กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 638

(ผู่กงอิงหรือดอกแดนดิไลออน ดอกไม้แห่งความสุขและความหวัง)

การที่เฉินผิงอันกล้าปรากฏตัว นอกจากข้างกายมีลู่จือหนึ่งในสิบเซียนกระบี่ใหญ่อันดับสูงสุดแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ยืนอยู่ด้วยแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังเป็นเพราะเฉินฉุนอันจะมาที่นี่ด้วย

สมมติว่าเป็นการเข่นฆ่าในขอบเขตที่ไม่ค่อยต่างกันเท่าไร เซียนกระบี่เชี่ยวชาญการสังหารคน แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะถนัดช่วยเหลือคน

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง การลอบโจมตีครั้งนั้น หมี่อวี้ขัดขวางเลี่ยจี่ผู้ฝึกกระบี่ที่มีขอบเขตและตบะเท่ากันอย่างสุดกำลังความสามารถแล้ว แต่หมี่อวี้ก็ยังช้าไปเสี้ยวหนึ่ง

แต่เมื่อมีเฉินฉุนอันอยู่ด้วยก็ต้องปลอดภัยหายห่วงอย่างแน่นอน

หลังจากที่เฉินฉุนอันเอ่ยไปแล้วก็ไม่ให้โอกาสปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนั้นได้พูดจาไร้สาระอีกแม้แต่นิดเดียว ฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยน

จิตวิญญาณของเฉินผิงอันสะท้านไหว ร่างทั้งร่างคล้ายมีกายธรรมที่ใหญ่จนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ปรากฏขึ้นมา แล้วจึงพลัน ‘บินทะยาน’ ไปถึงจุดที่สูงที่สุดของม่านฟ้า มากพอจะหลุบตาลงต่ำแล้วมองเห็นทั่วทั้งอาณาเขตของใต้หล้าไพศาลได้ เพียงแต่ไม่รอให้เฉินผิงอันได้มอง เวลาเพียงชั่วพริบตากายธรรมใหญ่ยักษ์กลับถูกบีบให้หดตัวเป็นดวงจิตเมล็ดงาที่เล็กยิ่งกว่าฝุ่นผง ไม่เพียงแต่หวนกลับคืนมายังฟ้าดิน ยังผลุบหายเข้าไปในพื้นที่ที่เล็กอย่างถึงที่สุดบนเส้นลายมือ

รอกระทั่งเฉินผิงอันคืนสติได้อย่างสมบูรณ์ หันกลับไปมอง ในมหาสมุทรความคิดก็มีคาถาบทหนึ่งลอยขึ้นมา ‘เต๋านั้นช่างเลื่อนลอย เหมือนมีเหมือนไม่มี ลึกล้ำยาวไกล สอดผสานกับความว่างเปล่า ช่างเลื่อนลอยว่างเปล่า’

ที่แท้ด้านหลังของเฉินผิงอันก็มีลูกกลมๆ ขนาดมโหฬารลอยตัวอยู่ เป็นสีขาวหิมะใสกระจ่าง ส่องแสงเรืองรอง พอจะมองเห็นตำหนัก หอเก๋ง ศาลาได้อย่างเลือนราง และยังมีต้นกุ้ยฮวาขนาดใหญ่ ที่แท้นั่นก็คือกุ้ยฮวาที่ปลูกอยู่ในดวงจันทร์

เปรียบเทียบร่างของเฉินผิงอันกับสิ่งที่อยู่ด้านหลังเขาแล้ว ขนาดของทั้งสองฝ่ายก็คงเหมือนเมล็ดข้าวที่อยู่ในถ้วยขาว

เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา มองออกไปไกล จุดที่สายตามองเห็นมีเพียงดวงตะวันกลมโตลอยอยู่กลางอากาศ ใหญ่โตมโหฬารอย่างยิ่ง เป็นสีเหลืองทองตลอดทั้งร่าง แล้วก็ไม่มีวัตถุอย่างอื่นอีก

ดวงอาทิตย์ดวงนี้แผ่เส้นแสงสีทองออกมาอย่างต่อเนื่อง การเกิดและการดับแปรปรวนไม่มีขั้นตอนแน่นอน ความเร็วสูงอย่างถึงที่สุด

แล้วก็มีจุดสีดำหนึ่งจุด กับรอยเปื้อนสีดำหนึ่งรอยที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง

มีเส้นแสงเล็กละเอียดสีขาวหิมะเป็นเส้นๆ พุ่งวาบผ่านไปมา และมันก็สามารถสะบั้นเส้นแสงสีทองเหล่านั้นให้ขาดคาที่ได้

