กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 672

กระท่อมของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสตลอดทั้งปีแทบไม่มีแขกมาเยือน ทว่าอริยะสามลัทธิกลับมีผู้ฝึกกระบี่ไปเยี่ยมหาบ่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่นโฉวเหมียวที่มักจะไปพูดคุยเรื่องการปกครองกับอริยะลัทธิขงจื๊อเป็นประจำ พวกนักปราชญ์และวิญญูชนของสายหลี่เซิ่งและสายหย่าเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อที่รับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจตราการศึก ขุนนางผู้บันทึกเหตุการณ์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเซียนกระบี่โฉวเหมียว

ในอดีตผังหยวนจี้ก็มักจะไปพูดคุยภาษาธรรมกับอริยะลัทธิขงจื๊อ ทำความเข้าใจกับสัจธรรมแห่งคดีของนิกายฉาน (นิกายเซน)

ไม่เพียงแค่ลูกรักแห่งสวรรค์อย่างโฉวเหมียว ผังหยวนจี้เท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปต่างก็ยินดีไปเยือนสองปลายฝั่งของหัวกำแพงเมืองเพื่อพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับเหล่าอริยะ หากใช้คำกล่าวของอาเหลียงก็คือไปแตะกลิ่นอายเซียนพุทธะ กลิ่นอายแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงตรงของเหล่าอริยะ หากไปอยู่ใต้หล้าแห่งอื่น บุคคลยิ่งใหญ่ที่มีวิชาอภินิหารเลิศล้ำสูงส่งเช่นนี้ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายๆ

มีเพียงอริยะลัทธิเต๋าที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนจุดสูงสุดของม่านฟ้าเท่านั้นที่ได้ฝึกตนอย่างสงบสุข เป็นเหตุให้แขกที่มาเยี่ยมเยือนค่อนข้างน้อย โดยทั่วไปแล้วหากเซียนกระบี่ไม่มีอะไรทำก็จะขี่กระบี่ไปถามถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของใต้หล้ามืดสลัวจากเขา

วันนี้บนทะเลเมฆ บนเข่าของนักพรตเฒ่าวางไม้ปัดฝุ่นหางกวางพาดไว้ ใช้ปัดเป่าสิ่งสกปรกคลายความร้อน แสดงถึงความเปิดกว้างถ่อมตัว เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม้ปัดฝุ่นอันนี้กลับเหลือแค่ด้ามยาวหยกขาวแล้ว

เป็นทั้งอาวุธเซียน แล้วก็ยิ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต

อริยะของอีกสองลัทธิก็มีสภาพน่าอนาถไม่ต่างกัน สร้างแม่น้ำยาวสีทองสามครั้ง ช่วยให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ตัดแบ่งสนามรบ หากไม่จ่ายค่าตอบแทนเสียเลย คิดจริงๆ หรือว่าพวกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เหล่านั้นเป็นแค่ถังข้าว

นักพรตเฒ่าลืมตามองไป อาเหลียงมาแล้ว

นักพรตเฒ่าจึงได้แต่ฝืนทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า

มองดูแล้วเจ้าหมอนั่นอารมณ์ไม่ดี คาดว่าคงไปเสียเปรียบให้กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมา

อาเหลียงนอนคว่ำอยู่บนทะเลเมฆ กำหมัดเบาๆ ต่อยให้ทะเลเมฆเป็นรูเล็กๆ ทำให้มองเห็นเค้าโครงของนครได้อย่างเลือนรางพอดี จากนั้นเขาก็ควักเอาก้อนหินธรรมดาที่ไม่รู้ว่าไปเก็บมาจากไหนออกมากำใหญ่แล้วโยนลงไปด้านล่างทีละก้อน พละกำลังที่ใช้ในแต่ละครั้งแตกต่างกันไป ล้วนมีข้อพิถีพิถัน

เซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนที่กำลังงีบหลับอยู่ในระเบียงได้ยินเสียงหินหล่นกระทบบนหลังคา

ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่กำลังประทินโฉมอยู่หน้ากระจกก็ได้ยินเสียงก้อนหินกระทบผ้าม่าน

ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มที่กำลังฝึกกระบี่อยู่ในลานบ้านบนถนนอวี้ฮู่ ปลายกระบี่ถูกหินหล่นมากระแทก ทำเอาเขาตกใจสะดุ้งโหยง

บนโต๊ะเหล้าของร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่กำลังด่าคนอื่นจนน้ำลายแตกฟองมีหินก้อนหนึ่งเพิ่มเข้ามาในถ้วยเหล้า ก็รีบเปลี่ยนจากด่าคนเป็นชมคนทันที เปลี่ยนสีหน้าได้อย่างราบรื่นดังใจปรารถนา ไม่มีสะดุดติดขัด

นักพรตเฒ่าเห็นจนชินแล้ว เมื่อร้อยปีก่อน เรื่องที่เกินควรยิ่งกว่านี้มีเยอะแยะไป

เคยมีคู่รักเทพเซียนคู่หนึ่งกำลังอยู่ในช่วงค่ำคืนวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่ง ผลคือเกิดความเคลื่อนไหวเล็กๆ บนหลังคา บนกระเบื้องเกิดริ้วกระเพื่อม นาทีถัดมาตรงจุดอื่นก็มีความเคลื่อนไหวเล็กๆ เกิดขึ้นอีก ราวกับว่ามีคนรู้สึกได้ว่าร่องรอยของตัวเองถูกเปิดเผยจึงรีบหลบหนีไปไกล บุรุษเดือดดาลอย่างหนัก หยิบเสื้อมาสวมเดินเท้าเปล่าไปชักกระบี่ออกจากฝัก กระโดดขึ้นบนกำแพงลานบ้าน กลับเห็นเพียงว่าเรือนหลังหนึ่งมีริ้วกระเพื่อมหลงเหลืออยู่ บุรุษจึงถือกระบี่ไล่ตามไป คิดไม่ถึงว่าตรงนั้นก็มีคู่รักเทพเซียนกำลังคลอเคลียกันอยู่เหมือนกัน พอบุรุษออกมาจากบ้านแล้วเห็นเจ้าคนที่อยู่ดีๆ สมองก็ผิดปกติผู้นั้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เอ่ยทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของฝ่ายตรงข้ามก่อน จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ลงมือต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ตอนนั้นบนทะเลเมฆก็มีบุรุษคนหนึ่งนอนกระดกก้นมองดูเรื่องสนุกเหมือนอย่างในเวลานี้

อาเหลียงปัดมือ เอาฝ่ามือพลิกก้อนเมฆมากลบ ทะเลเมฆที่เป็นรูก็กลับมาราบเรียบดังเดิม

นักพรตเฒ่าถามคำถามหนึ่งที่เขาสงสัยใคร่รู้ตลอดมา “อาเหลียง ผู้ฝึกตนอย่างข้าผู้เป็นนักพรตก็ดี เซียนกระบี่ของที่แห่งนี้ก็ช่าง เมื่ออายุมากแล้วก็แทบจะไม่มีความสนใจใดๆ ต่อเรื่องราวทางโลกที่อยู่นอกเหนือจากการฝึกตน เจ้าทำอย่างไรถึงสามารถทำตัว…น่าเบื่อแบบนี้ได้ตลอด?”

ยิ่งเป็นผู้ฝึกตนที่ค้นหามหามรรคาให้ก้าวเดิน ก็ยิ่งยินดีตั้งใจฝึกตนมากเท่านั้น นับประสาอะไรกับที่เดิมทีการฝึกคาถาเทพเซียนก็ไม่ควรวอกแวกไปสนใจเรื่องอื่นอยู่แล้ว

อาเหลียงทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนหงายอยู่บนทะเลเมฆ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง “ฝึกบำเพ็ญตบะเพื่อความเป็นอมตะอย่างยากลำบาก พอเป็นอมตะแล้ว พวกเรายังสามารถทำอะไรได้อีกล่ะ”

