เฉินผิงอันเล่าเรื่องการสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะให้ผู้ฝึกตนสายอิ่นกวานฟัง หลักการเหตุผลในเรื่องนี้พวกผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายล้วนเข้าใจดี เพียงแต่เฉินผิงอันก็ยังยกตัวอย่างข้อหนึ่งที่ทำให้แม้แต่เซียนกระบี่อย่างโฉวเหมียวก็ยังต้องขบคิด
ลู่เฉินเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงใต้หล้ามืดสลัวเคยเดินทางไปเยือนบ้านเกิดของใต้เท้าอิ่นกวาน อำพรางตัวตนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ตั้งแผงดูดวงอยู่ที่นั่นนานถึงสิบกว่าปี
เพราะถูกมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลสยบเอาไว้จึงมีขอบเขตอยู่ที่บินทะยานมาโดยตลอด
หวังซินสุ่ยบ่นใต้เท้าอิ่นกวานเล็กน้อยว่าเรื่องราวที่น่าตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ ไยจึงไม่รีบเล่าให้ฟัง? หากเล่าให้ฟังเร็วกว่านี้ ความเคารพเลื่อมใสที่เขามีต่อใต้เท้าอิ่นกวาน ป่านนี้ก็คงถึงขอบเขตบินทะยานแล้ว ไหนเลยจะยังอยู่ที่คอขวดก่อกำเนิดเฉกเช่นตอนนี้
ในบรรดาภูเขาลูกเล็กใหม่ล่าสุดของคนหกคนที่โน้มเอียงเข้าหาอิ่นกวานหนุ่มมากที่สุด ขอบเขตของกวอจู๋จิ่วสูงสุด สูงจนมิอาจปีนป่ายได้ถึง ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติที่จะวิพากษ์วิจารณ์ทุกคนโดยอิงจากสติปัญญาและผลสำเร็จของคนผู้นั้น คำพูดที่เป็นธรรมบางอย่างของกู้เจี้ยนหลง แม้แต่กวอจู๋จิ่วก็ยังรู้สึกเหมือนได้บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ทำให้คนประหลาดใจ ดังนั้นขอบเขตจึงไม่ต่ำ เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนเหรินแล้ว เป็นรองแค่นางคนเดียวเท่านั้น เพราะเรื่องของการเล่นหมากล้อม เสวียนเซินจึงมีท่าไม้ตาย ก็เหมือนลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ที่ได้เคล็ดวิชาลับล้ำโลกมาครอง จึงตรงดิ่งขึ้นสู่ห้าขอบเขตบน กลายเป็นขอบเขตหยกดิบ มีความหวังบนมหามรรคา เฉากุ่นขึ้นเขาลูกนี้มาเรียนวิชานี้สายเกินไป อีกทั้งยังไม่ขยันขันแข็ง จึงมีขอบเขตแค่โอสถทอง หวังซินสุ่ยคือคอขวดก่อกำเนิด ส่วนเซียนกระบี่หมี่อวี้ผู้นั้นคุณสมบัติแย่เกินไป ไม่มีความจริงใจ จึงยังไม่ใช่แม้แต่เซียนดิน
วันนี้เฉินผิงอันออกไปเดินเล่นอีกครั้ง กวอจู๋จิ่วทำงานในมือเสร็จก็ขยับตำแหน่งของตุ๊กตาหิมะน้อยบนโต๊ะ ตบหัวของมันเบาๆ จากนั้นก็สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กวิ่งตะบึงออกไป
การจับจ้องและการตรวจสอบที่มาจาก ‘กวอจู๋จิ่วน้อย’ ที่นางตั้งชื่อให้ หากตุ๊กตาหิมะน้อยมองใคร ก็แสดงว่ากำลังให้กำลังใจอย่างห่วงใย กิ่งไม้ไผ่ในมือของตุ๊กตาหิมะน้อยชี้ไปที่ใคร ก็คือการควบคุมและเร่งรัด ใครกล้าไม่ตั้งใจทำงาน กิ่งไม้ไผ่ก็จะเป็นกระบี่บิน ระวังจะรักษาหัวสุนัขเอาไว้ไม่ได้
วันนี้อาจารย์ยังคงเดินช้าอยู่เหมือนเดิม กวอจู๋จิ่ววิ่งไม่กี่ก้าวก็ตามมาทันแล้ว
กวอจู๋จิ่วถาม “อาจารย์ เหตุใดช่วงนี้เวลาท่านเดินถึงได้ช้าขนาดนี้? กำลังฝึกตนอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใช่แล้ว กำลังฝึกจิตใจ”
กวอจู๋จิ่วเดินหมุนรอบกายเขารอบหนึ่ง หันหน้าเข้าหาอาจารย์อยู่ตลอดเวลา “วิชาที่ยิ่งใหญ่เชื่อมตรงถึงนภานี้ ศิษย์คงไม่ต้องเรียนกระมัง? เรียนแล้วก็คงทำไม่ได้อยู่ดีกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่ว่าใครก็ล้วนทำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเรียน”
แม่นางน้อยทั้งดีใจแล้วก็ทั้งกลัดกลุ้ม
เฉินผิงอันหยิบยันต์มหานทีไหลสะพัดกับยันต์ขยุ้มดินอย่างละแผ่นออกมาเมื่อเดินมาถึงมุมเงียบสงบแห่งหนึ่ง “อาจารย์จะวาดแผนที่ของใต้หล้าไพศาลให้เจ้าดู”
ทุกครั้งที่บนผืนดินมีทวีปแห่งหนึ่งผุดขึ้นมา เขาก็จะอธิบายถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของที่แห่งนั้นคร่าวๆ บ้างก็เป็นสิ่งที่เคยเห็นมากับตา บ้างก็มีบันทึกไว้ในตำรา บ้างก็ฟังจากคนอื่นพูดมา