น่าจะเป็นการจับคู่เข่นฆ่าระหว่างลู่จือกับปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ‘เปียนจิ้ง’ ผู้นั้นกระมัง

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ คิดว่าจะนั่งขัดสมาธิปล่อยจิตวิญญาณให้จมจ่อมอยู่ภายใน จากนั้นก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ตนยังไม่ได้ตั้งชื่อออกมา ใช้ฟ้าดินขนาดเล็กมาคุมเชิงกับฟ้าดินขนาดเล็ก อาศัยสิ่งนี้มาสัมผัสกับการโคจรของมหามรรคาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ให้มากขึ้น

คิดไม่ถึงว่าจะมีฝ่ามือของคนผู้หนึ่งกดลงมาบนไหล่ เขายิ้มเอ่ยว่า “ความรู้จำพวกนี้ หากสัมผัสเร็วเกินไปกลับจะกลายเป็นไม่ดี ไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะแอบเรียนรู้เอาไป เพียงแต่เพราะมรรคาของวิชาอภินิหารจากหนึ่งในกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้า ไม่ใกล้เคียงกับวิชานี้ของข้า”

เฉินผิงอันจึงล้มเลิกความคิด หันกลับมาประสานมือคารวะผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อท่านนั้นอย่างนอบน้อม

เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ ยิ้มเอ่ย “ข้าจะถือเสียว่าเป็นเด็กรุ่นหลังของลัทธิขงจื๊อคารวะผู้อาวุโส ไม่ใช่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งมาถามความรู้กับสายหย่าเซิ่งเช่นข้า จึงไม่คารวะกลับคืนเจ้าแล้ว”

หลังจากเฉินผิงอันยืดตัวขึ้นแล้วก็กล่าวอย่างเขินอายว่า “ได้แต่กล้าขอความรู้ มิกล้าถามความรู้”

เฉินฉุนอันโบกมือ “ในเมื่อเจ้าและข้าต่างก็แซ่เฉิน ก็เท่ากับว่ามีต้นกำเนิดเดียวกันเพียงแต่แยกย้ายกันไปคนละสาย แซ่เป็นเช่นนี้ สายวิชาความรู้ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องต้นข่ายในถ้ำสวรรค์หลีจู สกุลเฉินอิ่งอินแห่งนาตยทวีปก็ติดค้างน้ำใจเจ้า ดังนั้นข้าถึงได้ดึงเจ้าให้มาชมศึกอยู่ไกลๆ สามารถทำความเข้าใจกับมาดของเซียนกระบี่ได้กี่ส่วนก็ล้วนถือเป็นความสามารถของเจ้า ข้าไม่ป้องกันเฉินผิงอันแห่งเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี แต่ต้องป้องกันซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้น รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่เขาสั่งสอนออกมา ‘จริงดังที่คาด’ เลยใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ่งรู้สึกละอายใจ

เฉินฉุนอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งดึงเอาหมี่อวี้เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่อยู่นอกฟ้าดินเข้ามาในฟ้าดินแห่งนี้

จากนั้นเฉินฉุนอันก็เอ่ยเตือนว่า “เห็นไม่ชัด? ไม่สู้เจ้าลองท่องจุดประสงค์วิชาความรู้ของอาจารย์เจ้าดู ไม่แน่ว่าการมองเห็นอาจจะชัดเจนขึ้นหลายส่วน”

เฉินผิงอันจึงเริ่มท่องอยู่ในใจ

อยู่กับผู้อาวุโสบางคน ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากเกินความจำเป็นเลยด้วยซ้ำ

จิตใจมีสมาธิไม่วอกแวก โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็นั่งขัดสมาธิลงแล้ว มือสองข้างกำเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า

นั่งลงสัมผัสปณิธานแห่งโบราณกาลอันยิ่งใหญ่ ห่างไปไกลดวงอาทิตย์ขึ้นดวงจันทร์ลาลับ

เฉินฉุนอันนั่งตัวตรงอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า ได้ยินความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าที่ตัวเองถูกใจก็คลี่ยิ้มบางๆ

อย่าว่าแต่ฟังเสียงในหัวใจของเฉินผิงอันเลย เฉินฉุนอันอยากได้ยินอะไรก็ได้ยิน ต่อให้เป็นความคิดของเฉินผิงอัน ขอแค่เฉินฉุนอันอยากจะดึงออกมามองก็สามารถมองเห็นได้ตามใจปรารถนา

