อยู่ดีๆ อาเหลียงก็จุ๊ปากพูดขึ้นมา “ยิ่งนานวันก็ยิ่งเหมือนสามีภรรยากับแม่หนูหนิงมากขึ้นทุกทีแล้ว”
เฉินผิงอันยกถ้วยเหล้าขึ้น จู่ๆ ก็หันหน้ามาถามว่า “เถ้าแก่เนี้ยะ มีกับแกล้มที่ไม่คิดเงินบ้างไหม?”
นี่ไม่เหมือนแม่หนูหนิงอย่างมากแล้ว
เกี่ยวกับเฉินผิงอันและหนิงเหยา อาเหลียงรู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าทั้งสองคนเหมาะสมกันมาก ตอนนั้นคนหนึ่งยังเป็นหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกคนหนึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยออกท่องยุทธภพ
คนหนึ่งคือแม่นางที่ไม่ว่าอะไรก็ไม่ยินดีจะคิดให้มากความ เจอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนยินดีคิดให้มาก ยังมีเรื่องไหนที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้อีกหรือ?
ไม่ใช่บุรุษทุกคนจะตระหนักได้ว่าคนรักของคนข้างกายตนจะมีโชควาสนาชีวิตคู่กับคนคนนี้เพียงแค่คนเดียวในหมื่นๆ ปี
สตรีผู้นั้นยิ้มกล่าว “การค้าเล็กๆ ของพวกเราไม่ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างร้านเหล้าของเถ้าแก่รองหรอกนะ อีกอย่างเถ้าแก่รองก็เป็นทั้งเจ้ามือทั้งขายเหล้า แล้วยังเก็บตกสมบัติอาคมที่หล่นตามพื้นได้เก่งนัก ยังจะขาดเงินอีกหรือ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น
อาเหลียงมองเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วเอ่ยเนิบช้า “เมื่อคนคนหนึ่งทำได้แค่เรื่องที่หนักสองสามจิน แล้วไม่อาจพูดหลักการเหตุผลสักครึ่งจินออกมาได้ ต่อให้เคยอ่านตำรามาก่อน สามารถพูดได้ คนอื่นไม่ฟังก็เท่ากับว่าไม่ได้พูดอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ใช่หลักการนี้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ช่วงเวลาที่พวกเราต้องใช้เหตุผล ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นช่วงเวลาที่เหตุผลไม่มีประโยชน์แล้ว อย่างหลังแอบไปอยู่ข้างหน้า ส่วนอย่างหน้าก็มาอยู่ข้างหลังอย่างเปิดเผย ดังนั้นเรื่องราวทางโลกถึงได้มีเรื่องให้จนใจเช่นนี้”
อาเหลียงยิ้มกล่าว “เบื่อมากหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เบื่อ น่าสนใจมาก ยิ่งเป็นเช่นนี้พวกเราก็ยิ่งควรมีชีวิตให้ดี พยายามทำให้วิถีทางโลกใบนี้มั่นคงมากขึ้น”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ดื่มเหล้าอึกใหญ่ด้วยสีหน้าเยือกเย็น แต่แววตาใสกระจ่าง “ก็เหมือนคนคนหนึ่งที่ขอแค่ดื่มเหล้าได้เก่งมากพอ ตนก็สามารถดื่มเรื่องวุ่นวายใจที่อยู่ในชามเหล้าไปได้หมด ไม่จำเป็นต้องเอาไปพูดกับคนอื่นยามเมามาย”
อาเหลียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่นอย่างเบิกบานใจ
เพราะบนร่างของเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้านี้ เขามองเห็นเงาร่างของใครอีกคนหนึ่ง
คนผู้นั้นไม่เคยออกท่องยุทธภพ คนหนุ่มเบื้องหน้าที่ถูกเขาฝากความหวังเอาไว้จึงช่วยเขาเดินทางมาไกลมากๆ แล้ว
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “แม้ข้าจะไม่เคยไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่ข้าก็รู้ดีว่าบนสนามรบ เผ่าปีศาจที่อยู่ภายใต้หมัดใต้กระบี่ของข้า ยามอยู่นอกสนามรบก็มีส่วนหนึ่งที่ถือว่าเป็นคนอ่อนแอ ถึงขั้นที่ว่ายังเป็นคนอ่อนแอที่ไม่มีอิสระเป็นของตัวเองตามความหมายที่แท้จริงอีกด้วย”
อาเหลียงหัวเราะ เขารู้ว่าเจ้าเด็กนี่อยากจะพูดอะไร มองดูเหมือนเฉินผิงอันกำลังพูดถึงตัวเอง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการปลอบใจอาเหลียงเสียมากกว่า
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “หากกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก พวกผู้อ่อนแอที่แท้จริงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีอิสระเป็นของตัวเองอีกเหมือนกัน”
อาเหลียงกลับไม่รับน้ำใจ ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นสมควรตายไหม?”
