บนสนามรบ ฟ่านต้าเช่อมองไม่เห็นเรือนร่างของเฉินผิงอันแม้แต่น้อย
กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกรกรูกันเข้ามาโอบล้อมจากสี่ด้านแปดทิศ มืดฟ้ามัวดิน ตั้งท่าชัดเจนว่าจะช่วยกันล้อมสังหารคนหนุ่มผู้นั้น
แรกเริ่มสุดก็มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจจำใบหน้าของอิ่นกวานหนุ่มได้ พอแฉตัวตนของเขาแล้ว การที่คราแรกกองทัพใหญ่พากันถอยร่นแตกฮือนั้นก็ล้วนเกิดจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น
ทั้งเป็นเพราะครั้งที่อิ่นกวานหนุ่มจับคู่เข่นฆ่ากับหลีเจินลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ ไม่เพียงแต่เอาชนะอีกฝ่ายไปได้ อีกทั้งยังเล่นงานจนผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างหลีเจินจิตวิญญาณแหลกสลาย เรื่องนี้แพร่ไปทั่วกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจมานานแล้ว อีกทั้งนี่ยังถูกกำหนดมาแล้วว่าจะยังค่อยๆ แพร่ไปถึงทางทิศใต้ กลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ว่าจะอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร หอสูงนครใหญ่ ตรอกเล็กซอยน้อยก็ล้วนจะต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด นานปีแล้วปีเล่า เหมือนต้นหญ้าบนทุ่งกว้างที่แห้งเหี่ยวแล้วกลับมางอกงามใหม่อีกครั้ง ถึงขั้นที่ว่าร้อยปีต่อจากนี้ก็อาจจะยังถูกคนมีใจที่ความจำดีเอามาเล่าอย่างออกรสหลังมื้ออาหาร
แล้วก็ยิ่งเป็นเพราะผ่านมานานหลายปีมากๆ แล้วที่หากพูดถึงใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เท่ากับ ‘แม่นางน้อย’ มัดผมแกละนามว่าเซียวสวิ้นผู้นั้น
กระทั่งกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจจำได้ว่าอิ่นกวานผู้นี้ไม่ใช่อิ่นกวานในอดีต บวกกับที่เฉินผิงอันบุกเข้ามาในกองทัพศัตรูเพียงลำพังลึกเกินไป อีกทั้งหนิงเหยาผู้นั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีท่าทีคิดจะช่วยเหลืออิ่นกวานคนใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สหายรักถูกผู้ฝึกยุทธหนุ่มสังหารไปจึงเกิดใจพร้อมยอมตาย หมายจะแก้แค้นให้จงได้ ยินดีจะใช้ชีวิตของตนมาแลกเปลี่ยนด้วยอาการบาดเจ็บของคนหนุ่ม มีความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายก็มีแค่คนเดียว ทว่ากองทัพใหญ่ฝั่งของตนกลับล้อมวงเป็นขบวนรบหนาชั้น ฉวยโอกาสโยนวิชาสักอย่างหนึ่งออกไป ทุ่มวัตถุชะตาชีวิตใส่สักชิ้น ย่อมต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน อีกทั้งพวกเขายังมีนักรบเดนตายที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ มีเผ่าปีศาจโอสถทองที่แม้ต่างคนต่างมีแผนการต่างกันไป ทว่าแต่ละคนกลับลงมืออย่างอำมหิตแม่นยำ ไม่หวังให้โจมตีตายในครั้งเดียว หวังแค่ให้เป็นมีดทื่อที่แร่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายได้ก็พอ
การเข่นฆ่าบนสนามรบนั้นมีพลังของการแพร่ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมาอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะคล้อยไปตามสถานการณ์ใหญ่ พ่ายแพ้ ก่อกบฏในฉับพลัน ฮึกเหิมลืมตาย กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ล้วนเป็นเช่นนี้
สุดท้ายบวกกับที่หนึ่งกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดทำให้อิ่นกวานหนุ่มบาดเจ็บ
จิตสังหารโอบล้อมอยู่รอบด้าน มืดฟ้ามัวดิน
ฟ่านต้าเช่อที่ห่างไปไกลพึมพำเบาๆ “ไม่ควรบุกทะลวงค่ายกลแบบนี้เลย อันตรายเกินไปแล้ว บนสนามรบที่เป็นเช่นนี้ มีที่ใดบ้างที่ไม่ใช่เรื่องไม่คาดฝัน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การถามหมัดของผู้ฝึกยุทธนะ”
หากไม่เป็นเพราะมีหนิงเหยาคอยคุมหลังให้ เถ้าแก่รองออกหมัดเช่นนี้ย่อมต้องเจอจุดจบที่ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย
หนิงเหยาเอ่ย “ก็เพราะว่ามีข้าอยู่ เขาถึงได้ออกหมัดเช่นนี้ นี่คือลำดับก่อนหลัง เหตุผลต้องพูดกันเช่นนี้”
หนิงเหยาเองก็รู้ว่าเหตุใดฟ่านต้าเช่อถึงจิตใจไม่สงบนิ่งเช่นนี้ จะว่าไปแล้วก็เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเฉินผิงอันล้วนๆ
หนิงเหยาไม่ได้พูดอย่างละเอียด ถึงอย่างไรฟ่านต้าเช่อก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ บนเส้นทางของวิถีกระบี่กับการค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้ฝึกยุทธ ถามหมัดกับจุดที่สูงที่สุด มองดูเหมือนเส้นทางต่างแต่จุดหมายเดียวกัน ทว่าแท้จริงแล้วกลับต่างกันมาก
