กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 651

คนทั้งสองคนที่ไม่รู้จักกัน บวกกับที่นิสัยของทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไป อันที่จริงจึงไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่อินเฉินไม่ชอบดื่มเหล้า ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็สามารถยกเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งให้อีกฝ่ายได้

อินเฉินพลันเอ่ยขึ้นว่า “ผู้ฝึกยุทธของใต้หล้าไพศาลล้วนฝึกหมัดกันแบบนี้หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “อันที่จริงวิธีการฝึกหมัดมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก ก็หนีไม่พ้นเรียนรู้ที่จะโดนซ้อมก่อน ต่างกันแค่ว่าพละกำลังมากหรือน้อยเท่านั้น”

อินเฉินถามอีก “เก็บเศษซากของผุๆ พังๆ มากมายขนาดนั้นต่อหน้าแม่หนูหนิง เจ้าก็กล้าทำด้วยหรือ?”

ถ้าพูดอย่างนี้ก็มีเรื่องให้คุยกันแล้ว

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ามีนิสัยแย่ๆ อยู่มากมาย ยังดีที่หนิงเหยาไม่เคยถือสา”

อินเฉินถาม “ข้าว่าเจ้าเองก็หน้าตาธรรมดา แค่พอจะไปวัดไปวาได้เท่านั้น จีบนางติดได้อย่างไร? ข้าแค่เคยได้ยินมาว่าแม่หนูหนิงไปเยือนใต้หล้าไพศาลมารอบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะไปเจอเรื่องร้ายแบบนี้ หากถามข้า เจ้าห่างชั้นกับเฉาสือผู้นั้นไกลนัก ไอ้เด็กนั่นข้าเคยตั้งใจไปเยือนหัวกำแพงเมืองเพื่อไปดูเขามารอบหนึ่ง หน้าตาก็ดี วิชาหมัดก็ช่าง เจ้าล้วนเทียบไม่ติดเลยสักอย่าง”

พูดแบบนี้ก็สนุกล่ะสิ ผู้อาวุโสท่านนี้กำลังชมเขาอยู่นะนี่

เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืน ขยับไปนั่งใกล้กับเทพเซียนผู้เฒ่าอินเฉิน กระดกเหล้าดื่มคำหนึ่งแล้วหัวเราะร่าเอ่ยว่า “วิชาหมัดมิอาจสู้ได้ ข้อนี้ข้ายอมรับ แต่เรื่องหน้าตา ข้าว่าไม่ต่างกันมากนัก ไม่ต่างกันมากนัก”

คิดไม่ถึงว่าอินเฉินจะเปลี่ยนสีหน้ากะทันหัน “ข้าจะบำรุงกระบี่แล้ว รบกวนใต้เท้าอิ่นกวานขยับไปหน่อย อย่ามาเกะกะลูกตาอยู่แถวนี้ เห็นแล้วรำคาญ”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง ครั้นจึงขี่กระบี่จากไป

อินเฉินวางสองมือกำเป็นหมัดไว้บนหัวเข่า คลี่ยิ้ม บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลแม่งล้วนน่าเตะกันทั้งนั้น

เฉินผิงอันไปที่กระท่อมบนหัวกำแพงเมือง ยิ้มเอ่ยทักทายเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยที่ช่วยสนับสนุนร้านเหล้าก่อน

เว่ยจิ้นยิ้มเอ่ย “ช่างเป็นหมัดหวังปาที่ดีจริงๆ เอาเป็นว่ามองดูแล้วร้ายกาจอย่างมาก มีมาดของเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานอยู่บ้าง ก็แค่บุกฝ่าขบวนรบช้าไปสักหน่อย”

ใช้สองหมัดต่อยให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างตาย คุณความชอบครั้งนี้เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ออกกระบี่แล้ว แน่นอนว่าไม่ถือว่าใหญ่ แต่กลับค่อนข้างจะหาได้ยาก

จะกลายเป็นกับแกล้มที่รสชาติไม่เลวจานหนึ่ง

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “คราวหน้าไปที่ร้านจะยกบะหมี่หยางชุนให้ท่านเปล่าๆ ชามหนึ่ง เอาไว้กินแก้เมา ยามเมาเหล้าจะได้พูดน้อยๆ หน่อย”

เว่ยจิ้นชี้ไปยังกระท่อมที่อยู่ด้านหลัง “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสอารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าพูดเก่งก็พูดให้มากๆ หน่อย”

เฉินผิงอันแยกกับเว่ยจิ้น เพิ่งจะพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงเมือง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็เดินออกมาจากในกระท่อม เอาสองมือไพล่หลังตามความเคยชิน “โอ้ เทพแห่งการต่อสู้เฉินมาเยือน นับเป็นเกียรติแก่กระท่อมน้อยๆ อนาถาหลังนี้ยิ่งนัก”

เฉินผิงอันประหลาดใจมาก เมื่อก่อนเวลาเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพูดคุย ไม่เคย ‘เกรงใจ’ กันขนาดนี้เลยนี่นา เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสในความทรงจำเป็นผู้มีคุณธรรมชื่อเสียงสูงส่ง ถนอมถ้อยคำราวกับทอง

เฉินชิงตูชำเลืองตามองเฉินผิงอัน อาการบาดเจ็บพอใช้ได้ ผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย แล้วจึงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ติดค้างความลับสองอย่างแก่เจ้า ตอนนี้สามารถบอกให้เจ้าฟังได้แล้ว”

