หนิงเหยาบอกให้เฉินผิงอันกลับไปที่หัวกำแพงเมืองก่อน เอ่ยเตือนเขาคำหนึ่งว่าเดินทางระวังด้วย
ต่งฮว่าฝูรู้สึกว่าประโยคนี้เกินความจำเป็นไปสักหน่อย
พูดจาโผงผางตรงไปตรงมาคือนิสัยของต่งฮว่าฝูมาโดยตลอด
เฉินซานชิวยิ้มกล่าว “ระหว่างบุรุษและสตรี หากไม่มีคำพูดที่เกินความจำเป็นบ้างเลย แบบนั้นคงยุ่งยากแน่”
ต่งฮว่าฝูพยักหน้ารับเพื่อแสดงให้รู้ว่าเขาเห็นด้วย จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าเคยมีโอกาสได้พูดจาเกินความจำเป็นบ้างไหม?”
เฉินซานชิวเลียนแบบเถ้าแก่รองด้วยการคลี่ยิ้มบางๆ ส่งไปให้อีกฝ่าย
ต่งฮว่าฝูกลัวว่าเถ้าแก่รองจะจำแค้นจดลงบนบัญชี แต่กลับไม่เคยกลัวเฉินซานชิวที่แม้แต่ยามหลับฝันก็ยังยากจะเป็นพี่เขยของตน ดังนั้นจึงเอ่ยประโยคที่เป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะว่า “การที่พี่สาวของข้าได้เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน คงไม่ใช่ว่าจงใจหลบหน้าเจ้าหรอกกระมัง? หากเป็นเช่นนี้จริงก็เกินไปหน่อยแล้ว วันหน้าข้าจะช่วยพูดให้เจ้าเอง น้ำใจมิตรสหายเล็กน้อยแค่นี้ ข้ายังพอมีอยู่บ้าง”
เฉินซานชิวส่ายหน้า “ไม่จำเป็น พี่สาวของเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่มีทางจงใจทำอะไรหรอก”
ชอบคนคนหนึ่ง มักจะเห็นว่าเขาดีไปเสียทุกอย่าง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตั้งแต่สวมกางเกงเปิดเป้า เฉินซานชิวก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าพี่สาวของต่งน้อยที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่ใช่ว่าอยู่ในสายตาของตนแล้วนางถึงจะเปลี่ยนมาเป็นดี แต่เป็นเพราะนางดีจริงๆ
ก็เหมือนครั้งแรกที่เฉินซานชิวเห็นคำว่าเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ (เปรียบเปรยถึงหนุ่มสาวที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก) บนหน้าหนังสือก็รู้สึกทันทีว่านั่นเป็นคำกล่าวที่ทำให้คนประทับใจที่สุดในใต้หล้า อะไรที่บอกว่าทะเลสาบกว้างใหญ่ราบเรียบเหมือนผิวกระจก ภูเขายามฤดูใบไม้ร่วงเป็นสีแดงดุจเปลวเพลิงอะไรพวกนั้น ล้วนชิดซ้ายไปเลย
หากจะบอกว่าต่งปู้เต๋องดงามมากแค่ไหน อันที่จริงนางไม่ได้งามพิลาสอะไรขนาดนั้น
เพียงแต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ยิ่งเฉินซานชิวดื่มเหล้ามากเท่าไรก็ยิ่งชอบนางมากเท่านั้น
ตอนที่เฉินผิงอันยังไม่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลายครั้งที่ลงจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่าศัตรูก่อนหน้านี้ ขอแค่เฉินซานชิวเก็บกระบี่บนสนามรบของตัวเองก่อนเวลา ก็มักจะต้องวิ่งไปมองดูต่งปู้เต๋อที่เปิดศึกอยู่ไกลๆ มีครั้งหนึ่งที่สถานการณ์อันตราย เฉินซานชิวจึงลงมือช่วยเหลือ หลังจบเรื่องต่งปู้เต๋อเอ่ยขอบคุณ แต่กลับยังเอ่ยประโยคตรงไปตรงมาทิ่มแทงใจ เป็นครั้งที่สองที่ต่งปู้เต๋อบอกกล่าวกับเฉินซานชิวแล้ว นางบอกว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ ทั้งยังเป็นคนสนิทคุ้นเคย เป็นสหายกัน ช่วยเหลือบนสนามรบนั้นได้ แต่ขอร้องเฉินซานชิวว่าอย่ามีความคิดว่าจะครองคู่เป็นคู่บำเพ็ญตนบนภูเขากับนาง นางต่งปู้เต๋อแค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ขนลุกขนชันไปทั่วร่าง ครั้งนั้นเฉินซานชิวกลับไปถึงนคร ดื่มเหล้าไปแล้วระหว่างทางที่กลับบ้านก็เดินไปผลักกำแพงชนต้นไม้อีกรอบ
