เฒ่าหูหนวกไม่ได้หูหนวกจริงๆ ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งจะหูไม่ดีจริงๆ ได้อย่างไร? ก็แค่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ดูแคลนเหยียดหยามเฒ่าหูหนวกมาโดยตลอด อีกทั้งเฒ่าหูหนวกยังเป็นมะพลับนิ่มที่โดนตีก็ไม่เอาคืน โดนด่าก็ไม่ด่ากลับ ซ้ำยังปรากฏตัวน้อยครั้ง จึงไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรจริงๆ มาก่อน
บวกกับตระกูลต่งที่ควบคุมหอกระบี่ ตระกูลฉีดูแลหอภูษา ตระกูลเฉินดูแลหอโอสถ สี่สถานที่นี้ก็คือสถานที่ต้องห้ามตามความหมายที่แท้จริงของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เอกสารคดีในคฤหาสน์หลบร้อนที่เกี่ยวข้องกับคุกแห่งนี้มีลายลักษณ์อักษรบันทึกไว้ไม่มาก เพียงแค่บันทึกตัวตน ประวัติความเป็นมาของปีศาจที่ถูกขังไว้รวมถึงที่ตายไปแล้วในแต่ละยุคสมัยด้วยคำอธิบายง่ายๆ เท่านั้น
เฒ่าหูหนวกคลี่ยิ้ม การที่อิ่นกวานหนุ่มจะไม่เชื่อใจตนก็เป็นเรื่องปกติ แต่จะไม่เชื่อใจเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสด้วยหรือ? ทว่าเพียงไม่นานเขาก็กระจ่างแจ้ง หากไม่มีนิสัยเช่นนี้ก็เป็นอิ่นกวานไม่ได้ ไม่อาจมาเยือนที่นี่ได้ ตอนนั้นที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง จำเป็นต้องให้เซียนกระบี่ช่วยพิทักษ์คนของสายอิ่นกวาน คนที่เขาไม่เชื่อใจ ไม่ใช่ตน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นลู่จือ ตอนนี้คนที่ไม่เชื่อใจถึงจะเป็นตน ถึงท้ายที่สุดแล้วแม้แต่เฉินชิงตูเขาก็จะยังไม่เชื่อใจด้วยหรือเปล่า? ไม่ว่าคำตอบคืออะไร เฒ่าหูหนวกก็รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันกับเฒ่าหูหนวกขยับเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าแทบจะเวลาเดียวกัน เฉินผิงอันพบว่าแผ่นศิลาที่มองดูเหมือนว่าห่างไปแค่ร้อยกว่าจั้ง หากเดินต่อไปเช่นนี้กลับอาจต้องใช้เวลาถึงหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ
เฒ่าหูหนวกไม่ยินดีจะถูกเข้าใจผิดว่าอาศัยอำนาจของเจ้าบ้านรังแกแขก หลังจากเรียกอย่างเคารพว่าใต้เท้าอิ่นกวานคำหนึ่งแล้วก็เปิดเผยความลับสวรรค์ทันที “ยิ่งจิตวิญญาณ ความคิด และย่างก้าวที่ก้าวเดินเล็กเท่าไร กลับกลายเป็นว่าพวกเราจะเดินได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น”
เฉินผิงอันทำตามที่อีกฝ่ายบอก เพียงแค่ชั่วไม่กี่พริบตาก็ไปถึงตรงหน้าป้ายศิลาจริงๆ