นี่เป็นคำถามที่ธรณีประตูสูงมาก

กับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปไม่สามารถพูดคุยเรื่องนี้ได้ กับเซียนกระบี่ในท้องถิ่นของที่นี่ก็ยิ่งไม่อาจคุยเรื่องนี้

แต่พูดคุยเรื่องนี้กับนักพรตเฒ่านั้น ยังพอจะทำได้

เพราะถึงอย่างไรยอดฝีมือของลัทธิเต๋าท่านนี้ก็เป็นลูกศิษย์คนแรกของเจ้าลัทธิใหญ่แห่งใต้หล้ามืดสลัว แล้วยังเป็นเจ้านครแห่งหนึ่งของป๋ายอวี้จิงด้วย เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวคนนั้นมีลำดับอาวุโสเท่าเทียมกับเขา แต่ตบะและมรรคกถากลับยังด้อยกว่าระดับหนึ่ง

นักพรตเฒ่ายิ้มเอ่ย “ข้าผู้เป็นนักพรตมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้วนี่นา”

อาเหลียงลุกขึ้นยืน โยนวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งไปให้นักพรตเฒ่า ลักษณะของมันคล้ายป้ายคำสั่งของลัทธิเต๋า เฉินผิงอันไหว้วานให้เอาเหลียงนำมามอบต่อให้นักพรตเฒ่า

ที่ทับกระดาษไม้ลักษณะเป็นทรงยาว เมื่อหยิบขึ้นมาถือน้ำหนักเบามาก สลักอักขระโบราณ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และสลักตัวอักษรหนึ่งบรรทัด ‘จอมทัพมีคำสั่ง ประทานไม้บรรทัดสยบกำราบ จุดที่จิตมุ่งไปตามใจปรารถนา ขุนเขาพังทลาย จงรีบมารับคำสั่ง ณ บัดนี้’

นักพรตเฒ่ารับป้ายคำสั่งมาแล้วก็นับนิ้วคำนวณ ก่อนจะพยักหน้า “เข้าใจๆ สมควรแล้ว สมควรแล้ว”

อาเหลียงยิ้มกล่าว “ทำนายได้จริงๆ หรือ?”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ความหมายคร่าวๆ พอจะเข้าใจได้แล้ว”

อาเหลียงจึงใช้เสียงในใจบอกรายละเอียดแก่อีกฝ่าย นักพรตเฒ่าจดจำไปทีละข้อ “วันหน้าข้าจะแจ้งให้ทางภูเขาห้อยหัวทราบ”

เทพเซียนผู้เฒ่าลัทธิเต๋าท่านนี้ นอกจากจะมีความสามารถประจำตัวเป็นการอนุมานการทำนายแล้ว ยังเชี่ยวชาญวิชาการคิดวิเคราะห์ของสำนักโม่ เชี่ยวชาญศาสตร์แห่งตรรกะของลัทธิพุทธ

นักพรตเฒ่ามีสีหน้าลำบากใจ “อาเหลียง ข้าผู้เป็นนักพรตมีเรื่องอยากจะขอร้อง”

อาเหลียงยิ้มกล่าว “เรื่องเล็กๆ”

นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน คารวะหมอบกราบอย่างนอบน้อม พิธีการนี้ไม่เล็กเลย อาเหลียงจึงได้แต่ลุกขึ้นยืนกุมหมัดคารวะกลับคืน

นักพรตเฒ่ากวาดตามองไปรอบด้าน ไม่จงใจกักกันริ้วคลื่นลมปราณที่อยู่เหนือทะเลเมฆอีก เขาทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “บนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนที่ครอบครองอำนาจความร่ำรวยอย่างแท้จริง ทุกอย่างล้วนเป็นมายาดุจภาพฝัน วันนี้ผ่านไปอีกวัน ชีวิตก็สั้นลงอีกวัน ประหนึ่งปลาในน้ำที่ลดน้อยลง ยังจะมีความสุขใดให้กล่าวถึง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!