อ่านสรุป บทที่ 649.1 ฝ่าขอบเขตอย่างง่ายดาย จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 649.1 ฝ่าขอบเขตอย่างง่ายดาย คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่หนิงเหยาเดินออกจากกลุ่ม หมายจะบุกฝ่าขบวนรบนำไปก่อนเพียงลำพัง กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่แนวหน้าก็หยุดชะงักเคลื่อนทัพต่อไม่ได้ รอกระทั่งหนิงเหยาบุกฆ่าฝ่าขบวนรบ นำพาผู้ฝึกกระบี่หกคนมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับแม่น้ำเส้นยาวสีทอง กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่อยู่สองฝั่งของสนามรบก็พากันเพิ่มความเร็วบุกรุดหน้า พยายามจะอยู่ให้ห่างจาก ‘เซียนกระบี่’ หญิงที่ดุร้ายเฉียบคมผู้นี้มาให้ได้มากที่สุด
หนิงเหยาในเวลานี้เหมือนกลายมาเป็นขุนนางผู้ตรวจตราการศึกที่ ‘ช่วยคุมหลังท้ายขบวน’ กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจจึงพยายามบุกขึ้นหน้ากันไปอย่างสุดชีวิต
ดังนั้นหลังจากฟ่านต้าเช่อขี่กระบี่นำคนทั้งสองออกมา อยู่ดีๆ ก็เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาด กลายเป็นว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเพียงคนเดียวที่ไล่ฆ่ากองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ลำพังเพียงแค่เรื่องนี้ ฟ่านต้าเช่อก็คิดว่าคราวหน้าควรจะดื่มเหล้าภูเขาชิงเสินที่ราคาแพงที่สุดสักกา คุณความชอบทางการสู้รบมากพอ ในที่สุดก็ไม่ต้องยืมเงินเฉินซานชิวมาซื้อเหล้าแล้ว
เฉินผิงอันมองสนามรบเบื้องหน้า ขบวนทัพช่วงหลังของกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจยิ่งนานก็ยิ่งหนาแน่นแออัด เพราะพยายามจะเบียดกรูกันขึ้นไปด้านหน้าให้ได้เร็วที่สุด อีกทั้งยิ่งเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ขอบเขตสูงเท่าไรก็ยิ่งพยายามอยู่ห่างจากพวกเขาสามคนให้ได้มากเท่านั้น แน่นอนว่าอันที่จริงก็แค่อยากอยู่ห่างจากหนิงเหยาคนเดียวเท่านั้น
เขาเอ่ยกับฟ่านต้าเช่อ “ผู้ฝึกกระบี่สองฝั่งจะต้องรู้สึกกดดันมากเพราะพวกเรา”
หนิงเหยาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็พยายามไปรวมตัวกับผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ด้านหน้าสุดให้เร็วที่สุด ส่วนแผนที่เป็นรูปธรรม จะเอายังไง?”
เฉินผิงอันเหยียบลงบนกระบี่ยาวของหอกระบี่ ยิ่งนานก็ยิ่งคุ้นชินที่จะขี่กระบี่แนบติดพื้น เขาม้วนชายแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นอย่างรวดเร็ว “คราวนี้เปลี่ยนให้ข้าเป็นคนบุกบ้าง เจ้าตามมาด้านหลัง หากมีเผ่าปีศาจโอสถทองหรือก่อกำเนิดเผยตัว เจ้าเป็นคนจัดการ”
หนิงเหยาถาม “ไม่คิดจะเรียกกระบี่บินออกมาหรือ?”
“ออกแค่หมัดก็พอ จะได้ขัดเกลาคอขวดของวิถีวรยุทธไปด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “วางใจเถอะ ความเร็วในการบุกทะลวงขบวนรบย่อมเทียบกับเจ้าไม่ได้แน่ แต่เมื่อเทียบกับสนามรบแห่งอื่นก็ไม่มีทางช้ากว่า”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ออกหมัดให้เต็มที่”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ขี่กระบี่พุ่งไปราวกับสายรุ้ง พอตามไปทันฟ่านต้าเช่อก็ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ต้าเช่อ เจ้าออกกระบี่อยู่ตรงกลาง ข้าฝ่าขบวนรบอยู่เบื้องหน้า ระหว่างนี้ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเจ้าไม่ต้องสนใจ แค่ขี่กระบี่ไปเบื้องหน้าอย่างเดียวก็พอ บางทีข้าอาจจะแบ่งสมาธิมาสนใจเจ้ามากนักไม่ได้ แต่หนิงเหยาตามมาด้านหลัง ก็น่าจะไม่มีปัญหามากนัก”
ฟ่านต้าเช่อตอบรับเสียงหนัก “ตกลง!”
