เฉินผิงอันไปเจออาเหลียงที่ร้านเหล้าตรงหัวมุม
อาเหลียงกำลังเอามือกอดคอบุรุษผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง บอกว่าเจ้าจะเสียใจไปไย น่าหลันไฉ่ฮ่วนได้หัวใจของเจ้าไปแล้วอย่างไร นางยังจะได้เรือนกายของเจ้าอีกหรือ? เป็นไปไม่ได้ น่าหลันไฉ่ฮ่วนไม่มีความสามารถนี้ บุรุษคนนั้นไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ยิ่งอยากจะดื่มเหล้ามากกว่าเดิม เขายื่นมือที่ส่ายไปส่ายมาหยิบกาเหล้าบนโต๊ะไป กาเหล้าว่างเปล่า อาเหลียงรีบสั่งเหล้ามาอีกกา ได้ยินเสียงเป่าปากจากรอบด้าน เห็นเพียงว่าเซี่ยฮูหยินเดินบิดเอวอ้อมจากโต๊ะคิดเงินออกมา คิ้วตาแฝงไว้ด้วยความสดชื่น ยิ้มมองไปนอกร้านเหล้า อาเหลียงหันไปมองก็เห็นว่าเฉินผิงอันมา อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังคงเป็นบัณฑิตอย่างพวกเราที่ล้ำค่า ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ได้รับการต้อนรับ
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็ยิ้มเอ่ย “อาเหลียง จะมาเชิญท่านไปกินข้าวที่จวนหนิง ข้าทำอาหารเอง”
เซี่ยฮูหยินเอาเหล้ากาหนึ่งมาวางลงบนโต๊ะ แต่ไม่ได้นั่งลง อาเหลียงพยักหน้าตอบรับคำเชิญของเฉินผิงอัน แล้วจึงแหงนหน้าไปด้านหลังมองสตรีโตเต็มวัย สายตาของอาเหลียงปรือปรอยด้วยความเมามาย มองซ้ายมองขวาอยู่พักหนึ่ง “น้องเซี่ย เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้ามองเห็นหน้าของเจ้าไม่ชัดแล้วล่ะ”
สตรีหลุดหัวเราะพรืด “คิดจะพูดว่าทุกครั้งที่เมามายจะต้องเห็นภูเขากลับหัวสองลูกอีกใช่ไหมล่ะ? ไม่รู้จักสรรหาคำพูดใหม่ๆ มาบ้าง อาเหลียง เจ้าแก่แล้ว อ่านตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ของเถ้าแก่รองให้มากเถอะ นั่นต่างหากถึงจะเป็นคำพูดที่บัณฑิตควรพูด”
น้องเซี่ยได้ใหม่ลืมเก่า อาเหลียงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
คนทั้งสองจากไป เฉินผิงอันเดินออกมาได้ระยะทางหนึ่งก็เอ่ยว่า “เมื่อก่อนเคยอ่านเอกสารคดีเก่าๆ ของคฤหาสน์หลบร้อน ในนั้นบอกแค่ว่าเซี่ยยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นมาเซี่ยฮูหยินท่านนี้ก็มาขายเหล้าหาเลี้ยงชีพ”
อาเหลียงสลายกลิ่นเหล้าบนร่างทิ้งไป ยกมือตบข้างแก้มของตัวเอง “เรียกนางว่าเซี่ยฮูหยินไม่ถูกนะ นางไม่เคยแต่งงานเสียหน่อย เซี่ยยวนมีชาติกำเนิดมาจากตรอกหยางหลิ่ว คุณสมบัติในการฝึกกระบี่ดีเยี่ยม อายุน้อยๆ ก็โดดเด่นเกินใคร เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่อายุน้อยกว่าเยว่ชิง หมี่ฮู่ เป็นคนรุ่นเดียวกับน่าหลันไฉ่ฮ่วน บวกกับสตรีที่เฉิงเฉวียนกับจ้าวเก้ออี๋ไม่ลืมเลือนผู้นั้น พวกนางคือแม่นางอายุน้อยที่โดดเด่นที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ปีนั้น”
