อู๋เฉิงเพ่ยพลันถามว่า “อาเหลียง เจ้าเคยมีสตรีที่ชื่นชอบอย่างแท้จริงบ้างไหม?”
อาเหลียงครุ่นคิด กำลังจะตอบ อู๋เฉิงเพ่ยกลับส่ายหน้าขึ้นมาก่อน “ไม่ต้องตอบแล้ว ถามคำถามนี้ไปข้าก็นึกเสียใจภายหลังขึ้นมาทันที คาดว่าได้ยินคำตอบ ข้าคงยิ่งเสียใจมากกว่าเดิม”
อาเหลียงหัวเราะ “ท่องอยู่ในยุทธภพ หากไม่มีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงบ้างเลย จะดื่มเหล้าไปทำไม เจ้าลองมองดูพวกคนลุ่มหลงในรักทั้งหลาย มีใครบ้างที่ไม่ใช่นักดื่มที่แช่ตัวมาจากถังเหล้า ในเรื่องของความรัก ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นผีขี้ขลาดกันทั้งนั้น”
อู๋เฉิงเพ่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าอาเหลียงชาติสุนัขผู้นี้จะพูดจาเป็นจริงเป็นจังที่ไม่แฝงนัยสัปดนกับเขาได้ด้วย
ลู่จือเผยกายอย่างที่หาได้ยาก นางมานั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของอู๋เฉิงเพ่ย
อาเหลียงโยนกาเหล้าในมือไปให้ ผลกลับถูกลู่จือตบกลับคืนมา อาเหลียงรับกาเหล้าแล้วพูดบ่นว่า “จะเกรงใจกับพี่อาเหลียงของเจ้าไปไย ก็แค่เหล้ากาเดียวเท่านั้น”
ลู่จือยกมือขึ้น
อาเหลียงทอดถอนใจ หยิบเหล้ากาใหม่โยนไปให้นาง “สตรีผู้กล้าหาญ อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยแบบนี้สิ”
ลู่จือกระดกเหล้าดื่มแล้วก็ถามว่า “ได้ยินว่าสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าใต้หล้ามืดสลัวมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เวทกระบี่ของพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่? เมื่อเทียบกับเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วเป็นอย่างไร?”
อาเหลียงลูบคลำปลายคาง “เจ้าพูดถึงเจ้าลัทธิซุนของอารามเสวียนตูใหญ่กระมัง ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง พวกพี่สาวนักพรตหญิงของอารามเสวียนตูใหญ่…อ้อ ไม่ถูกสิ ต้องบอกว่าป่าท้อของอารามแห่งนั้น ไม่ว่าจะมีคนหรือไม่มีคน ทัศนียภาพก็เป็นเลิศที่สุด ส่วนเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ข้ากลับสนิทสนมอยู่มาก พวกชนชั้นสูงหวงจื่อของจวนเทียนซือทั้งหลาย ทุกครั้งที่รับรองแขกจะต้องกระตือรือร้นกันอย่างมาก ถึงขั้นเรียกได้ว่าระดมกำลังอย่างเอิกเกริกเลยล่ะ”
เจอหน้าไม่ทันพูดจาก็ปล่อยห้าอสนีฟาดใส่หัวก่อนเลย แน่นอนว่าต้องกระตือรือร้นมากๆ
อาเหลียงผลักหัวอู๋เฉิงเพ่ยให้พ้นทาง ยิ้มเอ่ยกับลู่จือว่า “หากเจ้าสนใจ วันหน้าที่ไปเยี่ยมเยือนจวนเทียนซือก็สามารถแจ้งชื่อข้าให้พวกเขาทราบก่อนได้”
ลู่จือหัวเราะเสียงเย็น “แจ้งชื่อของเจ้า? นั่นเท่ากับว่าถามกระบี่กับภูเขามังกรพยัคฆ์แล้วหรือไม่?”
อาเหลียงหัวเราะเสียงดังลั่น “คนที่รู้ใจข้าที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็คือลู่จือนี่เอง”
อู๋เฉิงเพ่ยเอ่ย “ทั้งสองท่าน ข้ากำลังหลอมกระบี่ ดื่มเหล้าคุยเล่น เชิญไปที่อื่น”
ลู่จือเอ่ย “คนที่ต้องตายอย่างแน่นอน ย่อมไม่อาจหลอมกระบี่ที่ดีอะไรออกมาได้”
อู๋เฉิงเพ่ยเอ่ย “ไม่รบกวนให้เจ้าต้องเปลืองแรงใจ ข้ารู้แค่ว่าต่อให้ไม่ได้หลอมกระบี่บิน ‘น้ำค้างหวาน’ แล้ว มันก็ยังคงอยู่ในสามอันดับแรกของอันดับหนึ่ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือได้แต่อยู่อันดับรองเท่านั้น ในสมุดเจี่ยเปิ่นของคฤหาสน์หลบร้อนล้วนมีบันทึกไว้อย่างชัดเจน”
ลู่จือเอ่ย “รอให้ข้าดื่มเหล้าหมดก่อน”
อู๋เฉิงเพ่ยกล่าว “ขอให้เจ้าดื่มเร็วๆ หน่อย”
เซียนกระบี่อู๋เฉิงเพ่ยไม่เชี่ยวชาญการจับคู่ต่อสู้ ทว่าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความไม่เกรงกลัวใคร ปีนั้นอาเหลียงเองก็เคยเจอกับความยากลำบากจากอู๋เฉิงเพ่ยไปไม่น้อย
อู๋เฉิงเพ่ยเอ่ยง่ายๆ แค่ประโยคเดียวก็สามารถทำให้อาเหลียงดื่มเหล้าดับทุกข์ได้นานเกือบครึ่งปีแล้ว
‘เจ้าอาเหลียงขอบเขตสูง ประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องตาย จะมาโอ้อวดบารมีอะไรกับข้า?’