เฒ่าหูหนวกตกตะลึงเล็กน้อย อดเอาเฉินผิงอันไปเปรียบเทียบกับอดีตอิ่นกวานสองคนก่อนไม่ได้ แม่นางน้อยมัดผมแกละที่เจ้าอารมณ์คนนั้นไม่เชื่อคำบอกของเขา ยืนกรานจะพุ่งไปถึงป้ายศิลาให้ได้ในรวดเดียว เป็นเหตุให้อยู่ห่างไกลจากป้ายศิลานับร้อยนับพันลี้ในชั่วพริบตา นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เซียวสวิ้นกลับโบยบินแบบนั้นไปเรื่อยๆ สนุกจนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผลคือใช้เวลาไปถึงสิบวัน หากคิดตามกำลังเท้าของคนปกติทั่วไป เซียวสวิ้นก็น่าจะเดินทางข้ามทวีปได้แล้ว นางยังดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนไปไม่น้อย ทุกวันเอาแต่ชักเท้าออกวิ่งอยู่อย่างนั้น ยิ่งนานก็ยิ่งห่างไกลจากป้ายศิลา เฒ่าหูหนวกเคยเจอผู้ฝึกกระบี่ที่เบื่อหน่ายมาก่อน แต่ไม่เคยเจอใครที่เบื่ออย่างนาง ส่วนใต้เท้าอิ่นกวานคนก่อนก่อนหน้านี้ ไม่น่าเบื่อ ก็แค่ไม่น่าสนใจ ทว่าคุณความชอบใต้โต๊ะของเขากลับไม่น้อยเลยจริงๆ นครมายาแห่งนั้นก็เป็นเขาที่จ่ายเงินหาคนสร้างขึ้นมา น่าเสียดายที่คุณสมบัติในการฝึกตนแย่เกินไป อายุขัยไม่ยืนยาว ไม่อย่างนั้นอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงไม่ใช่เซียวสวิ้น ยิ่งไม่ใช่คนหนุ่มข้างกายเขา
เฒ่าหูหนวกแหงนหน้ามองป้ายศิลาไปพร้อมกับอิ่นกวานหนุ่ม
เฒ่าหูหนวกเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้อกูเทียน สามคำนี้มาจากลายมือของเซียนกระบี่คู่รักในยุคบรรพกาลสองคน ลำดับอาวุโสสูงมาก เทียบกับหลงจวินและกวนจ้าวแล้วแค่อายุน้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่ว่าไม่ค่อยมีชื่อเสียงอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่”
เฒ่าหูหนวกยิ้มเอ่ย “เชื่อว่าด้วยความสามารถในการมองเห็นของใต้เท้าอิ่นกวานก็น่าจะมองเบาะแสออกแล้ว สองคำว่าเจ้อและเทียน เป็นฝีมือแกะสลักของเซียนกระบี่ชาย ลายมือที่แกะสลักยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด มีเพียงอักษรกูที่เป็นลายมือของสตรี ปราณกระบี่เฉียบคม แต่กระนั้นก็ยังยากจะปิดความอ่อนช้อยเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ได้ ตอนนั้นสตรีบาดเจ็บสาหัส ค่อนข้างจะอ่อนเพลีย บุรุษจึงช่วยเสริมให้ สุดท้ายตัวอักษรนี้มองดูเหมือนเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เข้มงวดในกฎเกณฑ์ ช่วยเสริมตัวอักษรตรงกลางให้โดดเด่น แต่อันที่จริงกลับแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดเสียใจแทนคู่รัก เมื่อเทียบกับตัวอักษรเจ้อแล้ว อักษรเทียนที่เดิมทีควรมีพลังอำนาจมากที่สุดกลับกลายเป็นว่าแน่นหนาจริงจังมากพอ แต่จิตแห่งกระบี่กลับไม่เพียงพอ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยตามสัตย์จริง “ข้ามองเรื่องพวกนี้ไม่ออก”
น่าประหลาดนัก เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งได้อย่างไร?
