กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 656

สรุปบท บทที่ 656.3 จุดสูงไม่มีใคร: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 656.3 จุดสูงไม่มีใคร – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 656.3 จุดสูงไม่มีใคร ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

โจวหมี่ลี่เอ่ยเสียงเบา “เผยเฉียน ไปถึงอุตรกุรุทวีปอย่าลืมไปดูทะเลสาบคนใบ้ให้ข้าสักครั้งนะ”

เผยเฉียนถาม “เจ้าไม่อยากไปด้วยกันหรือ?”

โจวหมี่ลี่ส่ายหน้า “ที่นั่นข้าไม่มีเพื่อนนี่นา”

เผยเฉียนลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย “หัวสมองนี้ของเจ้า เวลาเจอเรื่องเล็กชอบเลอะเลือน แต่เวลาเจอเรื่องใหญ่กลับฉลาดเฉลียวมากเลยนะ”

อยู่ดีๆ โจวหมี่ลี่ก็ทอดถอนใจออกมา

เผยเฉียนถาม “ทำไม มีเรื่องในใจหรือ?”

โจวหมี่ลี่ส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะว่าไม่มีเรื่องในใจที่ชวนหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย ก็เลยกลุ้มไงล่ะ”

เผยเฉียนเขกมะเหงกลงไป

โจวหมี่ลี่แสร้งทำเป็นเจ็บ กุมหัวร้องโอดโอย กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนหลังคาอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เผยเฉียนนอนนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง ส่งหมัดขึ้นไปยังม่านฟ้าเบาๆ พึมพำกับตัวเองว่า “ดูท่าคงต้องสูงกว่านี้อีกสักหน่อย”

……

กู้ช่านกับหลิ่วชื่อเฉิงพาไฉ่ป๋อฝูที่ขอบเขตถดถอยสองขั้นเดินทางขึ้นเหนือไปด้วยกัน

หลิ่วชื่อเฉิงหยุดอยู่ที่ริมอาณาเขตของสองเขตการปกครองอย่างที่บอกไว้จริงๆ

กู้ช่านจึงเดินทางต่อไปเพียงลำพัง

หลิ่วชื่อเฉิงกับน้องหลงป๋อเดินเล่นไปในนครที่เจริญรุ่งเรืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง หลิ่วชื่อเฉิงมาเพื่อชมสาวงามล่างภูเขา ส่วนไฉ่ป๋อฝูที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มผมขาวกลับไม่มีเวลามาร่ายเวทอำพรางตาอะไรแล้ว ตลอดทางมานี้เขาต้องคอยรักษาบาดแผลอยู่ตลอด ช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่ทันระวังพูดประโยคหนึ่งผิดไปก็ถูกหลิ่วชื่อเฉิงตบมาหนึ่งฝ่ามือ แม้แต่ขอบเขตประตูมังกรก็เกือบจะรักษาไว้ไม่อยู่ ยังมีกู้ช่านที่ราวกับว่าเตรียมพร้อมขุดหลุมฝังคนอยู่ตลอดเวลา ผู้ฝึกตนอิสระคอขวดก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ หลงป๋อที่เคยงัดข้อกับบุคคลบนยอดเขามากมายของแจกันสมบัติทวีป ช่วงที่ผ่านมานี้ก็ราวกับว่าได้กลับคืนไปยังช่วงเวลาอันน่าเวทนาของตอนที่ยังเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างอีกครั้ง

ตอนที่หลิ่วชื่อเฉิงกลับโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนไปพร้อมกับไฉ่ป๋อฝู หลิ่วชื่อเฉิงที่เดินอาดๆ พลันทำท่าเหมือนถูกฟ้าผ่า

เขาบอกให้ไฉ่ป๋อฝูไสหัวไปไกลๆ

ไฉ่ป๋อฝูที่ต้องอดทนข่มกลั้นมาเป็นอันดับหนึ่งจึงรีบออกไปเดินเล่นข้างนอกเพียงลำพัง แม้แต่ในโรงเตี๊ยมก็ไม่กล้าอยู่

