หลังจากที่กิจการของร้านเหล้าขยายใหญ่ขึ้น นอกจากจะมีทั้งเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่แล้วก็ยังขายเหล้าต้มด้วย ภายหลังยังมีการแนะนำเหล้าข้าวหมักชนิดหนึ่ง เหล้าต้มที่ถูกเถ้าแก่รองตั้งชื่อว่า ‘เหล้าทะเลสาบคนใบ้’ นี้ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการขาย ไม่ว่าจะเป็นคนมีเงินหรือไม่มีเงินก็ล้วนยินดีซื้อ ราคาต่ำ แถมรสชาติยังเข้มข้น ไม่เสียแรงที่เป็นเหล้าเผามีด เพียงแต่ว่าเหล้าข้าวหมักที่อ่อนนุ่มนั้นไม่เพียงแต่ขายราคาสูงไม่ได้ เตี๋ยจ้างยังกังวลว่าจะขายไม่ออกเลย สตรีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ขอแค่เป็นคนดื่มเหล้าก็ล้วนไม่แพ้ให้กับบุรุษ ทุกคนล้วนชอบดื่มเหล้ารสร้อนแรง หากร้านเหล้าขายเหล้าชนิดนี้เพื่อหวังเรียกนักดื่มผู้หญิงก็ต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้บอกรายละเอียด บอกแค่ว่าเหล้าข้าวหมักนี้ก็คือการค้าต้นทุนต่ำที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ต่อให้ขาดทุนก็ไม่มากเท่าไร เขากับเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่าสนิทสนมกันดี ขอให้คนช่วยเอาเหล้าข้าวหมักมาจากบ้านเกิดก็แค่ต้องจ่ายเงินเทพเซียนไม่กี่เหรียญเท่านั้น
ความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเถ้าแก่รองไม่เคยทำการค้าที่ขาดทุน ก่อนจะเมากลับบ้าน นักดื่มที่ไม่ใช่หนุ่มโสดมักจะหิ้วเอาเหล้าข้าวหมักกลับไปด้วยหลายไห บอกกับสตรีในครอบครัวว่านี่คือเหล้าที่มาจากแจกันสมบัติทวีปของใต้หล้าไพศาล มาจากบ้านเกิดของอิ่นกวานหนุ่ม ยังพูดจาน่าเชื่อว่าเถ้าแก่รองตบอกรับประกันว่าหากสตรีดื่มเหล้าชนิดนี้จะช่วยบำรุงความงามได้เป็นอย่างดี! มีสตรีบางคนยิ้มถามว่าเจ้าเชื่อหรือ? บุรุษทำท่าขุ่นเคืองบอกว่าเถ้าแก่รองไม่พูดจาเหลวไหลยามอยู่บนโต๊ะเหล้า นี่คือเรื่องที่ทุกคนให้การยอมรับโดยทั่วกัน สตรีเพียงแค่คลี่ยิ้มแล้วดื่มเหล้า
เป็นเหตุให้ภายหลังผู้ฝึกกระบี่หญิงที่มาดื่มเหล้าที่นี่มักจะดื่มแค่เหล้าข้าวหมักเท่านั้น
กวอจู๋จิ่วไปดื่มคารวะที่โต๊ะของอาจารย์แม่ เมื่อต้องดื่มครบรอบวง เหล้าหมักข้าวเหนียวกาหนึ่งก็หมดแล้ว หนิงเหยาห้ามไม่อยู่ กวอจู๋จิ่วเดินเซกลับไปที่โต๊ะตัวเองเหมือนคนร่ายวิชามวยหมัดเมา
พวกกลุ่มของหนิงเหยาดื่มกันมาได้พอสมควรแล้วจึงพากันลุกขึ้น ฟ่านต้าเช่อเป็นคนจ่ายเงิน ทุกวันนี้เขามีเงินให้ใช้คล่องมือ ไม่จำเป็นต้องขอยืมจากเฉินซานชิวมานานแล้ว หนิงเหยาบอกให้เตี๋ยจ้างช่วยดูแลกวอจู๋จิ่วหน่อย
กวอจู๋จิ่วดื่มมากเกินไปจึงฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ คออ่อนก็จริง แต่พฤติกรรมยามเมากลับนับว่าพอใช้ได้ แม่นางน้อยดื่มมากไปก็แค่หลับ ไม่เอะอะโวยวาย เงียบสงบอย่างมาก
โฉวเหมียวยิ้มเอ่ย “คำพูดบางอย่าง ก่อนหน้านี้ไม่เหมาะจะพูดที่คฤหาสน์หลบร้อน ตอนนี้สามารถพูดได้แล้ว”