เฉินผิงอันบาดเจ็บไม่น้อย ไม่เพียงแต่เนื้อหนังเอ็นและกระดูกที่สภาพน่าเวทนาจนแทบไม่อาจทนมอง จุดที่ยุ่งยากที่สุดก็คือปราณกระบี่ที่กระบี่บินทั้งหลายของผู้ฝึกกระบี่ทิ้งเอาไว้ รวมไปถึงบาดแผลที่ได้จากวัตถุแห่งชะตาชีวิตด้านการโจมตีของเผ่าปีศาจจำนวนมาก
แต่ความมีชีวิตชีวากลับไม่ลดน้อยลงเลย ตรงกันข้ามกลับเพิ่มมากขึ้น นานมากแล้วที่หนิงเหยาไม่ได้เห็นเฉินผิงอันที่มีดวงตาใสกระจ่างขนาดนี้
ตอนนี้ฟ้าดินขนาดเล็กร่างกายมนุษย์ ลมปราณปนกันยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายไปเสียทั้งหมด มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หลี่เอ้อเคยบอกว่าเจิ้งต้าเฟิงผู้เป็นศิษย์น้องเคยไปพิศดูกรอบป้ายบนซุ้มก้ามปูแล้วเกิดแรงบันดาลใจ กลับมาจึงมาบอกให้เขาฟัง ความหมายคร่าวๆ ก็คือร่างมนุษย์ก็คือซากปรักสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง ดังนั้นสี่คำที่บอกว่าไม่แสวงหาสิ่งนอกกายก็ใช่ว่าจะเป็นถ้อยคำที่บอกให้ฝึกฝนจิตใจซึ่งเป็นสิ่งเลื่อนลอยไปเสียทั้งหมด
ดังนั้นตอนนี้ตัวของเฉินผิงอันเองจึงเป็นดั่งสนามประลองยุทธแห่งหนึ่ง เรื่องของการสาวดึงเส้นไหม รวมไปถึงเส้นทางการใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์มาสยบปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนนั้น เป็นสิ่งที่เฉินผิงอันพอจะถนัดอยู่พอดี
เก็บกระบี่ยาวที่ได้รับความเสียหายซึ่งไม่รู้ประวัติความเป็นมามาได้เล่มหนึ่ง เดิมทีตัวของกระบี่ยาวเล่มนี้ไม่ได้มีความลี้ลับมากนัก ก็แค่ว่าพอมาอยู่ในมือแล้วมีน้ำหนักมาก คาดว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้หลอมกระบี่คงจะไม่เลว พอจะมีค่าเป็นเงินเทพเซียนได้บ้าง
เมื่ออยู่ในยุทธภพของแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติทั้งหลายของแจกันสมบัติทวีป นี่ก็น่าจะถือเป็นศาสตราวุธเทพอย่างสมชื่อชิ้นหนึ่งแล้ว แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำก็ยังต้องกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน
เฉินผิงอันขี่กระบี่นำกลับทิศเหนือไปก่อน เลือกเส้นทางที่ขบวนทัพของเผ่าปีศาจมีเบาบางแล้วออกหมัดระหว่างทางเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ได้ตรงไปที่หัวกำแพงเมือง แต่ขี่กระบี่ไปยังจุด ‘ขีดแนวนอน’ ที่สูงที่สุดของอักษรคำว่าเหมิ่ง(猛)แล้วนั่งขัดสมาธิลงไป หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาสองสามอึก มองสถานการณ์บนสนามรบในระยะใกล้ครู่หนึ่ง ครั้นจึงสงบจิตใจบำรุงลมปราณพลางทำแผลอย่างคล่องแคล่วไปด้วย