หลิ่วชื่อเฉิงถึงขั้นเก็บเอาชุดคลุมเต๋าสีชมพูนั้นลงไปโดยตรง ได้แต่ปรากฎตัวด้วยรูปลักษณ์ของบัณฑิตสวมชุดลัทธิขงจื๊อซึ่งเป็นรูปลักษณ์เดิมของเจ้าของเรือนกายนี้ แล้วเคาะประตูเบาๆ

ในลานบ้านมีคนสองคนนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ พวกเขาต่างก็ไม่ได้สนใจหลิ่วชื่อเฉิง

หลิ่วชื่อเฉิงจึงแข็งใจผลักประตูบ้านเปิดเอง เดินไปหยุดอยู่ด้านหลังบุรุษชุดขาวคนหนึ่ง ก้มหน้าตามองจมูก จมูกมองใจ

คนที่เล่นหมากล้อมกับบุรุษชุดขาวคือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวที่หน้าตาเคร่งขรึมเข้มงวด

บุรุษชุดขาวยิ้มกล่าว “ชุยฉาน ฝีมือครั้งนี้ไม่เลว หากกู้ช่านได้กลายเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าก็จะไม่ถือสาที่เจ้าทำเรื่องเกินความจำเป็นด้วยการช่วยให้เจ้าเศษสวะผู้นี้หลุดจากพันธนาการ แต่หากกลายเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า ข้าก็จะตอบตกลงกับเรื่องที่เจ้าขอร้องมา”

ชุยฉานพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

ชุยฉานวางหมากที่คีบอยู่ลงไปก่อน แต่กลับไม่ได้วางลงบนกระดาน เขาจงใจวางไว้เหนือกระดาน ทำให้มันลอยค้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้น

หลิ่วชื่อเฉิงกลั้นหายใจทำสมาธิ

บุรุษชุดขาวไม่มองกระดานหมาก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ช่วยนครจักรพรรดิขาวหาตัวอ่อนที่ดีมาได้คนหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยให้ศิษย์พี่เรียกคนผู้นั้นมาเล่นหมากล้อมด้วยได้ ข้าควรจะขอบคุณเจ้าอย่างไร? มิน่าเล่าปีนั้นอาจารย์ถึงบอกกับข้าว่า การที่เลือกเจ้าเป็นลูกศิษย์เพราะมองเห็นความสามารถในการแหย่รังแตน (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย) ของศิษย์น้องเช่นเจ้า จะได้ทำให้คนเป็นศิษย์พี่อย่างข้าไม่ต้องเบื่อหน่ายมากเกินไป”

หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกปากคอแห้งผากเล็กน้อย สีหน้าแข็งค้าง

บุรุษชุดขาวลุกขึ้นยืน “เลิกเล่นเถอะ หมากตานี้เดิมทีก็เป็นหมากทำลายสถานการณ์ที่คนมีความสามารถต้องเหนื่อยมากกว่าคนทั่วไป ในเมื่อเป็นสถานการณ์ยากลำบากที่เจ้าชุยฉานรนหาที่เองก็อย่าหวังจะลากข้าลงน้ำนอกกระดานไปด้วย ราชวงศ์ต้าหลีแห่งหนึ่งมิอาจแบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาได้ไหว”

ชุยฉานถอนหายใจ ใส่เม็ดหมากกลับไปในโถ ลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ไปส่งแล้ว”

บุรุษชุดขาวพยักหน้ารับ แล้วร่างก็หายวับไป

หลิ่วชื่อเฉิงถึงได้กล้ายกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

ชุยฉานเก็บโถเก็บเม็ดหมากและกระดานหมากกลับมา ชำเลืองตามองหลิ่วชื่อเฉิง ยิ้มเอ่ย “ความสามารถในการรนหาที่ตายของเจ้า แม้แต่ข้าก็ยังต้องละอายใจที่สู้ไม่ได้”

หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเจื่อน “ไหนเลยจะรู้ว่าข้าจะต้องเจอกับหนึ่งในหมื่นติดต่อกันมากมายขนาดนั้น”

ชุยฉานยิ้มกล่าว “ไม่มาก แค่สามครั้งเท่านั้น”

หลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกจนใจอย่างแท้จริง

ชุยฉานพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ตายไปแล้วก็ไม่ต้องตายอีกแล้ว และยิ่งไม่ต้องกังวลถึงเรื่องไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้น”

