ตอน บทที่ 660.2 ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ตรงกลาง จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 660.2 ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ตรงกลาง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ห้องหนังสือของจวนอ๋องเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่า
บนโต๊ะหนังสือวางตำราประวัติศาสตร์ระบบการสืบสันตติวงศ์ของแต่ละยุคสมัย ตำรารวมเล่มร้อยแก้วบทกวี หนังสือภาพ ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลเซียนชิ้นใดประดับตกแต่ง
ด้านหลังโต๊ะวางฉากกั้นไว้สี่อัน ฉากกั้นอันหนึ่งเป็นภาพแผนที่ของต้าหลีในอดีต อีกภาพหนึ่งเป็นแผนที่ของแจกันสมบัติทวีป ที่เหลืออีกสองอันแบ่งออกเป็นภาพการกระจายตัวของสำนักและพรรคตระกูลเซียนในใบถงทวีปและอุตรกุรุทวีป
ซ่งจี๋ซินที่เพิ่งจะเดินทางจากบ้านเกิดที่อยู่ทางทิศเหนือกลับมายังพื้นที่ศักดินาทางทิศใต้นั่งอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง ขยับเก้าอี้ให้หันหน้าเข้าหาฉากกั้นทั้งสี่
มือสองข้างของซ่งจี๋ซินจับประคองกาหย่างซินอันเล็กชิ้นหนึ่งเอาไว้ ก้นกาเล็กสลักสองคำว่า ‘ซานเซียว’
ซ่งจี๋ซินหมุนกาเล็กในมือเบาๆ ของชิ้นนี้เป็นของที่สูญเสียไปแล้วได้กลับคืนมา ถือได้ว่าวัตถุกลับคืนสู่เจ้าของ เพียงแต่ว่าวิธีการที่ใช้กลับไม่น่าดูนัก แต่ซ่งจี๋ซินไม่สนใจสักนิดว่าฝูหนันหัวคิดอะไรอยู่
ปีนั้นฝูหนันหัวเข้ามาในถ้ำสวรรค์หลีจู ใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงกับหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณหนึ่งชิ้นซื้อกาเล็กอันนี้ไปจากมือของซ่งจี๋ซิน การค้าครั้งนั้น แท้จริงแล้วนับว่ายุติธรรม แน่นอนว่าฝูหนันหัวยังอาศัยความสามารถของตัวเองเก็บตกเอาของอย่างอื่นที่ไม่เล็กไปได้อีก ไม่เหมือนกับสมบัติอาคมมากมายบนภูเขาที่ดีแต่ระดับขั้นสูงเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกตนเซียนดินแล้วกลับเป็นวัตถุที่ไม่ต่างจากซี่โครงไก่ สมบัติล้ำค่าหายากที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดเช่นกาหย่างซินนี้เหมาะให้เซียนดินฝึกฝนจิตใจ บำรุงช่องโพรงลมปราณมากที่สุด ไม่เพียงเท่านี้ ในกายังมีฟ้าดินขนาดเล็กอีกแห่ง ถือเป็นวัตถุฟางชุ่นหนึ่งชิ้น ดังนั้นหลังจากที่ฝูหนันหัวได้มาครองก็ขอให้ยอดฝีมือช่วยตรวจสอบให้ เขาชื่นชอบมันมากจึงรักและทะนุถนอมมากเป็นพิเศษ
เมื่อวานฝูหนันหัวได้มา ‘พูดคุยเรื่องวันวาน’ กับอ๋องเจ้าแคว้นหนุ่ม ซ่งจี๋ซินจึงพูดถึงกาเล็กใบนี้ วันนี้ฝูหนันหัวเลยให้คนนำมาส่งให้
ซ่งจี๋ซินไม่ได้ละโมบอยากได้กาหย่างซินใบนี้จริงๆ แต่เพราะครั้งนี้ได้กลับไปเยือนบ้านเกิดทำให้อ๋องเจ้าเมืองหนุ่มที่มองดูเหมือนตั้งใจปกครองบ้านเมือง แต่แท้จริงแล้วทำงานอย่างถูไถขอไปที เปลี่ยนจากซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงที่ไม่หวังว่าจะมีคุณความชอบ แต่หวังเพียงว่าจะไม่มีความผิดพลาดเกิดปณิธานอย่างหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็เริ่มเรียกตัวเองว่า ‘ซ่งมู่’ อ๋องเจ้าเมืองต้าหลีอย่างภาคภูมิใจ ถ้าเช่นนั้นเมื่อได้กาเล็กใบนี้กลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง ซ่งจี๋ซินคลายมือ ชั่งน้ำหนักเบาๆ นี่ก็คือน้ำหนักของกองกำลังด้านล่างภูเขา
