กระโจมเจี่ยเซิน มู่จีที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แต่กลับผู้นำของทุกคน
เป้ยเชี่ยลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของหลิวชา หลีเจินลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ อวี่ซื่อ จวินทาน หลิวป๋ายผู้ฝึกกระบี่หญิง
คนทั้งกลุ่มมาปรากฏตัวอยู่ทางด้านทิศใต้สุดของสนามรบที่ทั้งสองฝ่ายถามกระบี่กัน อวี่ซื่อนั่งยองอยู่บนพื้น สองนิ้วขยุ้มดินกำเล็กๆ ขึ้นมา บดขยี้เบาๆ พวกมันก็กลายเป็นผุยผง เขาปัดมือ ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ปณิธานกระบี่ของทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันถอย สลับเปลี่ยนระดับขั้นกันไปมา ไม่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้สักเท่าไร ก็เหลือแค่เรื่องดีๆ น้อยนิดเท่านี้แล้ว”
หลิวป๋ายขมวดคิ้ว “เหตุใดทั้งๆ ที่เป็นหลุมพราง แต่ก็ยังจะกระโดดลงไปให้จงได้ อีกอย่างก็ไม่ใช่แค่กระโจมเจี่ยเซินของพวกเราเท่านั้นที่รู้สึกว่าไม่เหมาะ แต่กระโจมแม่ทัพเจื่อจื่อก็ยังไม่สนใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินของฝ่ายพวกเราเข้าใจดีว่าถูกเล่นงาน มีคนรบตายไปกี่คนแล้ว? เอาแค่เมื่อวานก็เก้าคนเข้าไปแล้วกระมัง ต่อจากนี้ยังจะต้องมอบคุณความชอบทางการรบให้กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกมากเท่าไร? นี่คือการทำสงคราม มีสงครามที่ไหนที่ต่อให้ตายก็ยังต้องรักษาเกียรติ แต่กลับให้คนมีชีวิตอยู่ต้องเผชิญทุกข์! มู่จี นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เจ้ากลับมาถึงก็ไม่ยินดีจะพูดอะไรสักคำ หากว่าได้รับความไม่เป็นธรรมมาจากที่นั่นจริง ข้า หลีเจิน เป้ยเชี่ยล้วนสามารถพูดคุยกับอาจารย์ของตัวเองได้”
นางคือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของโจวมี่ ติดตามอาจารย์ที่ถูกขนานนามว่า ‘มหาสมุทรแห่งความรู้’ ท่านนั้นศึกษาอ่านตำราพิชัยสงคราม จึงเคยชินกับการคิดเล็กคิดน้อยในทุกเรื่อง เชื่อมโยงให้ทุกเรื่องร้อยเรียงต่อกันมานานแล้ว
อวี่ซื่อเองก็เอ่ยว่า “มู่จี อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียว อยู่กับพวกเรา ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้”
มู่จีกล่าว “ทางฝั่งของกระโจมเจี่ยจื่อเองก็ไม่ได้บอกสาเหตุที่เป็นรูปธรรม บอกเพียงแค่ว่าเมื่อผ่านการถามกระบี่ไปแล้ว ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายที่ต้องทำความดีลบล้างความผิดซึ่งรวมถึงหย่างจื่อ หวงหลวน จะต้องหิ้วหัวเซียนกระบี่กลับมาจากการดักฆ่าด้านหลัง โยนไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อมอบของขวัญกลับคืนให้หลังการถามกระบี่ให้จงได้”
หลิวป๋ายเอ่ยอย่างเดือดดาล “คืนของขวัญอะไร?! หรือว่าหากผู้ฝึกกระบี่เซียนดินไม่ตายกันไปอย่างเสียเปล่าก็จะหาหัวของเซียนกระบี่ที่หลบซ่อนตัวพวกนั้นออกมาไม่ได้? นี่มันคนละเรื่องกันเลย!”