อาคเนย์ใบถงทวีปที่มีอารามกวานเต๋าแห่งหนึ่ง บุรพแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของอาจารย์ อุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มาฝึกสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ธวัลทวีปสถานที่ผลิตเงินเกล็ดหิมะของใต้หล้า พายัพหลิวเสียทวีปที่ลัทธิพุทธรุ่งเรืองที่สุด ประจิมเกราะทองทวีปที่มีซากปรักสนามรบโบราณอยู่แห่งหนึ่ง หรดีฝูเหยาทวีปที่ตอนนี้เกิดความวุ่นวายไม่หยุด และทักษินาตยทวีปที่อยู่ของสกุลเฉินผู้รอบรู้
บ้านเกิดของหลินจวินปี้ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
กวอจู๋จิ่วนั่งอยู่ในระเบียงมองแผนที่นั้นแล้วทอดถอนใจเอ่ยว่า “เฮ้อ ฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยม ไยจึงไม่ใช่ฟ้ากลมแผ่นดินกลมนะ แบบนั้นเวลาคิดจะไปท่องเที่ยวที่ทวีปเกราะทองจากแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดของอาจารย์ก็จะใกล้มากขึ้น ไหนเลยจำต้องอ้อมไปไกลขนาดนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพราะใต้หล้าทุกแห่ง รวมไปถึงถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลทุกแห่งล้วนเป็นอาณาเขตแห่งใหม่หลังผ่านการปริแตก หากหาเจอทั้งหมด บวกกับใต้หล้าแห่งที่ห้าที่เหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อเพิ่งค้นพบใหม่ในทุกวันนี้ เมื่อเอามาประกบเข้าด้วยกัน บางทีก็อาจเป็นทัศนียภาพที่ว่าท้องฟ้ากลมกว้างใหญ่ พื้นดินกลมเล็กกว่า เหมือนวงกลมที่ครอบวงกลม ดวงจันทร์ในดวงจันทร์อย่างไรล่ะ”
ระหว่างที่เดินทางไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย เสี่ยวเป่าผิงก็เคยถามเช่นนี้ เพียงแต่ว่าคนที่ตอบคำถามนี้ในเวลานั้นคือชุยตงซานที่แทบไม่มีเรื่องใดที่ไม่รู้
จากนั้นชุยตงซานก็หยิบถ้วยใส่น้ำใบหนึ่งออกมา กับกิ่งไม้สีเขียวมรกตที่เพิ่งเด็ดออกมาจากต้น รวมไปถึงหินก้อนหนึ่งที่หยิบมาจากข้างทาง ชุยตงซานแสร้งทำท่าลึกลับ ถามทุกคนว่ามีความคิดอย่างไรต่อฟ้าดิน
น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าวหุงสุกพอดี กลิ่นหอมของปลาย่างก็ลอยอบอวล จึงไม่มีใครสนใจเขา
ชุยตงซานโยนก้อนหินทิ้ง สอดกิ่งไม้นั้นไว้หลังคอเสื้อ รินน้ำในถ้วยทิ้ง แล้วขอข้าวจากเฉินผิงอันหนึ่งถ้วย
เฉินผิงอันบอกว่าจะต้องไปหาผังหยวนจี้ที่ไม่รู้ว่าไปนั่งเหม่ออยู่ที่ไหน กวอจู๋จิ่วจึงกระโดดลุกขึ้นยืน ตะโกนคำหนึ่งว่ารับทราบ แล้ววิ่งตะบึงจากไป
กวอจู๋จิ่วกลับมาถึงห้องโถงใหญ่ บรรยากาศยังคงอึมครึมเคร่งเครียดอยู่เล็กน้อย
ตอนที่อาจารย์อยู่ ยังนับว่าดี
แต่ขอแค่อาจารย์ไม่อยู่ บรรยากาศกลับยิ่งทำให้คนหายใจไม่คล่องคอ
กวอจู๋จิ่วปลดหีบไม้ไผ่วางลงข้างเท้า
หลังจากที่เรื่องนั้นเกิดขึ้นแล้ว หลินจวินปี้ก็สอบถามใต้เท้าอิ่นกวานว่าสามารถบอกเรื่องที่เปียนจิ้งปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานถูกฆ่าตายนอกภูเขาห้อยหัวให้ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทราบได้หรือไม่
ไม่อย่างนั้นหากนานวันเข้า จิตใจของคนที่เหมือนกระแสน้ำซัดโหม หากวันหนึ่งน้ำทะลักพังทำนบขึ้นมา ก็ง่ายที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การศึกทั้งหมด
เฉินผิงอันกลับบอกว่าไม่มีความจำเป็น สามารถรอต่อไปได้อีกหน่อย
ต่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์โต้เถียงกันอย่างดุเดือด คนที่พวกเขาพุ่งเป้าใส่ก็มีเพียงใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเขาคนเดียว ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของสายอิ่นกวาน ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่ถือว่าสำคัญเท่าไร
……
ผังหยวนจี้นั่งอยู่บนราวรั้วของระเบียงแห่งหนึ่ง สีหน้าเหม่อลอย
ในใจมีเรื่องมากมาย แต่กลับไร้คำให้เอื้อนเอ่ย
ได้ยินเสียงฝีเท้า ผังหยวนจี้ก็หันหน้ามามอง พยักหน้าให้ ถือเป็นการทักทายแล้ว
ผลคือผังหยวนจี้รออยู่นานมากกว่าไอ้หมอนั่นจะนั่งลงข้างกาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!