นับแต่โบราณมาตระกูลเซียนก็ดูแคลนอ๋องและโหวมาโดยตลอด
แต่ราชสำนักต้าหลีในทุกวันนี้กลับไม่เหมือนกัน พวกเขาสยบกำราบ งัดข้อและคุกคามจนกองกำลังบนภูเขาทั้งหมดในหนึ่งทวีปหายใจไม่ออกกันมานานแล้ว ต่อให้เจ้าจะเป็นสำนักตัวอักษรจงอย่างสำนักโองการเทพ สำนักเจินจิ้ง หรือเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีที่พึ่งเป็นทวีปอื่น แต่แล้วจะอย่างไรเล่า เมื่อมาอยู่ในห้องประชุมเล็กๆ อย่างห้องทรงพระอักษรของ ‘ซ่งเหอ’ ฮ่องเต้หนุ่ม ก็ยังต้องเรียกตัวเองว่าเป็นขุนนางครึ่งตัว จะทำอะไรต้องคอยมองสีหน้าคนอื่น จะนั่งจะยืนก็ต้องทำตามกฎอย่างว่าง่าย
ซ่งจี๋ซินโยนกาใบเล็กที่มีมูลค่าควรเมืองขึ้นลงใช้โดยสองมือสลับรับเอาไว้
บนโต๊ะด้านหลังมีเอกสารลับอยู่สองฉบับ ล้วนเป็นรายงานที่ซ่งจี๋ซินขอให้ถงเหรินเผิ่งลู่ไถรวบรวมมาให้ ซ่งจี๋ซินไม่เชื่อใจสายลับของศาลาคลื่นมรกตเลยแม้แต่น้อย เพราะเจ้าของศาลาคลื่นมรกตคนแรกสุดก็คือเหนียงเนียงแห่งต้าหลี ไทเฮาในทุกวันนี้ ยิ่งเป็นมารดาแท้ๆ ของซ่งจี๋ซิน แม้ว่าทุกวันนี้ทั้งศาลาคลื่นมรกตและหนิวหม่าหลันจะเป็นของใต้เท้าราชครูทั้งหมด แต่ซ่งจี๋ซินก็รู้ดีว่า คนเก่าแก่หลายคนของศาลาคลื่นมรกตที่ยังไม่ถูกไล่ออกล้วนรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไร ระหว่างฮ่องเต้ซ่งเหอกับไทเฮา และซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองที่มีกองกำลังน้อยนิดเช่นเขา พวกเขาควรจะเลือกและสละอะไร ขนาดคนโง่ก็ยังรู้
แต่เผิ่งลู่ไถกลับเป็นองค์กรสายลับที่มีเฉพาะในกองทัพของต้าหลี รับฟังคำสั่งจากซ่งจ่างจิ้งเสด็จอาของเขาเพียงคนเดียว แต่ไหนแต่ไรมาแม้แต่ราชครูชุยฉานก็ยังไม่เคยยื่นมือเข้าแทรก
ซ่งจี๋ซินหันหน้ามาชำเลืองตามองเอกสารสองฉบับนั้น ฉบับหนึ่งเป็นรายชื่อของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของอุตรกุรุทวีป บันทึกไว้ละเอียดมาก อีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกับ ‘เด็กหนุ่มชุยตงซาน’ เขียนไว้อย่างกระชับสั้นได้ใจความอย่างยิ่ง
ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ หลี่อวี๋แห่งสายไท่เสียตายจากโลกนี้ไปแล้ว หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน นอกจากนี้ยังมีป๋ายอวิ๋นเถาซานอีกสองสาย โชคดีที่หนึ่งในนั้นมีแค่ขอบเขตก่อกำเนิด ไม่อย่างนั้นสายของฮว่อหลงเจินเหรินนี้ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
เทียนจวินเซี่ยสือ
สำนักพีหมาแห่งชายหาดโครงกระดูก เจ้าสำนักจู๋เฉวียน บรรพจารย์สองท่าน
นครจิงกวานของหุบเขาผีร้าย เกาเฉิง
อารามและวัดสองแห่งในป่าท้อที่หลบๆ ซ่อนๆ สรุปแล้วรากฐานของพวกเขาเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้
ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่ ได้เดินทางไกลไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
สำนักกระบี่ไท่ฮุย หันไหวจื่อเจ้าสำนัก บรรพจารย์หวงถง หลิวจิ่งหลงเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนใหม่ และหันไหวจื่อก็อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานหลายปีแล้ว