เขาต่างหากถึงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เข้าใจขนบธรรมเนียมประจำท้องถิ่นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างดีที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น
ยามอยู่ที่นั่น อยู่นอกสนามรบ อาเหลียงยังถึงขั้นมีสหายอย่างหลิวชา นอกจากหลิวชาแล้ว ผู้ฝึกตนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมากมายที่อาเหลียงรู้จักก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเผ่ามนุษย์มานานแล้ว
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมดไปสองชามแล้วจึงรินชามที่สาม ชามเหล้าของร้านนี้ใหญ่กว่าร้านบ้านตนเสียอีก หากรู้แต่แรกก็คงซื้อเหล้าเป็นชามไปแล้ว
เฉินผิงอันดื่มเหล้าชามที่สามรวดเดียวหมดแล้วโคลงศีรษะ เอ่ยว่า “ก็เพราะว่าข้าความสามารถไม่มากพอ ไม่อย่างนั้นใครกล้าขยับเข้ามาใกล้กำแพงเมืองปราณกระบี่ ปีศาจใหญ่ทุกคนบนสนามรบล้วนต้องถูกต่อยตายด้วยหมัดเดียว ฟันตายด้วยกระบี่ด้วย ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์กับมารดามันสิ…วันหน้าหากข้ามีโอกาสกลับไปยังใต้หล้าไพศาล ทุกคนที่โชคดีไม่อยู่ในเหตุการณ์ ใครกล้าเกิดใจสงสารต่อคนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ข้าเจอคนหนึ่งก็จะ…”
แล้วก็เรอดังเอิ้ก เฉินผิงอันเริ่มรินเหล้าอีกครั้ง เรื่องการดื่มเหล้านี้ แรกเริ่มสุดก็เป็นอาเหลียงที่ยุยงส่งเสริม ส่วนที่บอกว่าเจอคนหนึ่งแล้วจะทำอย่างไร เขากลับไม่ได้พูดต่อ
อาเหลียงไม่ได้ห้ามปราม
เขาเพียงแค่ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “เจ้าเฉินผิงอันพบเจอคนเหล่านั้นแล้วจะยังทำอย่างไรได้อีก คนเขาก็มีเหตุผลของตัวเองนี่นา ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีใครบีบบังคับให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องมีคนตายมากขนาดนี้เสียหน่อย”
เฉินผิงอันหยุดดื่มเหล้า สองมือสอดเข้าชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงโต๊ะเหล้า “อาเหลียง ลองบอกหน่อยสิว่าท่านจะทำอย่างไร? ข้าอยากเรียนรู้”
เรียนรู้ข้อดีของคนอื่นคือเรื่องที่เฉินผิงอันเชี่ยวชาญมาโดยตลอด
เรื่องของการคิดบัญชี เป็นนักบัญชี เขาก็เรียนรู้มาจากจงขุยตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ เมืองหูเอ๋อร์ชายแดนแคว้นต้าเฉวียน
เป็นร้านผ้าห่อบุญ คอยเก็บตกเศษซากผุพัง ทว่างานหลักที่แท้จริงควรจะอยู่ในขอบเขตใด เฉินผิงอันได้เปิดโลกกว้างจากนักพรตซุนที่ท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปร่วมกัน
ถึงขั้นที่ว่าย้อนไปนานยิ่งกว่านั้น ประโยคที่เอ่ยอย่างไม่ได้ตั้งใจของหลินโส่วอี ความหมายคร่าวๆ คือบอกว่าออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก สามารถเข้าไปดูแลเรื่องต่างๆ ได้ แต่ต้องไม่ไปยุ่งวุ่นวายให้มากนัก ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ เฉินผิงอันก็ยิ่งเข้าใจประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง ยิ่งรู้สึกว่าชวนให้ขบคิด