อันที่จริงเวลาที่เถ้าแก่รองไม่เอ่ยคำว่า ‘ต้าเช่ออ่า’ ฟ่านต้าเช่อก็รู้ดีว่าตนต้องระวังตัวให้มาก
ชั่วพริบตานั้นเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมอาคมของหอภูษาสองชุดก็พลันเพิ่มความเร็ว ขี่กระบี่เป็นเส้นตรงทะยานพรวดออกไป
ระหว่างทางขณะที่ยังอยู่ห่างจากกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจเบื้องหน้ามาร้อยจั้งกว่า เฉินผิงอันก็ตั้งท่าหมัด เท้าหนึ่งเหยียบกระทืบลงไป กระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าก็พลันเอนดิ่งลงเพราะไม่สามารถรับน้ำหนักเท้านั้นไว้ได้ จึงกลายเป็นว่าบินแนบติดพื้นดินไปอย่างแท้จริง เมื่ออยู่ในสายตาของฟ่านต้าเช่อที่อยู่เบื้องหลัง ร่างของเฉินผิงอันหายวับไปจากจุดเดิม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้ยันต์ฟางชุ่นย่อพื้นที่ แต่กลับมีประสิทธิผลเช่นเดียวกับยันต์ฟางชุ่น หรือว่าเวลาเพิ่งจะผ่านไปปีกว่าๆ ก็ฝ่าทะลุคอขวดของวิถีวรยุทธ เปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองมาเป็นปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลท่านหนึ่งแล้ว?
ครั้งนี้หนิงเหยาเลือกจะขี่กระบี่ นางอธิบายให้ฟ่านต้าเช่อฟังว่า “ตอนนี้เขายังเป็นแค่ขอบเขตร่างทอง ไม่ใช่ขอบเขตเดินทางไกล สวมชุดคลุมอาคมสามตัวก็ไม่ใช่เพื่อรักษาชีวิตอีกแล้ว เพียงแค่เพื่อสะกดปณิธานหมัดเอาไว้ บวกกับการสยบกำราบจากปราณกระบี่ในระดับหนึ่ง ทั้งสามอย่างนี้ขัดเกลากันเองก็ถือว่าเป็นการฝึกประสบการณ์อย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากการที่คนฝึกยุทธในยุทธภพชอบมัดถุงทรายไว้บนข้อเท้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำสักเท่าไร”
การที่หนิงเหยายินดีพูดมากขนาดนี้
แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเฉินผิงอัน
แล้วก็เพราะฟ่านต้าเช่อคือเพื่อนของนางและเพื่อนของเฉินผิงอัน อีกทั้งเฉินผิงอันยังให้การดูแลฟ่านต้าเช่อมากที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่เพราะขอบเขตของฟ่านต้าเช่อไม่สูงมากพอเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะมองเห็นเงาร่างของตัวเองในอดีตได้จากบนร่างของฟ่านต้าเช่อ เอาเศษเล็กเศษน้อยมาประกบประกอบกัน จึงกลายเป็นว่ารู้สึกใกล้ชิดกับฟ่านต้าเช่อไปโดยปริยาย
เพียงแต่ว่าสาเหตุที่เป็นรูปธรรมในเรื่องนี้ หนิงเหยาคิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เชื่อว่าวันหน้าเมื่อเฉินผิงอันมีเวลาว่าง หรือควรจะบอกว่าใต้เท้าอิ่นกวานแอบปลีกตัวจากงานที่ยุ่งมาได้