อาเหลียงพูดอย่างปลงอนิจจัง “สายฝนโปรยปราย ฟ้าดินขมุกขมัว บัณฑิตรูปงามพลันเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินถือร่มตรงมา สวมชุดสีเขียว ร่มที่กางเหมือนบุปผาเบ่งบาน คนประหนึ่งต้นหลิวต้นหยางเคียงคู่อยู่ท่ามกลางสายฝนฤดูใบไม้ผลิ งดงามนัก”
เฉินผิงอันเอ่ย “ตัด ‘บัณฑิตรูปงาม’ ทิ้งไป เหลือสตรีคนเดียว ภาพนั้นน่าจะงดงามมากจริงๆ แล้ว”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “ตอนอยู่บนสนามรบเซี่ยยวนแลกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกับศิษย์น้องหญิงคนหนึ่งของเซียนกระบี่โซ่วเฉิน กระบี่ของพวกนางก็พังทลาย จากนั้นนางที่บาดเจ็บสาหัสถอยหนีไม่ทันจึงถูกโซ่วเฉินที่ตามมาทันแทงซ้ำอีกหนึ่งที หากไม่เจอกับหายนะครั้งนี้ เซี่ยยวนต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเซี่ยยวนจึงมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดินกับสายของโจวมี่ผู้เป็น ‘มหาสมุทรความรู้’ คนนั้น เจ้าเล่นงานหลิวป๋ายแห่งกระโจมเจี่ยเซินจนร่อแร่ใกล้ตาย เซี่ยยวนย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวเจ้า”
อาเหลียงเอ่ยอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “เรื่องแบบนี้ เจอหน้ากันอย่างมากแค่เอ่ยขอบคุณก็พอแล้ว ไยต้องแหกกฎไม่เก็บเงินด้วยล่ะ”
เฉินผิงอันถึงเพิ่งกระจ่างแจ้ง อาเหลียงไม่ได้เรียกตนไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าอย่างไร้เหตุผล
ที่แท้ก็เพื่อคลายปมในใจให้กับเซี่ยยวน และตัวอาเหลียงเองก็ได้ดื่มเหล้าโดยไม่ต้องจ่ายเงินหนึ่งมื้อ
มาถึงจวนหนิง เฉินผิงอันก็เข้าครัวไปทำอาหารจริงๆ ป๋ายหมัวมัวคอยช่วยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย
อาเหลียงที่อยู่ในห้องด้านข้างของเรือนพักเฉินผิงอันกำลังเปิดอ่านตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ที่เลื่องชื่อลือนาม บนโต๊ะยังมีตราประทับเปล่าๆ ที่วัสดุธรรมดาและหน้าพัดว่างเปล่าอยู่อีกไม่น้อย แต่ดูจากลักษณะแล้วคงไม่ถูกนำมาแกะสลักหรือเขียนแล้ว
หนิงเหยานั่งอยู่ด้านข้าง ถามว่า “เทวบุตรมารของฟ้านอกฟ้าเป็นมาอย่างไรกันแน่? หรือว่าป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นก็ยังมิอาจสยบกำราบพวกมันได้อย่างสิ้นเชิง?”