ถ้อยคำที่ทำให้คนลำบากใจ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยใช่ถ้อยคำที่ไร้เหตุผลไปเสียหมด แต่เป็นถ้อยคำที่ฟังดูเหมือนจะมีเหตุผล แต่กลับคล้ายว่าจะไม่มีเหตุผลมากขนาดนั้น
เวลานี้อาเหลียงโบกมือเป็นวงกว้าง ตะโกนพูดกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสองคนที่แยกกันเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมืองเหนือและใต้ซึ่งอยู่ห่างไปไกล “เป็นเจ้ามือแล้ว! เฉิงเฉวียน จ้าวเก้ออี๋ มาลงเดิมพัน ลงเดิมพัน!”
แต่ลู่จือกลับลุกขึ้นยืนแล้ว นางโยนกาเหล้าทิ้งไปนอกกำแพงแล้วขี่กระบี่จากไป
พอลู่จือจากไปไกลแล้ว อาเหลียงก็เอ่ยว่า “เมื่อก่อนไม่ว่ากับใครลู่จือก็คล้ายจะเห็นเป็นคนนอกไปเสียหมด ตอนนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว อุตส่าห์พูดจาแบบคนกันเองกับเจ้าอย่างที่หาได้ยาก เหตุใดถึงไม่ยอมรับน้ำใจ”
อู๋เฉิงเพ่ยสีหน้าเลื่อนลอย เอ่ยว่า “คำพูดของคนกันเองต่างหากที่ฟังแล้วรู้สึกแย่”
อาเหลียงพยักหน้า “ก็จริงนะ”
อู๋เฉิงเพ่ยกล่าว “เรื่องของเซียวสวิ้น เจ้ารู้แล้วกระมัง?”
อาเหลียงทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง เอาหัวหนุนบนแขนตัวเอง ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง “ทุกคนต่างมีปณิธานเป็นของตัวเอง”
อู๋เฉิงเพ่ยพลันเอ่ยว่า “เรื่องในปีนั้น ไม่ได้เอ่ยขอบคุณ แล้วก็ไม่เคยขอโทษ วันนี้ก็เอ่ยพร้อมกันเลยแล้วกัน ขอโทษด้วย ขอบคุณมาก”
อาเหลียงกลับพูดว่า “อยู่ในใต้หล้าแห่งอื่น ผู้ฝึกกระบี่ที่เวทกระบี่ยอดเยี่ยม แต่หน้าตากลับดียิ่งกว่าอย่างพวกเราสองพี่น้อง ได้รับความนิยมมากเลยล่ะ”
อู๋เฉิงเพ่ยเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่งจริงๆ ในถ้อยคำของสตรีต่างถิ่นจำนวนมากจึงมักจะเรียกเขากับหมี่อวี้ว่า ‘คู่หยกงาม’
เพียงแต่ว่าคนหนึ่งรักเดียวใจเดียว คนหนึ่งเจ้าชู้หลายใจ
เคยเห็นรูปโฉมของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบทั้งสองท่านกับตาตัวเองมาก่อน สตรีต่างถิ่นทั้งหลายที่แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าการเดินทางมาเยือนที่นี่ไม่เสียเที่ยวจึงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้งว่า ที่แท้บุรุษก็สามารถรูปงามได้ถึงเพียงนี้ สาวงาม สาวงาม ไม่ได้มีเพียงสตรีเท่านั้นที่คู่ควรกับคำว่างดงาม
อู๋เฉิงเพ่ยวางกระบี่พกพาดขวางไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปไกล เอ่ยเสียงเบาว่า “เดินไปถึงจุดแร้นแค้นน้ำ นั่งลงมองเมฆผุดลอย”
จากนั้นอู๋เฉิงเพ่ยก็ถาม “นั่งลงมองเมฆขุนเขาผุดลอย เพิ่มคำว่าขุนเขาเข้าไปคำหนึ่ง ให้สอดคล้องกับคำว่าน้ำ จะดีกว่าเดิมหรือไม่?”
อาเหลียงตอบอย่างง่ายๆ “ไม่ดี อักษรมาก ความหมายก็จะน้อยลง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!