เขาย่อมเล่าให้นางฟังเอง
หนิงเหยาเอ่ยอีกว่า “ในอดีตตอนที่เขาเพิ่งเริ่มเรียนวิชาหมัดเมื่อครั้งยังอยู่ในบ้านเกิด ก็จะผูกถุงที่ใส่เศษหินไว้จนเต็มไว้บนข้อเท้า ครั้งแรกที่ออกจากบ้านเดินทางไกลก็ใช้ยันต์ครึ่งจิน แล้วก็ยันต์แปดตำลึง เขาเคยชินกับการทำอย่างนี้มานานแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าหากตัวเองปล่อยหมัดอย่างเต็มแรงจะเป็นอย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าหมัดของตัวเองหนักเท่าไร เร็วเท่าไร ถ้าอย่างนั้นคู่ต่อสู้ก็ยิ่งไม่มีทางรู้ได้”
ระหว่างที่พูดหนิงเหยาก็ยกกระบี่ขึ้นฟันฉับไปหนึ่งที คือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจโอสถทองคนหนึ่งที่อยู่บนสนามรบจุดอื่น อีกฝ่ายแค่ชำเลืองตามองนางไกลๆ แต่จิตของหนิงเหยาสัมผัสได้ เจี้ยนเซียนในมือจึงถูกปล่อยออกไปเป็นเส้นตรงประหนึ่งใช้มีดผ่าเต้าหู และเมื่อร่างของเผ่าปีศาจที่ถูกเล่นงานคนนั้นถูกผ่าครึ่ง ศพแยกออกเป็นสองซีก โอสถทองเม็ดหนึ่งระเบิดแตกก็ลามกระทบไปโดนเผ่าปีศาจอีกมากมายนับไม่ถ้วน
อยู่ดีๆ หนิงเหยาก็นึกถึงเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งขึ้นมา
จำได้ว่าปีนั้นเฉินผิงอันที่ยังเป็นเด็กหนุ่มสะพายกล่องกระบี่ไม้ไหวบรรจุกระบี่สองเล่มมาหานางที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นครั้งแรก ยามที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง เขาชอบหาเรื่องมาคุยให้นางฟัง เล่าเรื่องในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดมากมาย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ช่างไม้ตีเส้นหมึก ช่างไม้เก่าแก่ที่ฝีมือยอดเยี่ยม ยามตีเส้นจะตีได้แม่นยำมาก
หนิงเหยามองสนามรบหลังจากที่ตัวเองปล่อยกระบี่หนึ่งไปอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบที่เขาเล่าจริงๆ
ฟ่านต้าเช่อไม่รู้เลยว่าควรจะคุยกับนางเรื่องอะไร
อันที่จริงยืนอยู่ข้างกายหนิงเหยา เขารู้สึกกดดันมาก ความกดดันนั้นใหญ่มากจนบรรยายไม่ถูก
เฉินซานชิวสหายรักของเขาเคยพูดกับฟ่านต้าเช่อเป็นการส่วนตัวว่า หากขอบเขตของสหายอย่างพวกเขาและเตี๋ยจ้างต่ำกว่าหนิงเหยาหนึ่งขั้น อันที่จริงยังนับว่าดี แต่หากทั้งสองฝ่ายมีขอบเขตเท่ากันขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะรู้สึกสงสัยในชีวิตแล้วจริงๆ เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่จริงๆ หรือ? ขอบเขตนี้ของข้าคงไม่ใช่ของปลอมหรอกกระมัง?
