กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 642

ซูเตี้ยนเอ่ยถาม “ศิษย์พี่มาหาอาจารย์หรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่ได้มาหาอาจารย์หรอก เพียงแต่ว่าบนภูเขานั้นช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก เวลานอนห่มผ้าอย่างไรก็ไม่อุ่น หนาวเกือบแข็งตายอยู่แล้ว นี่ก็เลยลงจากเขามายืดเส้นยืดสายบ้างไงล่ะ แม่หนูซู เจ้าเองก็จริงๆ เลยนะ อยู่ห่างจากศิษย์พี่แค่ไม่กี่ก้าวกลับไม่รู้จักไปเที่ยวหาศิษย์พี่บ้างเลย บ้านของศิษย์พี่หลังใหญ่ขนาดนั้น จะยังไม่พอให้แม่หนูซูที่ผอมบางราวกิ่งหลิวไปพักหรือไร?”

ซูเตี้ยนส่ายหน้า “ไม่กล้าไปพักค้างคืนที่นั่นหรอก กลัวว่าตรงมุมกำแพงด้านนอกจะมีหนูวิ่งให้พล่าน”

เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่หนูซู ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่อาศัยความอาวุโสมาตำหนิเจ้าจริงๆ นะ ในฐานะผู้ฝึกยุทธ แล้วยังต้องหลอมจิตแห่งวีรุบุรุษนั่นอีก เจ้าจะขี้ขลาดแบบนี้ได้อย่างไร ไปกันเถอะ คืนนี้ไปพักที่บ้านศิษย์พี่ ฝึกขัดเกลาความกล้าของตัวเองเสียหน่อย”

ซูเตี้ยนกล่าวอย่างระอาใจ “ศิษย์พี่ หากมีธุระจริงๆ ก็รบกวนท่านพูดมาตรงๆ เลยเถอะ”

หากไม่เป็นเพราะรู้ว่าศิษย์พี่ที่ไม่ยี่หระสิ่งใดผู้นี้เก่งแต่ปาก มือไม่เคยไม่อยู่สุข ป่านนี้ซูเตี้ยนก็คงชักสีหน้าใส่เขาไปนานแล้ว

เจิ้งต้าเฟิงเอาสองมือไพล่หลัง เห็นม้านั่งตัวเล็กก็อยากจะนั่งลงไป น่าจะอบอุ่นอยู่ไม่น้อย

ผลกลับกลายเป็นว่าซูเจี้ยนใช้ปลายเท้าเกี่ยวขึ้นมาถือไว้ในมือ

เจิ้งต้าเฟิงเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป เห็นสือหลิงซานแล้วก็ส่ายหน้า “ต่างก็พูดกันว่าศาลาใกล้น้ำได้ยลจันทร์ก่อน เจ้ากลับดีนัก แม้แต่ศิษย์พี่หญิงที่อยู่ด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวันยังไม่รู้จักเฝ้าให้ดี เจ้าก็คอยดูเถอะ วันหน้าเจ้าต้องได้เสียใจแน่ มีนิยายยุทธภพเล่มใดบ้างที่ไม่เขียนว่า ศิษย์พี่หญิงหรือไม่ก็ศิษย์น้องหญิงออกท่องยุทธภพแล้วถูกจอมยุทธน้อยที่เก่งกาจร่ำรวยหลอกเอาไปทั้งกายทั้งใจ? สือหลิงซาน ตื่นได้แล้ว ศิษย์พี่หญิงของเจ้าจะออกเรือนแล้ว!”

สือหลิงซานโมโหจนควันออกจากทวารทั้งเจ็ด หยุดการฝึกตนกลางคัน หันหน้ามามองอย่างเดือดดาล “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าหยุดพูดจายุแยงตะแคงรั่ว ปลุกปั่นคนอื่นส่งเดชเสียที!”

เจิ้งต้าเฟิงกลอกตามองบน “ขนาดด่าคนยังด่าไม่เป็น แล้วจะทำอะไรเป็น”

สือหลิงซานกำลังจะเอ่ยพูด

คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หญิงจะเอ่ยขึ้นมาก่อน “ศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่า หากข้าอยากฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตสี่หรือเลื่อนสู่ขอบเขตห้า ก็ควรจะเลือกซากปรักสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง ศิษย์พี่มั่นใจหรือไม่? ข้าอยากจะออกเดินทางสักครั้ง”

สือหลิงซานปากอ้าตาค้าง

เจิ้งต้าเฟิงเหล่ตามองเด็กหนุ่ม “ก่อนลงจากเขาศิษย์พี่กินไม่อิ่ม เลยเข้าห้องส้วมไม่ได้ เจ้าคงไม่มีอะไรให้กินหรอก”

