กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 676

บนภูเขาห้อยหัว เรื่องที่ก่อนหน้านี้สวนดอกเหมยทั้งสวนหายวับไปกลางอากาศกลายมาเป็นเรื่องประหลาดที่ผู้คนพูดคุยกันอย่างออกรส จากนั้นอยู่ดีๆ ก็มีผู้ฝึกกระบี่กลุ่มใหญ่มาจากจวนหยวนโหรว เซียนกระบี่สองคนเป็นผู้นำ คนหนึ่งคือซุนจวี้เฉวียนที่คบหาสหายกว้างขวาง รวมไปถึงหมี่ฮู่ที่ว่ากันว่าได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว ตอนที่มาเดินเท้า แต่ตอนที่จากไปกลับมีขบวนรถม้าเรือยันต์พากันเคลื่อนตัวออกไปยาวเหยียด ทั้งบนฟ้าและบนดินต่างก็คึกคักอย่างมาก เพียงแต่ว่าขบวนที่ผู้ฝึกกระบี่เป็นคนนำพาเช่นนี้ คนที่เกิดและเติบโตในภูเขาห้อยหัวจึงทำเพียงแสร้งไม่รับรู้ ส่วนคนต่างถิ่นที่ออกเดินทางไกลก็ไม่กล้าขยับเข้ามาดูใกล้ๆ

หากอยู่ห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่โดยมีพันภูเขาหมื่นสายน้ำกั้นขวาง มีเซียนกระบี่คนใดบ้างที่ไม่กล้าด่า?

แต่หากอยู่ใกล้กับผู้ฝึกกระบี่ในระยะประชิด จะทำอย่างไรได้อีก มีเพียงเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาวเท่านั้น

มีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งที่เดินทางไกลมาเยือนที่นี่ไม่เชื่อ แอบร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ เห็นเพียงภาพที่ชวนให้คนขนพองสยองเกล้าในจวนหยวนโหรว ศาลาหอเก๋งที่อยู่ด้านในถูกรื้อจนเละไปหมด ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดของธวัลทวีปท่านนี้รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว เตรียมจะเก็บฝ่ามือถอนวิชาอภินิหาร แต่กลับมีแสงกระบี่พร่างพราวเส้นหนึ่งพุ่งตามติดมาท่ามกลางม่านราตรี แทงทะลุฝ่ามือของผู้ฝึกตนเฒ่าคาที่ แสงกระบี่เปล่งวาบ แทงผ่านแก้มข้างซ้ายทะลุแก้มข้างขวาของเขาไป แล้วแสงกระบี่ก็เปล่งแสงวาบอีกครั้ง กระบี่บินหวนกลับไปยังจวนหยวนโหรวแล้ว

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่เจ็บปวดอย่างถึงที่สุดจึงเข้าใจแล้ว ตาไม่อาจมอง ปากไม่อาจพูด

เพียงแต่ว่าทั้งๆ ที่ตัวเองต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ แต่กลับทำได้แค่เป็นคนใบ้ ในใจจึงอดเคียดแค้นการกระทำที่โอหังของเซียนกระบี่คนนั้นไม่ได้ อยู่ที่บ้านเกิดของเขา ก่อกำเนิดยิ่งใหญ่เพียงนี้จะได้รับความอัปยศขนาดนี้ได้อย่างไร?!

ผู้ฝึกกระบี่ที่ขนย้ายข้าวของในจวนหยวนโหรวของสกุลหลิวธวัลทวีปไปจนเกลี้ยงพากันกลับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในคืนนั้นเลย ส่วนหอมายาที่การค้ารุ่งเรืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตลอดหลายเดือนมานี้ก็ค่อยๆ เงียบเหงา ร้านค้ามากมายพากันย้ายออกไป ทยอยกันย้ายมาอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว หากไม่มีที่พักซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษอยู่ในภูเขาห้อยหัวก็ได้แต่กลับไปยังสำนักใครสำนักมันในใต้หล้าไพศาล เพราะถึงอย่างไรทุกพื้นที่ของภูเขาห้อยหัวก็ล้วนเป็นเงินเป็นทอง บวกกับที่ทุกวันนี้มีนครของกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นขอบเขต ส่วนที่อยู่ทางใต้ล้วนถือเป็นพื้นที่ต้องห้าม มีการเปิดใช้ค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขามานานแล้ว และยังร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ เป็นเหตุให้หัวกำแพงเมืองที่ยิ่งใหญ่โอฬารของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถไปเยือนได้อีกแล้ว กิจการของภูเขาห้อยหัวซบเซาลงทุกที ทุกวันนี้เรือข้ามฟากที่เดินทางไปกลับระหว่างภูเขาห้อยหัวและแปดทวีปมีผู้โดยสารน้อยมาก บรรทุกคนน้อย บรรทุกข้าวของมาก เป็นเหตุให้เรือข้ามทวีปมากมายที่มีเส้นทางเดินเรือทางน้ำกินน้ำลึกมาก ยกตัวอย่างเช่นเกาะกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่าที่ท่าเรือเดิมที่ไปจอดเทียบท่าได้ผลุบหายเข้าไปในน้ำหมดแล้ว ส่วนเรือข้ามทวีปหลายลำที่เดินทางผ่านก้อนเมฆและสายฝน ความเร็วก็ช้าลงไปหลายส่วน