หลิ่วชื่อเฉิงกุมมือประสาน เอ่ย “ยินดีกับท่านราชครูที่ฝ่าทะลุขอบเขต”

ชุยฉานกล่าว “อวยพรให้เฒ่าอายุยืนที่มีชีวิตอยู่มาเก้าสิบเก้าปีมีชีวิตยืนยาวร้อยปี ก็ยังเป็นการรนหาที่ตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ”

หลิ่วชื่อเฉิงเริ่มพูดจาเล่นแง่ “มีศิษย์พี่ของข้าอยู่ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”

ชุยฉานเอ่ย “ให้ศิษย์พี่ของเจ้าฆ่าเจ้า ก็แค่รอคำเดียวจากข้าเท่านั้น”

หลิ่วชื่อเฉิงรีบกุมมือคารวะอีกครั้งทันที พูดอย่างน่าสงสารว่า “ขอราชครูโปรดใช้เหตุผลของบัณฑิตสักหน่อยเถิด ตอนนี้ข้ายินดีจะฟังเหตุผลที่สุดแล้ว”

ชุยฉานกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ฟังคำแนะนำจากข้าสักคำ กู้ช่านไปถึงนครจักรพรรดิขาว ไม่ว่าในอนาคตเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าแค่ปกป้องเขาไม่ให้ตายก็พอแล้ว อย่าได้ไม่ทำ แล้วก็อย่าทำอะไรที่เกินความจำเป็น”

หลิ่วชื่อเฉิงยังคิดจะสอบถามความลับสวรรค์จากบุคคลผู้สูงส่งที่แท้จริงท่านนี้ แต่ร่างของชุยฉานกลับหายไปแล้ว

หลิ่วชื่อเฉิงทอดถอนใจไม่หยุด

สถานที่ตั้งของสำนักศึกษาซานหยาเก่าในเมืองหลวงต้าหลีถูกทางราชสำนักปิดไว้เป็นพื้นที่ต้องห้ามมานานหลายปี บรรยากาศเงียบวังเวง พืชหญ้าขึ้นรกชัฏ เป็นที่อยู่ของจิ้งจอกและกระต่าย

รุ้งยาวสีขาวหิมะเส้นหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้าอย่างเปิดเผย มองเมินค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของต้าหลีไปอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่อริยะของลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าแห่งนี้ก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา

หลังจากบุรุษชุดขาวปรากฏตัวก็ชำเลืองตามองป๋ายอวี้จิงจำลองที่คนในนั้นกระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือ แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับคำสั่งลับบางอย่าง ป๋ายอวี้จิงที่เปิดใช้ค่ายกลเรียบร้อยจึงสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว

บุรุษที่แท้จริงแล้วไม่ค่อยชอบออกจากนครจักรพรรดิขาวผู้นี้เดินหน้าไปอย่างเนิบช้า พลางพูดทอดถอนใจว่า “ต้นกล้าเติบโตใต้บุปผา เข้าใจผิดคิดว่าเป็นหญ้าร้าย”

……

ก่อนที่กู้ช่านจะหวนกลับคืนบ้านเกิด

มีคู่นายบ่าวสองคู่รวมแล้วสี่คน สามคนในนั้นก็ถือว่าได้กลับบ้านเกิดเหมือนกัน

ซ่งจี๋ซินอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีและจื้อกุยสาวใช้แห่งตรอกหนีผิง

เป็นเหตุให้ซ่งจี๋ซินพลาดบัลลังก์มังกร การที่เขาได้เป็นเพียงอ๋องไม่ใช่ฮ่องเต้ นี่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

ในความมืดที่มองไม่เห็นย่อมมีเจตนารมณ์สวรรค์และโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาอย่างแน่นอนดำรงอยู่

และตอนนั้นจื้อกุยแห่งตรอกหนีผิงที่เจอกับลู่เฉินซึ่งตั้งใจเดินทางมาหานาง ในคำพูดของจื้อกุยถึงได้ยกเอาเฉินผิงอันมาบังภัยตามจิตใต้สำนึก หาใช่ซ่งจี๋ซินไม่