หลังจากนั้นเซี่ยซงฮวาและเส้าอวิ๋นเหยียนที่ได้รับกระบี่บินส่งข่าวก็ขี่กระบี่พุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ แหวกผ่าทะเลที่มีคลื่นน้ำนับไม่ถ้วนจนมาพบเรือข้ามฟาก ‘อ่างกระเบื้อง’ ของถ้ำซานสุ่ย จากนั้นก็ทยอยกันถูกเฉินฉุนอัน ‘เชิญเข้ามา’ ในฟ้าดินของตะวันจันทรา

เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบสามคนที่ทยอยกันมาถึงต่างก็ไม่มีความคิดจะออกกระบี่ ตอนนี้ต่างคนต่างยืนกันคนละฝั่งเพื่อช่วยคุมหลังให้ลู่จือ

หมี่อวี้ค่อนข้างจะรักษากฎ เขาจ้องสนามรบเขม็ง ที่ไม่ช่วยก็เพื่อไม่ให้ช่วยจนเสียเรื่อง ขอแค่ลู่จือไม่ตกเป็นรอง ตีให้ตายเขาก็จะไม่ยอมลงมือเด็ดขาด

เส้าอวิ๋นเหยียนที่มาถึงเป็นคนที่สองไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าของเรือนชุนฟาน ถึงกับใช้แก่นตะวันวิญญาณจันทราที่มีเปี่ยมล้นอยู่ในฟ้าดินมาหลอมกระบี่ของตนทันที

เซี่ยซงฮวาที่เข้ามาในฟ้าดินตะวันจันทราเป็นคนสุดท้าย เมื่อเทียบกับหมี่อวี้และเส้าอวิ๋นเหยียนแล้ว เห็นได้ชัดว่านางผ่อนคลายสบายอารมณ์มากกว่า พอเข้ามาก็ชำเลืองตามองสนามรบ รู้สึกว่าไม่ต้องให้ตนช่วยเหลือก็เริ่มขี่กระบี่เตร็ดเตร่ไปรอบๆ

เห็นเพียงน้อยนิดก็อนุมานไปได้ไกล นี่ก็คือนิสัยของเซียนกระบี่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หมี่อวี้มองดูเหมือนเป็นคนเอ้อระเหยลอยชาย แต่ความเป็นจริงแล้วกลับเป็นคนที่ยึดถืออยู่ในกรอบมากที่สุด เส้าอวิ๋นเหยียนเชี่ยวชาญการคิดคำนวณ เน้นย้ำในเรื่องชื่อเสียงเกียรติยศมากที่สุด ส่วนเซี่ยซงฮวานั้นมีนิสัยที่อิสระเสรีมากที่สุด

เฉินฉุนอันเอ่ย “น้ำลดหินผุดแล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนั้นสูญเสียร่างจริง เรือนกายของเปียนจิ้งผู้นี้ถูกนำมาเป็นที่พักพิงของจิตหยางกายนอกกาย วิธีการที่ใช้จิตหยินซ่อนอำพรางอยู่ร่างในเปียนจิ้งของปีศาจใหญ่เป็นเวทอภินิหารลับเฉพาะอย่างหนึ่ง ดังนั้นถึงได้กล้าไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่คนผู้นี้ไม่ไปยืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง แม้แต่เฉินชิงตูก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึง เจ้าค้นพบได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ข้าเดิมพันติดต่อกันสามครั้ง ก่อนหน้านี้เดิมพันว่าควรจะออกจากคฤหาสน์หลบร้อนติดตามเรือข้ามฟากบางลำออกมาจากภูเขาห้อยหัวดีหรือไม่ แล้วค่อยเดิมพันว่าท่ามกลางเรือข้ามฟากเหล่านั้น สรุปแล้วเป็นเรือลำใดที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด สุดท้ายเดิมพันว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจะรู้สึกว่าข้ากำลังเล่นเป็นเด็กๆ หรือไม่ จะยินดีเดินทางออกมาจากทักษนิยาตยทวีปโดยไม่สนความเหนื่อยยากหรือไม่ หากท่านอาจารย์ผู้เฒ่าไม่มา ต่อให้ข้าเดิมพันถูกสองครั้ง แต่ก็ยังถือว่ามาเสียเที่ยวอยู่ดี”

เฉินฉุนอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ลองเล่าอย่างละเอียดทีสิ ไม่ต้องคิดว่าเมื่อเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘เดิมพัน’ แล้วก็จะรู้สึกไม่ดีที่จะเปิดปาก ความรู้บนโลกใบนี้ พูดได้ดีพูดได้ถูกคือความยากอย่างแรก แต่สามารถทำให้คนนอกเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย เห็นแล้วรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม คิดแล้วลงมือปฏิบัติได้ กลับยากยิ่งกว่ายาก”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!