เฉากุ่นโงนเงนลุกขึ้นยืน ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาก่อนเปิดปากเอ่ยว่า “ผังหยวนจี้ ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวต่างก็ทยอยกันเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว หากในอนาคตในเรื่องของการเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนเจ้ายังสู้พวกเขาไม่ได้ ข้าจะด่าเจ้า”
ผังหยวนจี้ดื่มเหล้าไม่มาก เขาคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน เอาถ้วยเหล้าชนกับถ้วยของอีกฝ่าย “ด่าก่อนค่อยว่ากัน หากเจ้าด่าผิด วันหน้ามีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง ข้าค่อยด่ากลับคืน”
เฉากุ่นมองผังหยวนจี้แล้วส่ายหัวอย่างแรง “ผังหยวนจี้ ในใจของข้า เจ้าเองก็มีความหวังบนมหามรรคาพอๆ กับใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าหวังว่าหลายปีต่อจากนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจะได้เห็นว่าจุดที่สูงที่สุดของใต้หล้า มีทั้งเฉินผิงอันมือกระบี่ชุดเขียว แล้วก็มีทั้งผังหยวนจี้เซียนกระบี่ชุดขาว”
ผังหยวนจี้ยิ้มอย่างจนใจ “แต่ข้าสู้อิ่นกวานไม่ได้นี่นา”
ทั้งสองฝ่ายต่างดื่มจนหมด
สวีหนิงพูดกับเฉากุ่นว่า “ถูกเรื่องไม่ถูกคน”
เฉากุ่นยกเหล้าขึ้นดื่มตาม สีหน้าเบิกบานสดชื่น “พูดได้ดี”
ซ่งเกาหยวนดื่มกับตัวเองอย่างสำราญใจ ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนม้านั่งตัวยาว “น่าเสียดายที่ไม่อาจใช้สถานะผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานมาเฝ้าด่านแทนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้สักครั้ง ไม่อย่างนั้นจะต้องสนุกมากแน่ๆ! ลองย้อนนึกดู ผู้มีพรสวรรค์ผายลมสุนัขที่อายุน้อยๆ จากต่างถิ่นอย่างพวกเรา แต่ละคนกวนโอ้ยชวนเตะไม่แพ้กันเลย”
กู้เจี้ยนหลงเอ่ย “ขอข้าพูดประโยคที่เป็นธรรมสักคำ คนที่น่าเตะที่สุดยังคงเป็นหลินจวินปี้ที่อายุน้อยสุด ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วที่สุด”
หวังซินสุ่ยพยักหน้ารับ “ขอข้าพูดประโยคที่มีมโนธรรมบ้าง อันที่จริงก็เป็นหลินจวินปี้นั่นแหละที่เป็นลูกสมุนตัวเป้งที่สุดของใต้เท้าอิ่นกวาน”
กู้เจี้ยนหลงพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย “หากหลินจวินปี้สวมหน้ากากสตรี อันที่จริงจะต้องโดดเด่นกว่าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรามากแน่ๆ”
ต่งปู้เต๋อยิ้มตาหยี “ผิดแล้ว หลินจวินปี้ต้องเปลี่ยนใบหน้าเสียที่ไหน แค่เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าของสตรีก็ได้แล้ว”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ต่งปู้เต๋อเอ่ยอีกว่า “หากจวินปี้ดื่มเหล้าเมา ใบหน้าเล็กๆ นั่นจะเป็นสีแดงปลั่ง แล้วให้เขาอิงแอบแนบชิดใต้เท้าอิ่นกวานเหมือนนกน้อยอิงแอบคน จุ๊ๆๆ นั่นต้องงดงามเกินบรรยายแน่ๆ”
ฉางไท่ชิงสะดุ้งโหยง รีบเทเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย คีบผักดองเข้าปากคำหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าต้องตัวสั่นเยือกอีกที “ระงับความตกใจ ระงับความตกใจ”
โฉวเหมียวยิ้มเอ่ย “พวกเจ้านี่ชักเอาใหญ่ เพราะอิ่นกวานกับหลินจวินปี้ต่างก็ไม่อยู่ที่นี่สินะ?”