ป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งแห่งพื้นที่ทางทิศเหนือ อาจารย์ผู้มีพระคุณของสวี่เสวี่ยน
เจ้าสำนักฉงหลิน
ตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน เจ้าประมุขสกุลหยาง
เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียง
ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตเซียนเหรินที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย หวงจวีหรัน
นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่ไม่ต่างจากวัดและอารามในป่าดอกท้อสักเท่าไรอยู่อีกมาก รวมไปถึงยอดฝีมือที่ปิดด่านเก็บตัวอย่างสันโดษไม่เผยกายบนโลกบ่อยนัก รายงานของราชสำนักต้าหลียากที่จะแทรกซึมเข้าไปถึงพื้นที่ใจกลางของอุตรกุรุทวีปเพื่อไปสืบหาความจริงที่ถูกฝุ่นเกาะมานานหลายปีพวกนั้น และยังมีประวัติศาสตร์ลับบางอย่างที่อยู่ในการเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเซียนกระบี่ทุกคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว
ส่วนชุยตงซานผู้นั้น เผิ่งลู่ไถเขียนใส่กระดาษมาแค่แผ่นเดียว
เส้นสายตาของนางสอดส่ายไปที่อื่นต่อ เพียงแต่ว่าไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์ออกมา
บุคคลในแจกันสมบัติทวีปที่ทุกวันนี้สามารถทำให้นางเกิดใจกริ่งเกรงได้ มีน้อยจนนับนิ้วได้ และที่นั่นก็มีอยู่คนหนึ่งพอดี อีกทั้งยังเป็นคนที่นางไม่เต็มใจจะไปมีเรื่องด้วยที่สุด
หลังจากที่ซ่งจี๋ซินเดินห่างจากห้องหนังสือมาไกลแล้ว
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งก็เดินอ้อมออกมาจากหลังฉากบังตา ตรงมุมห้องยังมีเด็กชายหน้าตาทึ่มทื่อที่ไม่ต้องหายใจมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
มือข้างหนึ่งของชุยตงซานถือพัดพับ เอาเคาะหลังตัวเองเบาๆ มือข้างหนึ่งพลิกหมุนข้อมือ เสกพู่กันด้ามหนึ่งออกมาแล้วเริ่มวาดวงกลมลงไปบนฉากบังตา ช่วยเขียนชื่อของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่เป็นรากฐานของอุตรกุรุทวีปเพิ่มเข้าไปบนฉากกั้น จากนั้นก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ อ่านกระดาษสามแผ่นที่เขียนเกี่ยวกับตัวเอง อันดับแรกก็เขียนรายละเอียดเสริมเข้าไปในหัวข้อสมบัติอาคมจำนวนมากที่ไม่มีชื่อบอกแน่ชัดบนกระดาษสองแผ่นของกรมอาญา สุดท้ายเขียนประโยคหนึ่งลงไปบนที่ว่างบนกระดาษของหนิวหม่าหลันว่า ชุยฉานเป็นตะพาบเฒ่า ไม่เชื่อก็ลองไปถามเขาดู
เขียนเสร็จเขาก็ค่อนข้างจะพึงพอใจ
กวักมือเรียกให้น้องเกามาข้างกายตน ชุยตงซานค้อมเอว วาดรูปลงบนใบหน้าของเด็กชาย
จากนั้นก็ยิ้มบางๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้น “หม่าขู่เสวียน เสวยสุขกับข้อดีของการไม่ทำอะไรตามกฎเกณฑ์มาจนชิน สักวันหนึ่งเจ้าต้องเจอความยากลำบากอย่างใหญ่หลวง”
หม่าขู่เสวียนปรากฏตัว เอนตัวพิงกรอบประตูของห้องหนังสือ “ความลำบากใหญ่แค่ไหนล่ะ? ร่างดับมรรคาสิ้นสูญ? ผลกรรมพัวพัน? ใต้เท้าราชครู คนอื่นไม่รู้ก็ช่างเถิด เพราะเป็นกบใต้บ่อที่กระจุกตัวอยู่ในน้ำตื้น แต่ท่านจะไม่รู้หรือว่าข้าไม่กลัวเรื่องพวกนี้มากที่สุด?”