หรือนานยิ่งกว่านั้น ตัวอักษรของเฉินผิงอันที่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญหลายคนอาจมองว่า ‘รูปลักษณ์สวยงาม แต่ขาดจิตวิญญาณ’ แท้จริงแล้วเขาก็ได้เรียนรู้มาจากเทียบยาสามแผ่นของลู่เฉิน ปีนั้นลู่เฉินเอ่ยสามเรื่อง แต่กลับอธิบายแค่สองเรื่องซึ่งรวมถึงเรื่องที่ให้ไปเก็บหินดีงูมาไว้เพื่อเสี่ยงโชค ตอนนั้นเฉินผิงอันถามไปคำหนึ่ง แต่ลู่เฉินกลับไม่ได้เอ่ยอะไร ที่แท้เรื่องของการเรียนรู้ตัวอักษรก็คือเรื่องสุดท้ายนั่นเอง
อาเหลียงให้คำตอบเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่สนใจเลยสักนิด”
เฉินผิงอันเหม่อลอยไร้คำพูด นึกถึงตอนที่อยู่ในร่องเจียวหลงแล้วได้ยิน ‘เสียงในใจ’ ของคนรอบด้าน นึกถึงเมืองสุยเจี้ยหลังจากผ่านทัณฑ์สวรรค์
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ จิบเหล้าหนึ่งคำ มือหนึ่งถือชามเหล้า มือหนึ่งเกาหัว “ค่อนข้างจะเรียนรู้ได้ยากแหะ”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องเรียน”
หลังจากขึ้นเขามาฝึกตนแล้ว เงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าก็อยู่ห่างไปไม่ไกล
ผู้ฝึกตนยิ่งอยู่ใกล้กับยอดเขามากเท่าไร ก็ยิ่งไร้ความอดทนกับโลกมนุษย์มากเท่านั้น
อาจมีกรณียกเว้นอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่มีไม่มาก
อาเหลียงเองก็เป็นกังวลว่าเฉินผิงอันจะกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาเช่นนั้น
ก็เหมือนเรื่องการเรียนรู้ตัวอักษรของเฉินผิงอัน ใช่ว่าอาเหลียงจะไม่รู้ถึงอุบายอันลึกล้ำที่ลู่เฉินมอบเทียบยาไว้ให้เขา พูดถึงแค่เรื่องการวาดยันต์ของเฉินผิงอัน เหตุใดถึงได้ราบรื่นเพียงนี้? แทบจะเรียกได้ว่าไร้ธรณีประตู เดินก้าวเดียวก็ข้ามผ่านไปได้แล้ว? ต้องรู้ว่าวิถีของสายยันต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณของลัทธิเต๋าหรือไม่ ล้วนถูกมองเป็นปราการธรรมชาติด่านหนึ่ง เหมือนกับผู้ฝึกกระบี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน หากไม่สำเร็จก็คือไม่สำเร็จ
แต่เรื่องแบบนี้เขาอาเหลียงกลับไม่สามารถเปิดปากพูดได้ ได้แต่รอให้เฉินผิงอันใคร่ครวญหาคำตอบเอาเอง
เวทกระบี่สูงก็รู้สึกว่าเรื่องราวทางโลกล้วนง่ายดายแล้ว? ไม่มีเรื่องดีแบบนี้หรอก เขาอาเหลียงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เหล้ามื้อนี้ ยิ่งนานคนทั้งสองก็ยิ่งดื่มช้าลง อาเหลียงไม่รีบร้อน ตนดื่มเหล้าเก่ง เฉินผิงอันเองก็อยากดื่มให้มากขึ้นอีกหน่อย
ถึงอย่างไรสตรีขายเหล้าก็เป็นสหายเก่ากับอาเหลียง จึงไหว้วานให้คนไปเอากับแกล้มมาจากเหลาสุรา พอเอามาวางก็ยิ้มเอ่ยกับเถ้าแก่รองว่าไม่คิดเงิน
แล้วก็เป็นเช่นนี้ คนทั้งสองดื่มกันตั้งแต่ฟ้าสลัวจนม่านรัตติกาลหนาหนัก นักดื่มรอบด้านเบาบางลงทุกที ระหว่างนี้มีผู้ฝึกกระบี่บางส่วนที่เข้ามาทักทายปราศรัย พวกเขาล้วนไม่ปฏิเสธ เชิญนั่งลงดื่มเหล้าได้ตามสบาย แต่จำไว้ว่าต้องจ่ายเงินด้วย
ดังนั้นดื่มมาถึงตอนนี้ คนทั้งสองคนจึงแค่ต้องจ่ายเงินค่าเหล้ากาหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะเท่านั้น
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีใครใช้ความสามารถของผู้ฝึกกระบี่มาดื่มเหล้า ใช้แค่ความคอแข็งก่อนกำเนิดเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!