การศึกคับขัน สถานการณ์อันตราย ต้องเป็นเพราะการโจมตีเมืองของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในครั้งนี้ไม่เหมือนปกติทั่วไปอย่างแน่นอน ภูเขาห้อยหัวรู้เรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ว่าในประวัติศาสตร์การที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกปิดเช่นนี้ไม่ได้มีแค่ครั้งสองครั้ง จึงไม่ถึงขั้นทำให้คนประหวั่นพรั่นพรึงมากเกินไป เคยมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหลายคนที่พอกำแพงเมืองปราณกระบี่ปิดผนึกก็ขายที่ดินตระกูลเซียน ขายร้านรวงออกไปในราคาถูก หลังจบเรื่องก็ต้องเสียดายอย่างสุดแสน เสียใจภายหลังจนไส้เขียว

ตำหนักสุ่ยจิงหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ของภูเขาห้อยหัว ผู้ที่พิทักษ์ดูแลคือผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง มีนามว่าอวิ๋นเชียน คือหนึ่งในบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของนางมีโชควาสนาลึกล้ำ หมายตาผู้ฝึกตนอิสระตกอับคนหนึ่งนามว่าฟู่เค่อ ฝ่ายหลังมีโอกาสเปลี่ยนจากปลาเป็นมังกร ความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตของเขาน่าเหลือเชื่ออย่างมาก ขนาดเทียบกับเหล่าผู้มีความสามารถและเหล่าผู้กล้าในประวัติศาสตร์ของสำนักอวี่หลงแล้วก็ยังถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นมาก

ทว่าอวิ๋นเชียนมองการณ์ไกลมากกว่านั้น นอกจากอนาคตของสำนักอวี่หลงที่เป็นสำนักบ้านตัวเองแล้ว นางก็ยังกังวลเรื่องสงครามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย เพราะถึงอย่างไรตำหนักสุ่ยจิงก็ไม่เหมือนเรือนชุนฟานและสวนดอกเหมย ไม่เคยผ่านการหล่อหลอม มิอาจพกพาจากไปได้ อีกทั้งพวกเขายังไม่ใช่เทพเจ้าแห่งเงินทองอย่างสกุลหลิวธวัลทวีป จวนหยวนโหรวแห่งหนึ่งที่มีมูลค่าควรเมือง พวกเขาจะเก็บไว้หรือไม่เก็บก็ยังได้

เพียงแต่ทุกวันนี้กำแพงเมืองปราณกระบี่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายอิ่นกวานที่กุมอำนาจในทุกวันนี้ การลงมือของผู้ฝึกกระบี่ทั้งรอบคอบและอำมหิต ผู้ฝึกตนทุกคนที่ทำผิดกฎ ไม่ว่ามีใจหรือไร้เจตนาก็ล้วนได้แต่จากไปมิอาจหวนกลับ เคยมีหลายคนทยอยกันมาเยือนตำหนักสุ่ยจิง ล้วนเป็นผู้ฝึกตนบรรลุมรรคาที่พอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปกับสำนักอวี่หลงอยู่บ้าง ก่อกำเนิดก็มีอยู่สองท่าน และยังมีเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตหยกดิบของสำนักยันต์อีกท่านหนึ่ง พวกเขาต่างก็หวังว่านางจะช่วยขอร้องแทน ช่วยนำความไปบอกแก่เทียนจวินของภูเขาห้อยหัว หรือไม่ก็ขอร้องเซียนกระบี่บางคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่สนิทสนมคุ้นเคยกันดี ทว่าเทียนจวินปิดด่านไปนานแล้ว อวิ๋นเชียนจึงไปหาเจินจวินผู้เฒ่าของยอดเขาเดียวดายที่หลอมหนวดของเจียวหลงมาเป็นไม้ปัดฝุ่นอาวุธเซียน คิดไม่ถึงว่าจะต้องกินน้ำแกงประตูปิด พอคิดจะไหว้วานคนอื่นให้นำจดหมายไปส่งแก่เซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียนที่ในอดีตมีความสัมพันธ์ไม่เลวต่อกันมาโดยตลอด จดหมายนั้นก็ราวกับวัวปั้นดินที่จมลงสู่มหาสมุทร ราวกับว่าซุนจวี้เฉวียนไม่เคยได้รับจดหมายลับฉบับนั้นเลยอย่างไรอย่างนั้น

อวิ๋นเชียนอยู่ที่ตำหนักสุ่ยจิงรู้สึกเพียงว่าจิตใจไม่สงบสุข ไม่อาจสงบใจฝึกตนต่อไปได้ จึงไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักอวี่หลง เรียกประชุมทุกคน เสนอให้มีการย้ายสำนัก ผลกลับถูกเย้ยหยันเหน็บแนม แม้ว่าอวิ๋นเชียนจะเตรียมใจมาก่อนล่วงหน้า แล้วก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้ทำได้ไม่ง่าย อีกทั้งยังเป็นเหมือนนิทานพันหนึ่งราตรีที่ไม่อาจเป็นไปได้ แต่พอเห็นพวกคนในศาลบรรพจารย์เปลี่ยนเรื่องไปพูดคุยเรื่องการค้าขายหาทางดำรงชีพกันแทน อวิ๋นเชียนก็ยังอดรู้สึกหมดอาลัยตายอยากไม่ได้

ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่ออกมาจากจวนหยวนโหรว กระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งจากเรือนชุนฟานก็มาถึงตำหนักสุ่ยจิงอย่างเงียบเชียบ

พออวิ๋นเชียนเปิดจดหมายลับออก ก็เห็นว่าบนกระดาษเขียนแค่สองคำ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!