จื้อกุยยืนอยู่ที่เดิม ทอดสายตามองภูเขาเจินจูลูกนั้น เงียบงันอยู่นาน

ซ่งจี๋ซินเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนาง

จื้อกุยใช้เสียงในใจบอกเรื่องวงในพวกนี้แก่เขา

หากยังถ่วงเวลาต่อไปคงไม่มีความหมายสักเท่าไรแล้ว ไม่แน่ว่านางกับซ่งจี๋ซินอาจเปลี่ยนจากมิตรมาเป็นศัตรู

คิดไม่ถึงว่าซ่งจี๋ซินจะยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ถือสา”

หวังจูกะพริบตาปริบๆ “ข้าก็ไม่ถือสา”

ซ่งจี๋ซินหลุดหัวเราะ แต่จากนั้นหัวใจก็พลันปวดแปลบ

……

ใต้หล้าแห่งที่ห้า

ซิ่วไฉ่เฒ่าอยู่บนทะเลเมฆ มองภาพขุนเขาสายน้ำอันงดงามยิ่งใหญ่แล้วจุ๊ปากพูด “อาจารย์ยากจนย้ายบ้าน ย้ายหนังสือเหมือนย้ายภูเขา บนชั้นวางมีตำราถึงจะร่ำรวยนะ”

บัณฑิตที่ยืนอยู่ด้านข้างสองมือว่างเปล่า ไม่ได้มีกระบี่ยาวอยู่ในมือ เพราะใจกลางฟ้าดินที่ห่างไปไกลมากมีแสงกระบี่เส้นหนึ่งคอยค้ำยันฟ้าดินอยู่แล้ว

บัณฑิตเอ่ย “สายน้ำภูเขาที่ยิ่งใหญ่งดงาม ต้องมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นไม่หยุดอีกแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “อริยะอยู่ร่วมกับวัตถุไม่ทำร้ายวัตถุ ผู้ที่ไม่ทำร้ายวัตถุ ย่อมไม่ทำร้ายคน”

บัณฑิตส่ายหน้า “อริยะที่เป็นเช่นนี้จะมีได้สักกี่คน?”

ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ส่ายหน้า “จุดที่สายตาข้ามองไปเห็น ทุกหนทุกแห่งกลับมีแต่อริยะ นี่จึงแสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าสูงกว่า ทว่าวิสัยทัศน์การมองโลกกลับต่ำกว่า”

บัณฑิตพูดไม่ออก ตอนนี้ในใต้หล้าแห่งนี้ก็มีพวกเขาอยู่กันแค่สองคน คำพูดใหญ่โตเช่นนี้ไม่ใช่คำพูดเท็จแน่นอน สมกับเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่หากไม่ฉกฉวยความได้เปรียบก็เสียเปล่าจริงๆ

คำพูดประโยคนี้ซิ่วไฉเฒ่าเป็นคนพูดเอง หาใช่คนบนโลกพูดเสียดสีเขาไม่

ซิ่วไฉเฒ่าเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ทำท่ากระฉับกระเฉง “ในเมื่ออยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่าเรื่องลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าให้เจ้าฟังดีไหม?”

บัณฑิตสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เตรียมจะพูดเรื่องเดิมวนซ้ำอีกแล้ว ใช่ว่าตนไม่มีความอดทน แต่เป็นเพราะต่อให้จะอดทนดีเยี่ยมแค่ไหนก็มิอาจทนต่อการพร่ำพูดเรื่องเดิมรอบหนึ่งทุกๆ สามวันห้าวันของซิ่วไฉเฒ่าได้ เขาจึงหันหน้ามาเอ่ยอย่างระอาใจว่า “อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลยจะได้ไหม?”

ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย “นี่มันเรื่องน่าเสียดายในชีวิตเลยนะ!”

บัณฑิตผ่อนลมหายใจโล่งอก

ออกกระบี่ยังไม่เหนื่อยใจเท่าฟังซิ่วไฉเฒ่าพร่ำพูดอยู่ข้างหูเลย

จู่ๆ ซิ่วไฉเฒ่าก็เอ่ยว่า “ข้าไม่พูด เจ้าเป็นคนพูด? ความคิดนี้แปลกใหม่มากเลยนะ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!