหารเขาเถอะ หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขารู้สึกว่าอิ่นกวานอย่างข้า แม้แต่เชือดไก่ให้ลิงดูก็ยังไม่กล้าทำ”
เซี่ยซงฮวาพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ
ในที่สุดก็ได้ออกกระบี่สังหารคนเสียที
เฉินผิงอันหันหน้ามามองป๋ายซีจากถ้ำซานสุ่ย “บรรพบุรุษของพวกเจ้ามีความแค้นเก่ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของข้า ความแค้นนั้นใหญ่หลวงนัก อิ่นกวานคนก่อนไม่สนใจพวกเจ้า ข้าก็จะจัดการเอง วันนี้อย่าได้คิดจะจากไปเลย จะให้เซียนกระบี่เซี่ยจื้อเดินทางอีกรอบ คุ้มกันพาเรือข้ามฟากอ่างกระเบื้องของพวกเจ้าไปส่ง กระทั่งกลับไปถึงถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีปอย่างราบรื่นปลอดภัย แล้วค่อยไปอธิบายให้บรรพจารย์ท่านนั้นฟังว่าความแค้นทั้งหมดจบสิ้นกันแล้ว วันหน้าการค้ายังคงมีดังเดิม อยากมาก็มา ไม่มาก็ยอมรับผลที่จะตามมาเอาเอง”
คราวนี้เป็นฝ่ายของฝั่งเซียนกระบี่ที่เริ่มลุกขึ้นยืนบ้างแล้ว
เซี่ยจื้อเซียนกระบี่ผู้ฝึกตนอิสระลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ไม่ได้ฆ่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลมานานหลายปีแล้ว ช่างเป็นความรู้สึกที่ทำให้คนคิดถึงยิ่งนัก”
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “วันนี้คนที่ไม่ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้มาเอะอะโวยวาย ล้วนถือเป็นแขกผู้มีเกียรติของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!