ประวัติความเป็นมาของเทวบุตรมารนอกโลก ในใต้หล้าไพศาลไม่เคยมีคำบอกกล่าวที่แน่ชัด ส่วนผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
อาเหลียงแค่เล่าให้ฟังคร่าวๆ “ก็หายนะที่ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ ชักนำมาน่ะสิ ตัวเองเช็ดก้นไม่สะอาดก็มีแต่จะหลอกลวงตัวเองแล้วยังรังแกคนอื่น พอปล่อยไปตามยถากรรม เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาปีแล้วปีเล่าอุทกภัยก็ล้นทะลัก ใต้หล้ามืดสลัวจึงได้แต่ใช้วิธีการที่โง่ที่สุด นั่นคือสร้างเขื่อนขึ้นมา เขื่อนกักเก็บน้ำ ยิ่งนานก็ยิ่งขยับสูงขึ้น นานวันเข้าก็กลายเป็นสถานการณ์อันตรายที่ ‘น้ำท่วมเหนือหัว ลอยสูงอยู่บนฟ้า’ จะโทษนักพรตจมูกโคของป๋ายอวี้จิงว่าแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุไม่แก้ไขที่ต้นเหตุก็ไม่ได้ เพราะหากสืบเรื่องย้อนกันไปแล้ว ผู้ฝึกลมปราณทุกคนล้วนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ว่ากันว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเต๋าเหล่าเอ้อร์คอยค้นหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ที่ต้นเหตุอยู่ตลอดเวลา เต๋าเหล่าเอ้อร์และลู่เฉินเองก็มีวิธีรับมือเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าวิธีการของคนหนึ่งจงใจเกินไป อำมหิตโหดเหี้ยม ทำได้ง่ายมาก แต่วิธีการของลู่เฉินกลับปล่อยตามใจชอบเกินไป คาดว่ามรรคาจารย์เต๋าคงไม่ชอบสักวิธี จึงฝากความหวังไว้ที่ลูกศิษย์ใหญ่มากกว่า”
เจ้าลัทธิทั้งสามท่านของป๋ายอวี้จิง อยู่ในใต้หล้าไพศาลก็คือศาสดาสามท่านที่อยู่ใต้นามของมรรคาจารย์เต๋า เพียงแต่ว่ายศศาสนาดาของลัทธิเต๋านี้เป็นลัทธิเต๋าที่แต่งตั้งกันเอง เมธีร้อยสำนักย่อมไม่ยอมรับ
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “อย่าโทษว่าข้าพูดจาคลุมเครือ ไม่ได้ตั้งใจจะอมพะนำกับเจ้า แต่เป็นเพราะคนพูดไม่ตั้งใจ คนฟังมีใจ และหากผู้ฝึกตนมีใจ ส่วนใหญ่ก็มักจะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวบุตรมารนี้ คิดจะรับมือขึ้นมา ยิ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์ก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรง แน่นอนว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ตายตัวเสมอไป มักต้องมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ แม่หนูหนิงเจ้าก็คือข้อยกเว้น แต่หากพูดกับเจ้า กลับกลายเป็นว่าจะไม่เหมาะ ไม่สู้ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ
การที่นางถามถึงเทวบุตรมารเพราะนางกังวลเรื่องการสร้างโอสถทองและก่อกำเนิดของเฉินผิงอันในอนาคต
ส่วนตัวนางเอง ดูเหมือนจะไม่มีความกังวลใดๆ เลื่อนเป็นโอสถทองและก่อกำเนิด แม้กระทั่งขอบเขตหยกดิบที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ขอแค่หนิงเหยาคิดจะฝ่าขอบเขตก็ล้วนไม่ยาก
อาเหลียงเปิดเผยความลับสวรรค์อีกเรื่องหนึ่ง “นักพรตของใต้หล้ามืดสลัวต่างก็ยุ่งวุ่นวาย ไม่มีใครได้ผ่อนคลาย เป็นสนามรบที่ไม่เหมือนกับของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทว่าระดับความโหดร้ายกลับพอๆ กัน พุทธภูมิเองก็ไม่แตกต่าง เบื้องล่างเก้าน้ำผุ ผีร้ายวิญญาณอาฆาตมารวมตัวกันมากมายดุจมหาสมุทร เจ้าว่าต้องโทษใคร?”
หนิงเหยาเอ่ย “มนุษย์?”
อาเหลียงกล่าวต่อว่า “ความทุกข์ตรมขมขื่นในชีวิตคนนั้นเริ่มจากตอนรู้จักตัวหนังสือ ถ้าอย่างนั้นเมื่อคนเราฝึกตน แน่นอนว่าเรื่องที่กลัดกลุ้มเป็นทุกข์ก็ยิ่งต้องมีมากกว่า ภัยร้ายที่ซ่อนแฝงก็มากกว่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!