สือหลิงซานทั้งเสียใจทั้งโมโหระคนกันไปหมด จึงเกือบจะอดใจไม่ไหวท้าให้เจิ้งต้าเฟิงผู้นี้มาประลองฝีมือกัน เพียงแต่เห็นสภาพหลังค่อมของอีกฝ่าย สือหลิงซานก็ให้เวทนา ช่างเถิด

เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะ หันมาพูดกับซูเตี้ยนว่า “มั่นใจก็มั่นใจอยู่หรอก เพียงแต่ว่าเรื่องใหญ่แบบนี้ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าย่อมคิดเอาไว้แล้ว ไม่ถึงคราวที่ข้าต้องมาสิ้นเปลืองแรงใจหรอก”

ซูเตี้ยนถาม “ศิษย์พี่คิดว่าตอนนี้ข้าสามารถออกจากบ้านเกิดไปเพียงลำพังได้แล้วหรือยัง?”

เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “พาเจ้าตัวถ่วงไปด้วยเถอะ จะดีจะชั่วก็มีคนช่วยดูแลกัน ตอนนี้ขอบเขตของพวกเจ้าตื้นเขินเกินไป สมองก็ไม่เฉียบแหลม อันตรายของวิถีทางโลกด้านนอกไม่ได้อยู่ที่ขอบเขตหรือตบะ แต่อยู่ที่ใจคนมากกว่า สือหลิงซานยังดี เพราะเวลาปกติเป็นคนใจอ่อน แต่พอถึงช่วงเวลาคับขันกลับตัดสินใจอำมหิตได้ กลับเป็นเจ้าที่เวลาปกติใจแข็งเสียอีกที่จะกลับกลายเป็นปัญหา แม่หนูซู หลังจากที่เจ้าทั้งสองออกเดินทางไกลไปแล้วก็บอกกับคนอื่นไปว่าสือหลิงซานคือลูกชายของเจ้า หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกคนโสดหน้าด้านทั้งหลายมาตามตอแยเจ้า ศิษย์พี่ที่อยู่บนภูเขา พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ปวดใจจนนอนไม่หลับแล้ว”

ซูเตี้ยนไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรต่อ

สือหลิงซานก็ยิ่งเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว

เจิ้งต้าเฟิงเหลือบมองม่านไม้ไผ่แวบหนึ่งแล้วหมุนกายออกมาจากร้านตระกูลหยางทันที

เจิ้งต้าเฟิงไปเยือนซุ้มประตูกรอบป้ายสี่แผ่นที่ไม่เหลือความลี้ลับมานานแล้ว เขาเดินวนหนึ่งรอบ ถึงอย่างไรกรอบป้ายยังคงอยู่ คำกล่าวทั้งสี่นั้นก็ยังมีความหมายชวนให้ขบคิดลึกซึ้ง

จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็ไปที่บ่อโซ่เหล็ก ตอนนี้ที่นั่นกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามส่วนบุคคลของภูเขาบางแห่ง ก่อนหน้านี้ได้ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อเอาไว้ ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ได้ผลประโยชน์อะไรสักอย่าง คำว่าสมองมีรูก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง เจ้าโง่เจียงอวิ้นผู้นั้นนับว่ามีโชควาสนาไม่น้อย พอนึกถึงสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เจิ้งต้าเฟิงก็แยกเขี้ยว เห็นว่ารอบด้านไม่มีใครก็เอื้อมมือไปกุมเป้า ขอโทษนะน้องชาย เป็นพี่ชายที่ผิดต่อเจ้า อ่านตำราอย่างยากลำบาก เรียนวรยุทธศิลปะการต่อสู้มาสิบแปดอย่าง คิดไม่ถึงว่าวิชาเลิศล้ำที่มีเต็มกายจะเสียเปล่า ไร้โจรให้เจ้าได้สังหาร

แล้วเจิ้งต้าเฟิงก็ออกมาจากเมืองเล็ก ไปเยือนสุสานเทพเซียน ตอนนี้ที่นี่ไม่มีชื่อเรียกเช่นนี้แล้ว ต้าหลีทำให้คำเรียกขานเก่าแก่นี้ค่อยๆ เลือนหายไปคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา ตอนนี้เทวรูปที่แตกพังทั้งหลายก็ถูกประคองขึ้นมา ต่อให้ซ่อมแซมก็ซ่อมให้ออกมาแบบเก่า สร้างขึ้นใหม่ก็อิงตามแบบเก่า นับว่าราชสำนักต้าหลีทุ่มเทแรงใจไปไม่น้อย ส่วนศาลบู๊ใหม่เอี่ยมที่กินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างถึงที่สุดแห่งนั้นไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว ไม่มีอะไรให้พูดคุย ตาใหญ่จ้องตาเล็ก มองยังไงก็ไม่มีบุปผาแง้มบาน

จากนั้นก็เดินอ้อมไปยังน้ำตกที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำเถี่ยฝูกับลำคลองหลงซวี