เฒ่าหูหนวกถาม “แม่น้ำแห่งกาลเวลาน่าจะไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับใต้เท้าอิ่นกวานถึงจะถูก?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่แปลกใหม่”
เฒ่าหูหนวกเอื้อมมือไปคว้า เจ้อกูเทียนสามตัวอักษรบนป้ายศิลาก็คล้ายถูกแบ่งแยกออกจากกัน แต่ละขีดแต่ละเส้นพากันหลุดออกจากป้ายศิลา แสงกระบี่มารวมกันเป็นหนึ่ง ประหนึ่งธารน้ำที่มารวมกันเป็นลำคลอง แล้วเฒ่าหูหนวกก็พาเฉินผิงอันเดินเหยียบเข้าไปข้างใน เมื่อคนทั้งสองเดินไปถึงจุดสิ้นสุดปลายสายน้ำก็เจอกับฟ้าดินแห่งใหม่
ทัศนียภาพในสายตาของเฉินผิงอันเปลี่ยนไปอีกครั้ง โครงกระดูกเต็มพื้น พื้นดินเต็มไปด้วยหลุมบ่อ มีโครงกระดูกบางโครงซีดขาวอีกทั้งยังใหญ่มาก ทอดตัวยาวราวกับเทือกเขา แล้วก็มีเรือนกายขององค์เทพที่โครงกระดูกเป็นสีทอง
น่าจะเป็นซากปรักสนามรบที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคดึกดำบรรพ์ต่อสู้กับเผ่าปีศาจอย่างดุเดือด
ในหลุมใหญ่แห่งหนึ่งมีการขุดเจาะเป็นบันไดทอดยาวลงไป
เผ่าปีศาจที่ขอบเขตสูงถูกขังไว้ในจุดสูง
ขณะที่เดินลงบันไดไป เฉินผิงอันพลันถามว่า “หากไม่มีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ผู้อาวุโสสามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ได้กี่มากน้อย?”
เฒ่าหูหนวกไม่ปิดบัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทุกคนที่อยู่ในสายตาล้วนตายสิ้น”
จากนั้นก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ไม่ใช่เพราะรำคาญความปากมากของเจ้าพวกลูกกระต่ายเหล่านั้น ไม่มีความจำเป็น”
เขาหันหน้ามาถาม “ผู้อาวุโส?”
เฉินผิงอันเอ่ย “อายุมากกว่า ขอบเขตสูงกว่าข้า ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ล้วนถือเป็นผู้อาวุโส”
เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับ “เป็นความเคยชินที่ดี”
จากนั้นเฒ่าหูหนวกก็เอ่ยว่า “ตามความหมายของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส คือต้องการให้ใต้เท้าอิ่นกวานลงมือแทนข้า”
เฉินผิงอันผงกศีรษะ ระหว่างที่มาที่นี่ เขาก็คิดจนเข้าใจกระจ่างแล้ว
บันไดที่ทอดยาวลงไปด้านล่างอย่างต่อเนื่องคดเคี้ยวไม่มีรูปแบบที่แน่นอน การมองเห็นของเฉินผิงอันพร่าเลือน เห็นแค่บันได ไม่เห็นทัศนียภาพของฟ้าดินรอบด้าน แต่พอเจอกับกรงขังที่ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันเหล่านั้น การมองเห็นก็ชัดเจนขึ้นมาหลายส่วน เห็นเพียงว่ากรงขังเหล่านั้นมีแสงกระบี่หลายเส้นที่รวมตัวกันจนจับต้องได้จริงกั้นเป็นราวรั้ว เดินผ่านกรงขังที่ว่างเปล่าหลายแห่ง ก่อนที่เฒ่าหูหนวกจะหยุดเดินแล้วชี้ไปยังกรงขังที่ว่างโล่งแห่งหนึ่ง “คนที่อยู่ในนี้ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเด็ดหัวไปแล้ว ทางฝั่งของหอโอสถน่าจะได้กำไรกันก้อนใหญ่”
เฉินผิงอันเอ่ย “เรือข้ามทวีปสองลำของเกราะทองทวีปร่วมกันจ่ายเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ซื้อศีรษะของขอบเขตบินทะยานตนนั้นไป เพื่อให้พกพาสมบัติกลับคืนไปยังบ้านเกิดได้อย่างปลอดภัยยังจ่ายเงินก้อนใหญ่จ้างเซียนกระบี่ท่านหนึ่งให้ช่วยคุ้มกันด้วย”
เฒ่าหูหนวกบ่นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “หอโอสถนั่นก็น่าโมโหจริงๆ ทำอย่างกับว่าข้าขัดขวางไม่ให้พวกเขาฆ่าเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนพวกนี้อย่างนั้นแหละ ข้าควบคุมเผ่าปีศาจนับพันนับหมื่นตนก็คือควบคุม ควบคุมแค่ตนสองตนก็คือควบคุมเหมือนกัน ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยสักนิด มาโทษข้าทำไม? หลักการเหตุผลง่ายๆ แค่นี้เข้าใจยากนักหรือ? สิ้นเปลืองความคิด สิ้นเปลืองความคิดจริงๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!