หลิวเสี้ยนหยางกลับมาดูบ้านเกิดแค่แวบเดียวเท่านั้นจริงๆ พอดูเสร็จก็โดยสารเรือข้ามฟากเรือมังกรที่มีชื่อว่า ‘ฟานโม่’ ของภูเขาลั่วพั่ว ไม่อาจตรงไปที่นครมังกรเฒ่าได้ ต้องไปต่อเรือที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับแคว้นซูสุ่ยภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป แล้วเดินทางลงใต้ไปตามเส้นทางมังกรเดินสายนั้น
ผู้ฝึกตนผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ทั้งหมดของเกาะจูไชได้ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนย้ายไปอยู่ภูเขาหลังอ๋าวกันนานแล้ว ถือว่าเป็นกองกำลังตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับภูเขาลั่วพั่วเร็วที่สุด
องค์หญิงใหญ่ผู้ว่าราชการหลังม่านในอดีต หลิวจ้งรุ่นเจ้าของเกาะคนปัจจุบันทำหน้าที่ดูแลเรือข้ามฟากชั่วคราวด้วยตัวเอง เพราะเรือข้ามฟากลำหนึ่งหากไม่มีผู้ฝึกตนเซียนดินเฝ้าพิทักษ์สักคนก็ยากจะทำให้คนวางใจได้
หร่วนซิ่วมาส่งหลิวเสี้ยนหยางที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว
เรือมังกรใหญ่ยักษ์เดิมทีก็เป็นภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่ง ทำเอาหลิวเสี้ยนหยางที่ได้เห็นทอดถอนใจไม่หยุด ในอดีตพวกเขาทั้งสามคน อันที่จริงคนที่อยากมีเงินมากที่สุดไม่ใช่กู้ช่าน ต้องเป็นเฉินผิงอันถึงจะถูก แต่ไม่เหมือนกับกู้ช่านที่อยากหาเงินมาได้เร็วๆ จะได้ใช้จ่ายเงินเร็วๆ เฉินผิงอันนั้นยากจนจนกลัว มีเพียงหาเงินมาได้ทุกวัน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ต่อให้สมบัติในบ้านจะมีมากกว่าเมื่อวานแค่เหรียญทองแดงเดียว แต่นั่นก็ทำให้ชีวิตที่ไม่มั่นคงเปลี่ยนมาเป็นมั่นคง ทำให้ชีวิตที่มั่นคงยิ่งมั่นคงมากกว่าเดิมได้แล้ว
กลับบ้านเกิดครั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วหลิวเสี้ยนหยางแค่ไปเยี่ยมเยียนคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่อายุมากแล้วซึ่งยังอยู่ในเมืองเล็ก แต่ละปีผู้เฒ่าผู้แก่ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ พวกเด็กๆ ที่สวมกางเกงเปิดเป้าก็พากันเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ บางคนก็แต่งงานออกเรือน พอเห็นหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะจำได้ คนวัยเดียวกันในอดีตเวลานี้ไปยุ่งวุ่นวายกับการค้าขายในเขตการปกครอง ดังนั้นโอกาสที่หลิวเสี้ยนหยางจะได้พูดคุยกับพวกเขาจึงมีไม่มาก อีกทั้งวันหน้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานโอกาสนี้ก็จะยิ่งลดน้อยลง
ทุกวันนี้เวลาพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่ หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่กลายเป็นเทพเซียนบนภูเขา เฉินผิงอันเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่ซื้อภูเขาในบ้านเกิดเอาไว้มากมาย ซ่งจี๋ซินที่อยู่ดีๆ ก็กลายไปเป็นลูกมังกรหลานมังกร และยังมีต่งสุ่ยจิ่งที่ทำการค้าใหญ่กับพวกนายท่านขุนนางทั้งหลายที่เขตการปกครอง ล้วนเป็นบุคคลที่ชาวบ้านในเมืองเล็กพูดถึงมากที่สุด
อีกทั้งคนแก่ที่อดทนจนผ่านพ้นความยากลำบากมาได้เหล่านี้ดูเหมือนจะชอบเอ่ยชื่นชมฮวงจุ้ยของตรอกซิ่งฮวาและตรอกหนีผิงมากเป็นพิเศษ บอกว่าไม่ด้อยไปกว่าถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่เลยแม้แต่น้อย
หลิวเสี้ยนหยางชอบฟังพวกคนแก่พูดเรื่องสัพเพเหระเป็นที่สุด โดยเฉพาะพวกคนแก่ที่ในอดีตไม่ได้รู้จักตรอกหนีผิงดีนัก เวลาพูดถึงเฉินผิงอันกลับทำเหมือนว่าเขาคือเด็กรุ่นหลังในบ้านที่ตัวเองมองดูเขาเติบโตมาอย่างไรอย่างนั้น นี่ทำให้หลิวเสี้ยนหยางอารมณ์ดีมาก ก็จริงนะ ในเรื่องของการรับรองต้อนรับผู้คน โดยเฉพาะเรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้อาวุโส เฉินผิงอันค่อนข้างคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาปกติจะพูดไม่มากนัก แต่เวลาพบเจอใครบนถนนกลับเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อนเสมอ ไม่เคยลามปามผู้อาวุโส ต่อให้อีกฝ่ายไม่สนใจ แม้แต่จะชำเลืองตามองก็ยังไม่ทำ คราวหน้าที่พบเจอกันเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงก็ยังจะเอ่ยทักทายตามมารยาทอยู่เหมือนเดิม