ไปนั่งยองโยนก้อนหินอยู่ที่นั่น

ดอกหยางลงน้ำกลายเป็นจอกแหน ช่างเป็นคำกล่าวที่ดีจริงๆ

เจิ้งต้าเฟิงเปลี่ยนตำแหน่งหาจุดที่น้ำไหลค่อนข้างลึกและเนิบช้า เขาจ้องนิ่งไปบนผิวน้ำ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “คิดไม่ถึงว่าบนโลกจะมีบุรุษที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้? ทำให้คนมองยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าน่าเตะจริงๆ”

สุดท้ายเจิ้งต้าเฟิงก็เดินผ่านร้านหลอมกระบี่ร้านแรกสุดของหร่วนฉง

เดินไปถึงสะพานหินโค้ง สะพานแบบคานถูกถอดออกไปนานแล้ว กลับคืนสู่สภาพของสะพานหินที่แท้จริง

เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่บนสะพานหินเพียงลำพัง

หันหน้าไปมองทางทิศเหนือของเมืองเล็ก ที่นั่นมีภูเขากระเบื้องเคลือบและเตาเผามังกรมากมายอยู่ใกล้เคียง

เจิ้งต้าเฟิงถอนสายตากลับมา

เมื่อสามพันปีก่อน เซียนกระบี่ที่ลุกผงาดอย่างรวดเร็วแล้วก็เงียบหายไปอย่างรวดเร็วปานกันผู้นั้น ไม่รู้ว่าเส้นประสาทเส้นใดเคลื่อนผิดตำแหน่ง หลังจากที่อยู่ดีๆ ก็มีชื่อเสียงขึ้นมา ก็มุ่งมั่นสังหารเจียวหลงโดยเฉพาะ เข่นฆ่าจนมืดฟ้ามัวดิน ว่ากันว่าเขาคิดอยากจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คนแรกที่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตบินทะยานไปให้ได้

บัณฑิตที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เป็นแค่บัณฑิตเท่านั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้

เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องลับนี้ ตาเฒ่าที่ต้องรู้คำตอบอย่างแน่นอนกลับไม่ยอมเอ่ยถึง ในอดีตเจิ้งต้าเฟิงเคยขอร้องหลี่เอ้ออ้อมๆ หวังให้ศิษย์พี่ไปถามแทนหน่อย หลี่เอ้อรับปากแล้วก็จริง แต่ภายหลังเรื่องนี้กลับเงียบหายไป

ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ยังนับว่าดี จะดีจะชั่วก็ยังถูกด่าสองสามคำ ในอดีตตาเฒ่ายินดีพูดคุยกับเขา ขอแค่พูดยาวเกือบๆ สิบคำก็ทำให้เจิ้งต้าเฟิงดีใจเหมือนได้ฉลองปีใหม่แล้ว

ดังนั้นเจิ้งต้าเฟิงจึงรู้แค่ว่ามังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายของโลกไม่ได้พยายามจะไปเยือนพื้นที่ลับใต้ทะเลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนั้น กลับกลายเป็นว่าขึ้นบกตรงนครมังกรเฒ่า ทะลุทะลวงให้เกิดเส้นทางมังกรเดินใต้ดิน สุดท้ายก็มาตายอยู่ในอาณาเขตของต้าหลี

นั่นก็เพื่อขอให้ได้รับการปกป้อง พยายามจะให้บุคคลในยุคบรรพกาลท่านหนึ่งเปิดแท่นบินทะยานอีกครั้ง จะได้หลบหนีเข้าไปยังสถานที่ลึกลับที่แม้แต่อริยะก็ยังหาไม่พบ

เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าคนนั้นไม่ยอมให้มันได้สมปรารถนา เลือกที่จะนิ่งดูดาย

สุดท้ายก็สร้างถ้ำสวรรค์หลีจูหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กขึ้นมา

สามลัทธิหนึ่งสำนักสี่อริยะร่วมกันตั้งกฎ สร้างกรอบป้ายสี่แผ่นแขวนไว้บนซุ้มประตูที่ถูกคนรุ่นหลังในท้องถิ่นของถ้ำสวรรค์หลีจูเรียกกันอย่างขำขันว่าซุ้มก้ามปู

สกุลซ่งต้าหลีสร้างสะพานแบบคานขึ้นมาบนสะพานหินโค้งดั้งเดิม ก็เพื่อสืบทอดชะตาแคว้นของต้าหลีให้ทอดยาวออกไป ให้พลังอำนาจของแคว้นเป็นดั่งลมโชยน้ำขึ้น ช่วงชิงสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้ามาเป็นของตน

ก่อนที่ซ่งจ่างจิ้งจะพาซ่งจี๋ซินและสาวใช้จื้อกุยจากไปได้ตั้งใจให้องค์ชายซ่งจี๋ซินมาจุดธูปกราบไหว้ด้านล่างสะพานแบบคานนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!