เฉินผิงอันทำสีหน้าสำรวม

ผลคือความลับเล็กๆ ที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสพูดถึง แต่ละเรื่องกลับใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก

ข้อแรกนั้นเกี่ยวกับบ้านเกิดของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักโทษอาญาทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ในอดีตช่วงแรกเริ่มสุด นักโทษอาญายุคบรรพกาลกลับมีถึงครึ่งหนึ่งที่บ้านเกิดมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นมาจากใต้หล้าแห่งที่ห้าที่เพิ่งถูกบุกเบิกในตอนนี้

เฉินผิงอันตะลึงอึ้งค้าง

ถ้าหากพูดแบบนี้ ก็แสดงว่านักโทษอาญาครึ่งหนึ่งและลูกหลานรุ่นหลัง แท้จริงแล้วก็อยู่ที่บ้านเกิดของตัวเองมาตั้งแต่แรกเริ่มน่ะสิ?

ดังนั้นเกิดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ล้วนอยู่ที่บ้านเกิด?

ส่วนลูกหลานของนักโทษอาญาอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ หากคิดจะเป็นใบไม้ร่วงที่กลับคืนสู่ราก ก็จะเกี่ยวข้องกับใต้หล้าแห่งที่ห้า? ขอแค่สามารถมีชีวิตอยู่รอดไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็มีโอกาสได้หวนคืนสู่บ้านเกิด?

ความลับข้อที่สองใหญ่ยิ่งกว่าเสียอีก

คำกล่าวของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสช่างชวนให้คนตะลึงพรึงเพริด เส้นทางการเดินขึ้นสวรรค์ของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แท้จริงแล้วก็คือเส้นทางของการกลายเป็นเทพ ซึ่งเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันไปถึงผู้ฝึกตนสำนักการทหารด้วย

แม้ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันจะพอมีการคาดเดาบางอย่าง แต่รอกระทั่งเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอ่ยออกมาจากปากตัวเอง คราวนี้เขาจึงเรียบเรียงเส้นสายหลายอย่างได้ชัดเจนทันใด ยกตัวอย่างเช่นไม่แปลกใจอีกแล้วว่าเหตุใดบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธถึงได้มีขอบเขตร่างทอง? และสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำบนโลกก็ล้วนต้องสร้างร่างทองร่างหนึ่งขึ้นมา ให้เป็นรากฐานของมหามรรคา ไม่พูดถึงวิญญาณวีรบุรุษที่กลายเป็นเทพ พูดถึงแค่เรื่องที่คนตัวเป็นๆ ยืนกลายเป็นเทพ ซึ่งคล้ายคลึงกับประสบการณ์ที่หยางฮวาเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูประสบพบเจอมา ‘เลือดเนื้อหดหายโครงกระดูกตั้งตระหง่าน’ ก็คือเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่าน อันที่จริงนี่ก็เป็นวิธีการที่ไม่ค่อยต่างจากการหล่อหลอมเส้นเอ็นและกระดูกของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสักเท่าไรจริงๆ

เฉินชิงตูไม่ได้บอกอย่างกระจ่างแจ้ง เพราะถึงอย่างไรเจ้าเด็กนี่ก็ชอบคิด วันหน้ายังมีเวลาอีกมากให้เขาไปใคร่ครวญถึงเนื้อหน้าบนหน้าหนังสือช่วงแรกๆ ของปฏิทินเหลืองเล่มนี้

พาเฉินผิงอันก้าวเดินไปด้วยกันช้าๆ ในเมื่อเริ่มเดินเล่นแล้ว เดินแค่กี่ก้าวแล้วกลับก็คงไม่สมควร ดังนั้นผู้เฒ่าจึงพูดมากขึ้นอีกนิด “นับแต่โบราณมาเทพเซียนมีความแตกต่าง เป็นเทพก่อนแล้วค่อยเป็นเซียน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? หากอิงตามคำกล่าวในทุกวันนี้ วิญญาณของคน ตายไปไม่แล้วไม่สลายหายไป ก็จะกลายเป็นเทพ เสวยสุขอยู่กับควันธูปที่โลกมนุษย์บูชา ไม่จำเป็นต้องฝึกตนก็สามารถสร้างความมั่นคงให้กับร่างทองได้”

“ไม่ตายแล้วกลายเป็นเซียน ก็คือผู้ฝึกลมปราณที่นอนอยู่ในโปงผ้าห่มบนภูเขาของทุกวันนี้แล้ว บัณฑิตเขียนตำราประวัติศาสตร์ มักจะเดี๋ยวลดเดี๋ยวเพิ่ม นานวันเข้าจึงอยู่ห่างจากความเป็นจริงไปไกลมากขึ้นทุกที วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสก็สามารถไปเยือนสถานศึกษาใหญ่ทั้งสามแห่งดูได้ ได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่งแล้ว ก็แค่เปิดตำราเก่าๆ ไม่มีค่าแค่ไม่กี่เล่ม หน้าตาน้อยนิดแค่นี้ยังพอมีอยู่บ้าง”

คำกล่าวเหล่านี้ เฉินผิงอันแค่ฟังแล้วก็จำไว้เท่านั้น เพราะตอนนี้มีความหมายไม่มากนัก หากจะพูดให้เป็นรูปธรรมสักหน่อย ก็สามารถบอกได้ว่ามันไม่มีความหมายอะไรเลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!