อักษรใหญ่ทุกตัวที่สลักไว้บนกำแพงเมือง ขีดที่เป็นเส้นแนวนอนล้วนเป็นสถานที่ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมแทบทั้งหมด
แต่เมื่อมาถึงช่วงเวลาของศึกฝูงมดโจมตีเมือง สถานที่ตามธรรมชาติสำหรับผู้ฝึกกระบี่พวกนี้กลับมักจะกลายเป็นสถานที่แห่งความตายของพวกเขาเสมอ
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่สามารถฝึกตนอยู่ที่นี่ได้หลายปีจะต้องมีพลังพิฆาตสูงมาก อีกทั้งยังเชี่ยวชาญวิธีการรักษาตัวรอดมากที่สุด
ห่างจากข้างกายเฉินผิงอันไปไม่ไกลก็มีผู้ฝึกกระบี่วัยชราคนหนึ่งกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ อีกฝ่ายไม่ได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ เฉินผิงอันจึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวนการบำรุงกระบี่และฝึกตนอย่างสงบของอีกฝ่าย
ดูจากรูปโฉมของผู้เฒ่าก็น่าจะเป็นอินเฉินผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่อยู่ในหน้าที่หกของสมุดปิ่งเปิ่น อายุมากแล้ว แต่คอขวดยากจะฝ่าไปได้ จึงหยุดอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดมาโดยตลอด นิสัยดุร้าย คือคนโดดเดี่ยวที่ไร้ญาติขาดมิตร ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แทบทุกคนล้วนมีสหายสนิท หากไม่ยังมีชีวิตอยู่ก็รบตายไปแล้ว แต่สรุปก็คือต้องมีสหายอยู่บ้างสักสองสามคน แต่อินเฉินกลับไม่เคยมี ขอแค่อยู่ในสนามรบ จิตสังหารจะรุนแรงอย่างมาก อีกทั้งหากออกกระบี่ก็ชอบที่จะไม่แบ่งศัตรูหรือคนกันเอง ดังนั้นแม้จะสังหารปีศาจได้มาก แต่คุณความชอบที่สะสมมาได้กลับไม่เคยเป็นความชอบที่ยิ่งใหญ่ ยังสู้ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอายุน้อยหลายคนไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะคุณความชอบหลายอย่างของเขาล้วนถูกลบทิ้ง ชื่อเสียงของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าอินเฉินก็ยิ่งแย่ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครยินดีที่จะเข้าใกล้ตัวประหลาดที่แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ฝ่ายตัวเองก็ยังสังหารไปด้วย
ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นทุกคนที่อยู่บนสมุดเจี่ยเปิ่น ปิ่งเปิ่น ทุกหน้ากระดาษล้วนมีคำอธิบายที่ไม่เหมือนกันจากผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเขียนระบุเอาไว้ หากความคิดเห็นของผู้ฝึกกระบี่ในคฤหาสน์หลบร้อนมีมากเกินไป ก็จะแทรกกระดาษเพิ่มเข้าไปสองสามแผ่น
เกี่ยวกับอินเฉินที่ลำดับรายชื่ออยู่สูงอย่างถึงที่สุดในสมุดปิ่งเปิ่น กลับกลายเป็นว่ามีความเห็นอยู่น้อยนิด มีเพียงโฉวเหมียวกับหลินจวินปี้ที่เขียนกันแค่ไม่กี่ประโยค เป็นประโยคที่แตกต่างจากความเห็นของคนทั่วไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างสิ้นเชิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!