เพียงแต่ว่าตอนนั้นที่ฟ่านต้าเช่อมองเฉินซานชิวดื่มเหล้าเนิบช้า พูดเหมือนบ่นก็จริง แต่ใบหน้าเฉินซานชิวกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เถ้าแก่รองเคยบอกว่า เหล้าก็คือคันเบ็ดตกปลาที่ดีที่สุดบนโลก สามารถตกเอาถ้อยคำในใจของพวกผีขี้เหล้ามาไว้ที่ปาก โดยเฉพาะเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของบ้านข้าที่ยิ่งร้ายกาจ
คงเป็นเพราะการที่ได้เป็นสหายกับหนิงเหยา ต่อให้เป็นลูกรักแห่งสวรรค์อย่างเฉินซานชิวก็ยังทั้งรู้สึกกดดัน แต่ก็รู้สึกว่ามีค่าพอให้ดื่มเหล้าอย่างเบิกบานใจด้วยกระมัง
ฟ่านต้าเช่อสังเกตการณ์ดูสนามรบรอบด้านอย่างระมัดระวังไปด้วย แต่อันที่จริงรอบด้านนั้นว่างเปล่า ไม่มีวิกฤตอันตรายใดๆ แอบแฝง เพียงแต่ว่าฟ่านต้าเช่อยังคงกังวลว่าใต้ดินจะมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ซุกซ่อนตัวอย่างลับๆ ล่อๆ โผล่มาแทงกระบี่ใส่เขา หรือไม่ก็ทุ่มสมบัติอาคมเข้าใส่
บนสนามรบเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง
แต่กระนั้นก็ยังใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ศัตรูตายในคราวเดียว หรือไม่ก็ทำร้ายให้อีกฝ่ายบาดเจ็บไปถึงรากฐาน ต่อยจิตวิญญาณให้แหลกลาญ
ทุกหมัดมองดูเหมือนออมแรงเอาไว้ แต่แท้จริงแล้วทุกหมัดที่ปล่อยออกไปเปี่ยมด้วยพละกำลังหนักอึ้ง บุกรุดหน้าไม่มีหยุดยั้ง พอจะมองออกได้อย่างเลือนรางว่าความบริสุทธิ์ของปณิธานหมัดถึงขั้นทำให้ปราณกระบี่รอบทิศเป็นฝ่ายหลบทางให้
ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนหนึ่งที่หลบไม่พ้น เรือนกายใหญ่โตสูงสองจั้งจึงเหวี่ยงค้อนใหญ่ทุบฟาดลงมา
เผชิญหน้ากับหนิงเหยาในตำนานผู้นั้น บางทีอาจแค่รอความตายเท่านั้น แต่เจอกับ ‘เด็กหนุ่ม’ ตรงหน้าผู้นี้ที่ไม่มีกระบี่บิน มีเพียงวิชาหมัดอันสูงส่ง จะดีจะชั่วก็ยังไม่ขาดความกล้าในการต่อสู้
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปต้านรับค้อนใหญ่ที่ทุบลงแสกหน้า ร่างทั้งร่างล้วนถูกปกคลุมอยู่ในเงามืด ข้อเท้าของเฉินผิงอันขยับเบี่ยงไปชุ่นกว่าๆ พยายามส่งถ่ายพละกำลังมหาศาลนั้นไปที่พื้นดิน ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังถูกทุบจนเข่าทั้งสองข้างจมลงไปในดิน
สามารถหลบได้แต่กลับไม่หลบ รับค้อนหนักที่เหวี่ยงมาใส่นี้ไว้จังๆ อีกทั้งยังจงใจทำให้ร่างของตัวเองต้องหยุดชะงักไปชั่วครู่ นี่ก็เพื่อล่อให้เผ่าปีศาจที่แฝงตัวอยู่รอบด้านรู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเผ่าปีศาจที่สวมเกราะยันต์เหล็กชั้นดีคนหนึ่ง สองมือถือดาบขยับเข้ามาใกล้เฉินผิงอัน พลังอำนาจที่พุ่งมานั้นน่าเกรงขาม เงื้อดาบผ่าฟันเข้าใส่
ยังมีผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งที่ยื่นมือข้างหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อ โยนยันต์สีทองสองแผ่นที่วาดเป็นรูปห้าขุนเขาที่แท้จริงและรูปสายน้ำคดเคี้ยวออกมา จากนั้นค่อยยื่นฝ่ามืออีกข้างยกขึ้นสูง