นี่ต่างหากถึงจะเป็นการถามหมัดของผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง ประชันความแข็งแกร่งกับคนอื่น เพียงแต่การเรียนวรยุทธเป็นเส้นทางสายเล็ก ใช้กำลังของตัวเองคนเดียว อาศัยเพียงสองหมัด แข่งขันเอาชนะกับฟ้าดิน นั่นต่างหากจึงจะเป็นทัศนียภาพบนมหามรรคา
พื้นที่ใจกลางของวงล้อมที่ห่างไปไกล แทบจะกลายเป็นภูเขาลูกเล็กที่เคลื่อนที่ไปช้าๆ
ระหว่างที่ฟ่านต้าเช่อดึงกระบี่กลับมาก็อดไม่ไหวถามว่า “เป็นแบบนี้ต่อไป จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
หนิงเหยาเอ่ยตอบ “คนที่เป็นคืออีกฝ่าย”
ฟ่านต้าเช่ออึ้งงันไร้คำพูดตอบโต้
เขาทำได้เพียงออกกระบี่อยู่ตรงริมขอบของสนามรบต่อไป พยายามจะแบ่งเบาแรงกดดันส่วนหนึ่งมาจากเฉินผิงอันให้ได้มากที่สุด
อันที่จริงนี่ไม่ได้มีความหมายมากนัก แต่ก็ควรต้องทำอะไรบ้าง
คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ความสามารถไม่มากพอที่จะทำได้ ถ้าอย่างนั้นการพยายามทำสิ่งที่ตัวเองสบายใจ ก็คือความเคยชินที่ดี
หนิงเหยาบังคับเจี้ยนเซียนให้พุ่งทะยานไปบนสนามรบตามแต่ใจ เส้นยาวสีทองเส้นหนึ่ง เมื่ออยู่ในกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจ แสงสีทองรวมตัวกันเนิ่นนานไม่สลายหายไปไหน มีทั้งเส้นยาวตรงแน่วที่พุ่งสลับตวัดกัน แล้วก็มีแสงสีทองที่บิดเบี้ยวยาวหลายพันจั้ง ทุกที่ที่ผ่านล้วนทิ้งซากศพแขนขาขาดวิ่นที่ถูกกระบี่ยาวสีทองกรีดฟันเอาไว้ และเดิมทีแสงสีทองนั้นก็เป็นเหมือนค่ายกลยันต์ธรรมชาติแห่งหนึ่ง ปณิธานกระบี่สะสมไว้หนาหนัก บวกกับที่รอบด้านมีปราณกระบี่เอ่อล้นออกมา ทำให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจเจ็บปวดจนพูดไม่ออก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางจำนวนไม่น้อยทรุดฮวบลงไปนอนหมอบกับพื้นเพื่อที่จะหลบเส้นยาวสีทองที่ยิ่งนานก็ยิ่งรวมตัวกันหนาแน่น
ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรและโอสถทองต่างก็เริ่มขยับออกห่างค่ายกลกระบี่สีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศนี้อย่างว่องไวแล้ว
หนิงเหยาชำเลืองตามองเส้นสีทองที่อยู่บนสนามรบ หลังจากที่เห็นว่าปราณกระบี่มารวมตัวกันได้พอสมควรแล้ว นางก็ยกสองนิ้วขึ้นทำมุทราแล้วปาดลงเบื้องล่างเบาๆ
ประหนึ่งฝนห่าใหญ่ที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ แทบจะใกล้เคียงกับบ่อน้ำขนาดมหึมาที่ลอยอยู่พ้นเหนือพื้นซึ่งจู่ๆ ก็ตกฮวบลงมาสู่พื้นดิน
พื้นดินของสนามรบจุดที่เฉินผิงอันอยู่พลันสะเทือนเลือนลั่น พายุหมัดรุนแรงประหนึ่งสายฟ้าคำราม
ร่างของเผ่าปีศาจที่อยู่ใกล้เขาแหลกกระจาย ภูเขาลูกเล็กที่เกิดจากกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจมารวมตัวกันเหมือนถล่มยุบลงมาจากตรงกลาง
ฟ่านต้าเช่อถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็มองเห็นเงาร่างของเฉินผิงอันแล้ว สภาพกระเซอะกระเซิงอยู่บ้าง เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อฉีกขาดเลือดโชก ปณิธานหมัดเข้มข้นจนแทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันไหลรินไปทั่วร่างของเฉินผิงอัน ประหนึ่งมีองค์เทพคอยปกป้องเรือนกาย
นี่ก็คงเป็นขอบเขตร่างทองของผู้ฝึกยุทธที่สมชื่อที่สุดในใต้หล้ากระมัง
แม้ว่าฟ่านต้าเช่อจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ แม้แต่ยามฝันก็ยังอยากจะเป็นเซียนกระบี่ แต่พอได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเอง ก็จำต้องยอมรับว่ายามที่ผู้ฝึกยุทธตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม ร่างทองไม่แหลกสลาย ก็ช่างป่าเถื่อนยิ่งนัก
เฉินผิงอันถูกเวทอาคมพร่างพราวสายหนึ่งกระแทกลงกลางหลัง เขาแค่เซไปข้างหน้าก้าวเดียวเท่านั้น จึงอาศัยแรงส่งนี้พุ่งทะยานตรงไปข้างหน้าสิบกว่าจั้ง ใช้หมัดเปิดทาง
ถูกผู้ฝึกตนสำนักการทหารของเผ่าปีศาจใช้ง้าวใหญ่เหวี่ยงฟาดเข้าที่ช่วงเอว กระแทกให้เฉินผิงอันลอยกระเด็นไปด้านข้างไกลหลายสิบจั้ง นี่ทำให้มีวิชาอภินิหารอีกสิบกว่าเส้น และอาวุธแห่งชะตาชีวิตที่ใช้ในการโจมตีอีกหลายสิบชิ้นพุ่งตามติดมาดั่งเงา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!