บางคนที่ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีกะทันหันได้ก็เพราะโชคดี อิจฉาไปก็เท่านั้น แต่บางคนที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการสั่งสมทีละเล็กทีละน้อยทุกคืนวัน ดูเหมือนว่าสามารถเรียนรู้ทำตามได้ แต่ก็คล้ายว่าจะทำตามไม่ได้อีกเหมือนกัน
หลิวเสี้ยนหยางรอให้เรือมังกรมาจอดเทียบท่า แล้วยังต้องบรรทุกของปลดของลง ตอนนี้การค้าของเรือมังกรล้วนเกี่ยวข้องกับสำนักพีหมาและสวนน้ำค้างวสันต์ของอุตรกุรุทวีป นี่เป็นเรื่องไกลสุดขอบฟ้าที่ชาวบ้านหลายคนของเมืองเล็กจินตนาการไม่ถึงแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางพลันยิ้มถาม “เด็กที่ชื่อเซี่ยหลิงบนภูเขาคนนั้น หน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย”
พูดจาแฝงความนัย ก็คือขนบธรรมเนียมของเมืองเล็กเสมอมา
หร่วนซิ่วอืมรับหนึ่งที เอ่ยว่า “ก็คือเด็กคนหนึ่ง”
หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นไม่น้อย
หร่วนซิ่วเอ่ย “เจ้าควบคุมกู้ช่านไม่ได้หรอก”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “อย่างมากข้าก็ได้แค่ซ้อมเขาไปรอบหนึ่ง กู้ช่านไม่เอาคืน แต่ก็แก้ไขสันดานเดิมของเจ้าขี้มูกยืดน้อยไม่ได้ ข้อนี้ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดจะไปบังคับควบคุมอะไรเขา แต่ในที่สุดเจ้าตะพาบน้อยนั่นก็ยังพอมีมโนธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง รู้ว่าใครที่ดีกับเขาอย่างแท้จริง”
หร่วนซิ่วรู้จักกับหลิวเสี้ยนหยางมาก่อน เพราะอันที่จริงหลิวเสี้ยนหยางได้เข้าไปอยู่ในร้านหลอมกระบี่ริมลำคลองหลงซวีเร็วกว่าเฉินผิงอัน อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ของที่นั่น ไม่ใช่แค่มาช่วยทำงานระยะสั้นอย่างที่เฉินผิงอันมาทำภายหลัง เผาเครื่องปั้นก็ดี หลอมกระบี่ตีเหล็กก็ช่าง ดูเหมือนว่าหลิวเสี้ยนหยางจะปรับตัวได้เร็วกว่าเฉินผิงอันเสมอ หลิวเสี้ยนหยางเหมือนคนที่คอยปูทาง พอมีเส้นทางให้เดิน เขาก็จะชอบลากเอาเฉินผิงอันที่เดินตามมาด้านหลังให้เดินไปด้วยกัน
บนเส้นทางชีวิตคน หลายคนล้วนยินดีให้สหายของตัวเองมีชีวิตที่ดี เพียงแต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีให้เพื่อนได้ดีกว่าตน โดยเฉพาะดีกว่ามากเกินไป
หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ นี่คงจะเป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดคนสองคนที่นิสัยต่างกันอย่างสิ้นเชิงถึงกลายมาเป็นสหายที่แท้จริงของกันและกันได้ อีกทั้งในขณะที่ชีวิตของคนทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน พวกเขาก็ยิ่งเป็นสหายที่สนิทกันมากกว่าเดิม
มือข้างหนึ่งของหร่วนซิ่วถือผ้าเช็ดหน้าประคองไว้กลางฝ่ามือ หยิบขนมดอกท้อชิ้นหนึ่งขึ้นมา ถามว่า “ไม่ไปทักทายพูดคุยกับนางที่ตรอกหนีผิงสักหน่อยหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ความรักความชื่นชอบยามเยาว์วัย หันกลับมามองอีกครั้งก็คือความทรงจำที่งดงาม”
กระทั่งหลิวเสี้ยนหยางทอดถอนใจเสร็จ หร่วนซิ่วที่กินขนมหมดไปแล้วชิ้นหนึ่งก็คีบขนมซิ่งเหรินกรอบขึ้นมาอีกชิ้น เอ่ยว่า “เจ้าพูดคุยอะไรกับท่านพ่อข้า ดูเหมือนว่าท่านพ่อข้าจะอารมณ์ดีมาก”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่า “ช่างหร่วนดื่มเหล้า ข้าด่าเฉินผิงอัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!