ชุยตงซานยังคงวาดรูปเต่าลงบนใบหน้าของน้องเกา “ระหว่างที่เดินทางมาข้าเจอบัณฑิตที่เด็ดเดี่ยวผึ่งผายคนหนึ่ง นับว่าพอจะมีความสามารถในการมองใจคนและสถานการณ์ใหญ่อยู่บ้าง ยามเผชิญหน้ากับปลายดาบปลายหอกของกองทัพม้าเหล็กที่ชี้ใส่ ก็แสร้งทำเป็นกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ยินดีจะสละชีพเพื่อบ้านเมือง เกือบจะทำให้เขาหลอกเอาชื่อเสียงที่ดีงามไปได้แล้วจริงๆ ข้าก็เลยสั่งให้คนเก็บดาบใส่ฝัก เพียงแค่ใช้ด้ามดาบทุบนิ้วมือข้างหนึ่งของบัณฑิตผู้นั้นให้หัก เอ่ยกับท่านขุนนางผู้นั้นสองสามคำว่า คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ไม่ได้มีแค่สองเรื่องอย่างเป็นตายสักหน่อย ระหว่างเป็นกับตายยังมีหายนะอยู่อีกมากมาย ขอแค่อดทนจนผ่านความเจ็บปวดที่นิ้วหักมาได้ก็วางใจได้เลย ข้ารับรองว่าชีวิตนี้เขาจะต้องได้เป็นผู้นำวงการการประพันธ์ในแคว้นเล็กใต้อาณัติ พอตายไปก็ยังได้รับอวยยศว่าเหวินเจิน (บรรดาศักดิ์ที่ตั้งย้อนหลังให้คนตายสำหรับขุนนางฝ่ายบุ๋น ซึ่งยศเหวินเจินนี้นับเป็นยศสูงสุด) แต่ผลเป็นอย่างไรเจ้าลองเดาดูสิ?”
หม่าขู่เสวียนขมวดคิ้ว
ชุยตงซานวาดเสร็จก็พยักหน้า ไม่ว่าตรงจุดไหนฝีมือการวาดของเขาก็ราวกับมีเทพคอยช่วยเหลือ ไม่เสียแรงที่เป็นการแสดงออกของทักษะตลอดชีวิต แล้วถึงได้หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าตัวเองไม่กลัวกายดับมรรคาสลาย ข้าเชื่อ เพียงแต่กระทั่งความร้ายกาจของการถูกผลกรรมตามติดเป็นอย่างไรเจ้าก็ยังไม่รู้ กบใต้บ่อจะมีคุณสมบัติมาบอกว่าตัวเองกลัวหรือไม่กลัวกับข้าได้อย่างไร? พูดถึงแค่เรื่องของหม่าหลันฮวา ใครเป็นคนจัดการ? ไม่ใช่ว่าข้าข่มขู่เจ้า หากอาศัยเพียงแค่ขอบเขตสูงมีความสามารถมาก มีคนสักกี่คนที่สามารถฆ่าข้าได้? ต่อให้ในอนาคตเจ้าจะมีขอบเขตเชื่อมโยงไปสู่สวรรค์ ข้าก็ยังทำให้เจ้ากลุ้มใจนานร้อยปีพันปีได้ง่ายๆ อยู่ดี เพราะฉะนั้นนะ จงฉลาดหน่อย ทำให้ข้าเหนื่อยใจน้อยลงหน่อย ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลา มีวันที่เจ้าหวาดกลัวจริงๆ สำหรับข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร? หนึ่งในวัตถุประสงค์อันเป็นรากฐานของทฤษฎีคุณความชอบ ก็คือพยายามไม่ให้คนทำตัวโง่ จะต้องให้เจ้าที่เป็นผู้แสวงหาผลประโยชน์ได้รับผลประโยชน์ให้จงได้”
หม่าขู่เสวียนพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!