พื้นดินรอบด้านใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันถูกผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นใช้เวทลับทำให้เป็นน้ำแข็ง ปิดผนึกพื้นที่ในรัศมีหลายสิบจั้งนี้ไว้ก่อน
ยันต์ขุนเขาที่วาดขึ้นบนกระดาษสีทองปรากฏภูเขาห้าลูกที่สีสันแตกต่างกัน ขนาดใหญ่แค่กำปั้น สี่ลูกในนั้นลอยอยู่ข้างกายผู้ฝึกยุทธเด็กหนุ่ม มีเพียงขุนเขากลางที่กระแทกลงบนหัวของอีกฝ่าย
เฉินผิงอันที่ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันต์ค้อนใหญ่เอาไว้ยกมือข้างซ้ายขึ้นกุมดาบอาคมที่ปราณสกปรกเข้มข้นจนกลายเป็นสีดำสนิทเหมือนสีหมึกเล่มนั้นไว้โดยตรง ปณิธานหมัดบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกจากกลางฝ่ามือเสียดสีกับแสงดาบสีดำทำให้ประกายไฟแลบพุ่งกระเด็นไปสี่ทิศ
บิดข้อมือหนึ่งครั้ง กระชากผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยดาบมาด้านหน้า แล้วเหวี่ยงให้กระแทกชนภูเขาลูกเล็กเหนือศีรษะที่สร้างขึ้นจากยันต์สีทอง
เผ่าปีศาจเหวี่ยงค้อนที่ทำหน้าที่ล่อศัตรูได้สำเร็จมิอาจกดค้อนใหญ่ในมือลงมาได้อีกแม้แต่เสี้ยวเดียว จึงเก็บอาวุธไปชั่วคราว เหวี่ยงแขนขึ้นสูงอีกครั้ง หมายจะทุบซ้ำอีกรอบ
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเห็นท่าไม่ดี ทั้งไม่อยากกระแทกชนกับขุนเขากลางลูกนั้น แล้วก็ไม่ยินดีจะถูกค้อนใหญ่ที่เหวี่ยงตามมาทุบให้บาดเจ็บจึงสละดาบทิ้งแล้วถอยหนีอย่างเด็ดขาด ยกเท้าถีบเข้าที่หน้าอกของเด็กหนุ่ม อาศัยแรงดีดนี้ถอยไปด้านหลัง
นาทีถัดมา เฉินผิงอันที่เดิมทีใช้กระบวนท่าหมัดวานรที่จูเหลี่ยนถ่ายทอดให้ตลอดพลันเปลี่ยนมาเป็นท่าหมัดยอดเขาของจ้งชิว ‘เด็กหนุ่ม’ ร่างสูงเพรียวที่หัวไหล่ห่อเล็กน้อยและเอวก็งองุ้มลงกลับคืนมาสู่ท่าหมัดปกติในทันใด ปณิธานหมัดแปรเปลี่ยน ยิ่งหนาข้นขุ่นคลั่กกระแทกให้ตราผนึกของเวทอาคมรอบด้านแหลกสลายไปโดยตรง ปล่อยหมัดต่อยลงบนขุนเขากลางขนาดจิ๋ว ขณะที่หมัดสัมผัสกับภูเขาลูกเล็ก ริ้วคลื่นปณิธานหมัดก็กระเพื่อมซัดออกไปรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง ชนสลายขุนเขาลูกนั้นให้กลายเป็นแสงสีทองกลุ่มหนึ่งที่สาดกระจายออกไป
เฉินผิงอันที่มือซ้ายยังกุมดาบอาคมตำแหน่งใกล้กับปลายดามไถลร่างถอยกรูดออกไป หลบค้อนที่สองที่ปีศาจร่างกำยำเหวี่ยงลงมาอย่างเต็มแรง
มือซ้ายที่ถือดาบดึงกลับมาเล็กน้อย หมัดขวาคลายออกเป็นท่าฝ่ามือมีดที่ฟันฉับลงไป ฟันให้ดาบอาคมเล่มนั้นหักเป็นสองท่อน เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเผ่าปีศาจที่เดิมทีคิดจะเป็นฝ่ายทำลายวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ใช้โจมตีชิ้นนี้ด้วยตัวเอง กลายเป็นว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ กลับกลายเป็นว่าต้องกระอักแก่นเลือดในหัวใจออกมาหนึ่งคำแทน ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มที่ยังคงถูกกักตัวอยู่ท่ามกลางวงล้อมสี่ขุนเขา ผู้ฝึกตนสำนักการทหารผู้นี้กลับเลือกที่จะขี่ลมทะยานห่างไปไกลจากสนามรบจุดนี้โดยตรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!