เติ้งเหลียงพลันเอ่ยว่า “พวกเราลืมใครไปคนหนึ่งหรือเปล่า”
คนทั้งโต๊ะเงียบกันไปพักใหญ่ แล้วก็พากันหัวเราะครืน
แน่นอนว่าต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่หมี่อวี้ที่กลับมากำแพงเมืองปราณกระบี่รอบหนึ่งแล้วก็กลับไปยังภูเขาห้อยหัวอีกครั้ง
ผังหยวนจี้ดื่มเหล้าทีละนิด แต่กลับดื่มไปไม่น้อยเลย
คนหนุ่มมีสีหน้าเลื่อนลอยเล็กน้อย อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าสายอิ่นกวานในทุกวันนี้คึกคักจริงๆ เป็นแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
เหล้ามื้อนี้ดื่มกันนานมาก แล้วทุกคนก็พากันหวนกลับไปยังคฤหาสน์หลบร้อน
หลัวเจินอี้แบกกวอจู๋จิ่วขึ้นหลัง เดินเคียงบ่าไปพร้อมกับต่งปู้เต๋อ
เติ้งเหลียงชะลอฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ข้างกายพวกนาง
หลัวเจินอี้รู้ความ เตรียมจะจากไป แต่กลับถูกต่งปู้เต๋อรั้งเอาไว้
เติ้งเหลียงเองก็ไม่ถือสา พูดเข้าประเด็นว่า “แม่นางต่ง ข้าชอบเจ้า”
สายตาของต่งปู้เต๋อใสกระจ่าง เอ่ยว่า “ข้าไม่ชอบเจ้า”
เติ้งเหลียงพยักหน้า “ข้ารู้”
เติ้งเหลียงหยุดชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าสง่างดงาม สายตาจริงใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าต่งปู้เต๋อไม่ชอบเติ้งเหลียง แต่เติ้งเหลียงกลัวก็แค่ว่าต่งปู้เต๋อจะไม่รู้ว่าเติ้งเหลียงชอบต่งปู้เต๋อ”
ต่งปู้เต๋อรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย พูดจาอ้อมค้อมวกไปวนมาอยู่ได้ แต่ในเมื่อเจ้าเติ้งเหลียงไม่เกรงใจกันเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ทนกับเติ้งเหลียงมาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว “อยู่ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อน พื้นที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ ข้าไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ย่อมต้องมองออกว่าเจ้าชอบข้า ไม่เพียงเท่านี้ ข้ายังรู้ด้วยว่าเจ้ามักจะควบคุมสายตาไม่อยู่ ไม่กล้าแอบมองใบหน้าของหลัวเจินอี้ก็จะพยายามลอบมองแผ่นหลังของนางแทน”
เติ้งเหลียงเห็นว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วจึงเอ่ยว่า “ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียวสักหน่อยที่มองหลัวเจินอี้ หวังซินสุ่ยไม่มองหรือ? ฉางไท่ชิงไม่มองหรือ?”
หลัวเจินอี้เป็นสตรีหน้าตางดงามที่มีสีหน้าเย็นชาอย่างมาก เวลานี้ใบหน้านางยิ่งราวกับมีน้ำค้างแข็งมาเกาะ เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ ก็คลี่ยิ้ม แสร้งทำเป็นโกรธเคืองค่อนข้างจะยากไปสักหน่อย
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็ก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!