มู่จีเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ก็นั่นน่ะสิ ข้าเองก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ที่นี่ จะต้องมีผู้ฝึกกระบี่ฝ่ายเรามากมายขนาดนั้นตายอยู่ที่นี่ และดูเหมือนว่าจะต้องตายสถานเดียวด้วย”
จวิ้นทานยิ้มกล่าว “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะยังทำอย่างไรได้อีก อย่างมากพวกเราก็ได้แต่เบิกตากว้างคอยมองดูอยู่อย่างนี้นั่นแหละ”
บนสนามรบที่ห่างไปไกลเบื้องหน้า
มีเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเผยร่างจริงสูงร้อยจั้งยืนอยู่บนสนามรบเพียงลำพัง มือสองข้างถือกระบี่ เงื้อกระบี่ฟันฉับลงบนพื้น
ม่านฟ้าเหนือน้ำตกค่ายกลกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พลันมีสายฟ้าสีแดงสดหลายร้อยเส้นแลบปลาบสาดพุ่งลงมา ประหนึ่งองค์เทพพิโรธจึงใช้แส้สายฟ้าในมือฟาดโบยใส่พื้นดินตามอารมณ์
เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เองก็หาวิธีรับมือ ใช้ทะเลเมฆปราณกระบี่สกัดขวางสายฟ้าเอาไว้ ป้องกันไม่ให้มันร่วงลงบนค่ายกลกระบี่แล้วพวกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางทั้งหลายจะต้องเจอกับหายนะ
มีเซียนกระบี่หญิงของฝ่ายพวกเขาคนหนึ่งที่เรือนกายแบบบาง ไม่ได้พกกระบี่ประจำกาย เพียงแต่ว่าชายแขนเสื้อใหญ่สะบัดหมุนคว้าง เหนือพื้นดินในรัศมีหลายร้อยลี้ก็มีปราณกระบี่มารวมตัวกัน แล้วกลายเป็นกระบี่บินนับพันนับร้อยเล่มที่พากันสาดยิงเข้าใส่ค่ายกลกระบี่อันโอฬารที่ราวกับร่วงลงมาจากฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เยว่ชิงเซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่บนหัวกำแพงใช้กระจอกเมฆบนฟ้าหนึ่งในกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาคุมเชิงกับอีกฝ่าย
ท่ามกลางศึกใหญ่สองครั้งอย่างกระแสธารสมบัติอาคมและการถามกระบี่ของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีผู้ฝึกตนหลายคนที่เดิมทีที่ไร้แซ่ไร้นามได้ลุกผงาดขึ้นมาเพราะโชคชะตานำพา
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งที่เดิมทีไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต พอปล่อยกระบี่ออกไป เดิมทีได้แค่เป็นตัวช่วยเสริมให้ค่ายกลกระบี่ของฝ่ายตัวเองครบจำนวนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ากลับได้รับปณิธานกระบี่บรรพกาลสองเส้นจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งระดับขั้นยังสูงมากอีกด้วย เด็กหนุ่มถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้ใช้สิ่งนี้มาเลื่อนขั้นสู่อันดับร้อยเซียนกระบี่ ทรัพยากรจำนวนมากจะถูกทุ่มลงมาบนร่างเขา ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงใต้หล้าไพศาลอาจกลายเป็นเมล็ดพันธ์วิถีกระบี่ที่มีความหวังว่าจะเปิดสำนักตั้งพรรคก็เป็นได้
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง เดิมทีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาถือเป็นซี่โครงไก่ แต่กลับได้สร้างคุณความชอบทางการสู้รบที่น่าเหลือเชื่อ เมื่อเซียนกระบี่สองท่านของฝ่ายศัตรูทยอยกันออกกระบี่อย่างเต็มกำลังสองครั้ง เขาไม่เพียงแต่ช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่เซียนดินสองคนเอาไว้ได้ ยังทำให้วิชาอภินิหารกระบี่บินของเซียนกระบี่ฝ่ายตรงข้ามไปกระแทกชนลงบนค่ายกลกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างน่าประหลาดใจ ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้รับความเสียหายติดต่อกันถึงสองคนในชั่วพริบตา กระบี่บินของพวกผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าเซียนดินลงมาก็ยิ่งได้รับความเสียหายสาหัสกันไปแถบใหญ่ จำต้องถอนตัวออกจากสนามรบโดยตรง
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองท่านนี้ได้รับคำสั่งให้ถอยออกจากสนามรบทันที หลังจากนั้นก็ถูกผู้อาวุโสขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่งร่ายเวทอำพรางตาไว้ให้ แล้วกลับลงไปในสนามรบใหม่อีกหลายครั้งเพื่อรับมือกับการโจมตีเต็มกำลังจากเซียนกระบี่ใหญ่ฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะ
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกกระบี่โอสถทองท่านหนึ่งถึงสามารถคาดเดาการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ได้ นอกจากกระโจมเจี่ยจื่อที่รู้ความจริงแล้ว พวกกระโจมทัพทั้งหลายอย่างกระโจมเจี่ยเซินล้วนไม่มีสิทธิ์ถามมากเกินความจำเป็น
นอกจากนี้คู่รักผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคู่หนึ่งก็ได้ทยอยกันเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนท่ามกลางศึกใหญ่
หากไม่มี ‘ดาวประดับที่แสงสว่างเจิดจ้า’ เหล่านี้ การถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่จากใต้หล้าเปลี่ยวร้างในครั้งนี้ก็คือเรื่องตลกดีๆ นั่นเอง
เพราะความเร็วในการเกิดความเสียหายของผู้ฝึกกระบี่จากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่กระโจมทัพทั้งหลายอนุมานกันเอาไว้ กลับช้าว่าที่คาดการณ์อยู่มาก
มู่จีเอ่ย “ทำสงคราม สิ่งที่เอามาต่อสู้กันก็มีแค่คนกับเงินเท่านั้น ความเสียหายของผู้ฝึกกระบี่ฝั่งตรงข้ามน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็แค่น้อย ใช่ว่าจะไม่มีคนตายเสียเลย ต่อจากนี้ก็ต้องดูกันที่ด้านเงินเทพเซียนแล้ว อันที่จริงนี่เป็นกุญแจสำคัญยิ่งกว่าผู้ฝึกกระบี่เสียอีก ทุกวันนี้ปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่ขาดๆ หายๆ ส่วนใหญ่เริ่มเกิดลางว่าจะแห้งขอดแล้ว ปราณวิญญาณบนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขุ่นคลั่กขนาดนี้ ทั้งสองฝ่ายก็อย่าหวังว่าจะดูดดึงเอามาได้ แต่พวกเรากลับอาศัยวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโสสองท่านชักนำเอาปราณวิญญาณสองขุมจากตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้มารวมตัวกัน ยิ่งใหญ่เหมือนมหานที และพวกมันก็กำลังพากันไหลซัดกรากมาที่นี่อย่างต่อเนื่อง ทว่าเบื้องหลังกำแพงแห่งนั้นมีอาณาเขตใหญ่แค่ไหนกันเชียว จะสามารถสั่งสมปราณวิญญาณได้มากน้อยแค่ไหน? ยิ่งสงครามล่วงเลยไปเรื่อยๆ จะสามารถประคับประคองให้เซียนกระบี่ได้ลงมืออย่างเต็มกำลังสักกี่ครั้ง? เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระโจมทัพอี่อู้ได้คำนวณอย่างแม่นยำมาไว้ก่อนนานแล้ว ขอแค่ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ก็แค่ตายช้าหน่อย และถึงเวลานั้นก็มีแต่จะยิ่งตายเร็วมาก ตายเยอะมาก”
อวี่ซื่อยิ้มกล่าว “ยังมีความเป็นไปได้สูงด้วยว่าจะทรมานตัวเองจนตาย ตายไปอย่างเงียบเชียบ ต่อให้เรียกกระบี่บินออกมาก็ยังเก็บเอาไปไม่ได้”
หลิวป๋ายพูดเสียงหนัก “แต่เงื่อนไขคือต้องไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน! กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องไม่มีต้นกำเนิดปราณวิญญาณนอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้! ทว่านับตั้งแต่ทำสงครามครั้งนี้มา เรื่องไม่คาดฝันสำหรับพวกเรามีน้อยนักหรือ?!”
มู่จีพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ลองคำนวณกันดูคร่าวๆ เรือข้ามฟากแปดทวีปของใต้หล้าไพศาล ไม่ต้องพูดถึงของอุตรกุรุทวีปที่มีความเป็นไปได้ว่าจะควักเอาทรัพยากรครึ่งหนึ่งของทวีปตัวเองออกมา โชคดีที่เรื่องแบบนี้ก็มีแค่อุตรกุรุทวีปเท่านั้นที่ทำได้ ใบถงทวีปไม่มีเรือข้ามฟาก อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดก็คือทักษินาตยทวีปกับหรดีฝูเหยาทวีป เรือข้ามฟากของฝูเหยาทวีปมีถ้ำซานสุ่ยเป็นผู้นำ พวกเขามีความแค้นในอดีตต่อกัน ย่อมไม่มีทางพูดคุยกันด้วยดีเป็นแน่ ตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังช่วยพวกเราอยู่ด้วยก็ได้ ส่วนนาตยทวีปก็ไม่ค่อยกล้าทำตัวพูดง่ายสักเท่าไร ต่อให้พวกเจ้าของเรือเสียสติยินดีจะช่วยเหลือกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างสุดกำลังความสามารถ ก็ยังต้องดูว่าภูเขาสำนักของพวกเขายอมตอบตกลงหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!