กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 680

สรุปบท บทที่ 680.2 บนโลกมนุษย์ล้วนมีแต่นักเดินทางไกล: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 680.2 บนโลกมนุษย์ล้วนมีแต่นักเดินทางไกล – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 680.2 บนโลกมนุษย์ล้วนมีแต่นักเดินทางไกล ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

เด็กชายผมขาวเอ่ยถาม “เจ้ายินดีจะเปลี่ยนความตั้งใจเดิม ปล่อยให้ข้าออกไปจากคุกแห่งนี้จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องราวมีแบ่งก่อนหลัง เจ้าวางแผนเล่นงานข้าก่อน คิดจะช่วงชิงเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าไป ละโมบอยากได้ผลกรรมที่พัวพันและโชควาสนาบางส่วนของข้า เพื่อที่เจ้าจะได้อำพรางตนอย่างลึกล้ำมากขึ้น หากทำสำเร็จไม่แน่ว่าแม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยังยากจะสังหารเจ้าได้อย่างสิ้นซาก ช่วงชิงเอาผลประโยชน์ไปหมดสิ้น แล้วเหตุใดข้าถึงต้องปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดออกไปจากคุกด้วย คิดว่าข้าเป็นปู่แท้ๆ เป็นบรรพบุรุษแท้ๆ ของเจ้าจริงๆ หรือ? หากเป็นบรรพบุรุษของเจ้าแล้วเจ้ามีพฤติกรรมเช่นนี้ ลูกหลานอกตัญญู ป่านนี้ก็คงกำจัดญาติเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่ไปแล้ว”

เด็กชายผมขาวเบ้ปาก เอ่ยว่า “เจ้าเองก็คิดจะเอาข้ามาปูทางให้ตัวเอง ให้ข้าเล่าเรื่องกฎเกณฑ์วงในของใต้หล้ามืดสลัวให้เจ้าฟังมากๆ หน่อย เป็นการเตรียมพร้อมในการถามกระบี่แก่ป๋ายอวี้จิงในอนาคตยามที่เจ้าไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวไม่ใช่หรือ”

“ข้าเคยบอกว่าไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มพลางลูบหัวเด็กชายผมขาว “ทำไมไม่เรียกบรรพบุรุษแล้วเล่า”

เทวบุตรมารเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ได้เลย ท่านบรรพบุรุษ!”

เฉินผิงอันเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นหมัด ร่างเทวบุตรมารถูกต่อยให้แหลกสลาย จากนั้นก็ไปรวมตัวเป็นร่างคนอยู่ในจุดอื่น ต่างหูงูเขียว สวมชุดคลุมอาคม กระโดดโลดเต้นกลับมาตลอดทาง เอ่ยอย่างมีความสุขว่า “หมัดนี้ของบรรพบุรุษอิ่นกวานเผยมาดของขอบเขตเดินทางไกลอย่างเต็มเปี่ยมเลย!”

เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือเบาๆ เลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลแล้วก็แข็งแกร่งกว่าขอบเขตร่างทองอยู่มาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้เฉาสือผู้นั้นมีขอบเขตใดแล้ว

เด็กชายผมขาวยิ้มตาหยีเปิดเผยความลับสวรรค์ว่า “คาถาหลอมวัตถุ ในมือของบรรพบุรุษอิ่นกวานมีคาถาเซียนอยู่สองอย่าง ทั้งสองฝ่ายต่างก็บอกว่าสามารถหลอมหมื่นวัตถุได้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้คาถาหลอมคาถาสิ?”

เฉินผิงอันคิดตาม สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “หากจำเป็นต้องทิ้งหนึ่งเก็บหนึ่งก็ยากที่จะตัดสินใจได้จริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่หลังจากหลอมคาถาบทหนึ่งแล้ว สุดท้ายจะเป็นทัศนียภาพอย่างไร ในใจข้าก็ไม่มั่นใจเอาเสียเลย นอกจากนี้ขั้นตอนนี้ก็มีเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป ระดับขั้นของคาถาเซียนทั้งสองบทสูงเกินไป ในฐานะผู้ฝึกลมปราณ ขอบเขตของข้าต่ำเกินไป ดังนั้นเจ้าสามารถบอกความคิดที่แท้จริงของเจ้ามาได้ การค้าครั้งแรกนี้จะคิดเงินกันอย่างไร มาลองคิดกันดูดีไหม?”

เด็กชายผมขาวยื่นนิ้วออกมาสองนิ้วเอ่ยว่า “อันที่จริงเป็นครั้งที่สองแล้ว อีกไม่นานเหนี่ยนซินก็จะมาหาเจ้า”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อันนี้ไม่ถือว่าเป็นการค้าขาย ต้องถือเป็นความสัมพันธ์ควันธูปจากการที่บรรพบุรุษรับเจ้ากลับเข้าวงศ์ตระกูล”

เด็กชายผมขาวเองก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ กลอกตาไปมา แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “มีเหตุผลอย่างยิ่ง”

เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้บอกกับเจ้าไปแล้วว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ปรึกษากันไม่ได้ เป็นเจ้าที่ไม่เชื่อเอง”

เด็กชายผมขาวพูดอย่างจริงใจ “จะดีจะชั่วก็เป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ตัวลอยได้ง่ายนี่นะ”

ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่อยู่คอขวดก่อกำเนิดผู้นั้นไม่บำรุงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกต่อไป ลืมตามองบรรพบุรุษกับหลานที่ ‘พูดคุยกันอย่างกลมเกลียว’ อยู่นอกราวรั้วแสงกระบี่ ในใจหวงเฮ้อพลันเกิดความคิดหนึ่ง หากคนหนุ่มของใต้หล้าไพศาลล้วนชั่วร้ายเช่นนี้ เผ่าปีศาจของพวกเขาก็อย่าไปเสียเวลาที่นั่นเลยจะดีกว่า อ่านตำรารู้จักตัวอักษร หัวจิตหัวใจล้วนถูกหมึกดำแทรกซึมไปหมดแล้ว ความคิดจิตใจถึงได้ดำมืดไปหมด

หลังออกมาจากกรงขังแห่งนั้น เด็กชายผมขาวก็รู้แล้วว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้มาหยุดอยู่ที่นั่นนานขนาดนั้น เพียงแต่มันเคยเห็นภาพสองภาพในหัวใจของคนหนุ่มมาก่อน จึงไม่กล้าเล่นตลกกับเรื่องแบบนี้

เฉินผิงอันถาม “เกี่ยวกับห้าพิษ ใต้หล้ามืดสลัวมีประเพณีของชาวบ้านอยู่บ้างหรือไม่?”

ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับ “เยอะจะตายไป ยกตัวอย่างเช่นพวกชาวบ้านจะเอากระดาษหลากสีมาตัดเป็นรูปน้ำเต้าน้อยห้าสี แล้วติดกลับหัวไว้บนประตู มีชื่อว่าน้ำเต้าพลิกภัย ส่วนทางฝั่งที่ว่าการของทางการก็จะมีขุนนางน้ำใสที่ได้รับการรับรองเปลี่ยนมาสวมชุดขุนนางที่เป็นชุดคลุมอาคมซึ่งทางลัทธิเต๋ามอบให้โดยเฉพาะ บนชุดปักภาพห้าพิษ จากนั้นก็จะไปยังจุดที่พวกชาวบ้านในเขตการปกครองตักน้ำกัน แล้วโยนยันต์ฝนธัญพืชลงไปหลายๆ แผ่น”

เฉินผิงอันเอ่ย “ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป บนภูเขาล่างภูเขาก็มีความเคยชินในการแปะเทียบฝนธัญพืชเช่นกัน ตระกูลคนรวย หากมีเทียบที่เขียนด้วยลายมือเทพเซียนมาแปะไว้หน้าประตูก็จะเป็นเรื่องที่ควรค่าให้เอามาโอ้อวดอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากการที่แขวนกรอบป้ายเหนือห้องโถงหลักเลย”

ซวงเจี้ยงกล่าว “ขอบเขตสูงแล้ว บางทีอาจจะมีความกังวลอย่างใหม่พุ่งเข้ามาหาติดต่อกัน แต่มีดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ขอบเขตของผู้ฝึกตนสามารถกำจัดปัญหามากมายไปได้จริงๆ พอขอบเขตสูง ปัญหายุ่งยากหลายอย่างย่อมถอยร่นสลายหายไปเอง ความโชคดีมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ แขกชั่วร้ายก็จากไปเองโดยไม่ต้องด่าไล่”

เฉินผิงอันพยักหน้าคล้ายคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “เป็นคำพูดภาษาคน ได้รับการสั่งสอนแล้ว”

ซวงเจี้ยงกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบหน้า พูดสะอึกสะอื้นว่า “ท่านบรรพบุรุษเอ่ยเช่นนี้ช่างชวนให้คนซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

เหนี่ยนซินตามมาหาอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา ไม่จำเป็นต้องเขินอาย

นางไม่ใช่เฉินผิงอันผู้นั้นสักหน่อย เป็นบุรุษตัวโตจะเขินอายอะไรนักหนา อิดออดราวกับสตรีอย่างไรอย่างนั้น

เฉินผิงอันรู้สึกสนใจเป็นทบทวี ตัดสินใจแล้วว่าจะคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง

ชุดถ้ำเซียนสวรรค์ชุดหนึ่งที่ขนาดอยู่ในใต้หล้าไพศาลยังมีจำนวนจำกัด เหนี่ยนซินจะใช้วิชาอภินิหารในการเย็บผ้าค่อยๆ แกะเส้นด้ายแนวตั้งแนวนอนที่ตัดสลับถักทอกันมากถึงสามหมื่นหกพันเส้นออกมาทีละเส้น ลำพังเพียงแค่ขั้นตอนนี้ก็เป็นการ ‘พิศมรรคา’ ที่ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครองแล้ว

เหนี่ยนซินเรียกยันต์ทองตำราหยกออกมาก่อน แล้วเอ่ยว่า “เดิมทีจะรอให้เจ้าฝ่าทะลุขอบเขตสำเร็จก่อน ให้เจ้าได้เจอกับความทุกข์ทรมานเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นค่อยช่วยสร้างห้องหัวใจให้เจ้า”

นางพลันเอ่ยว่า “เจ้ายังมีกระดาษยันต์ที่ระดับขั้นค่อนข้างสูงอีกหรือไม่? ไม่อย่างนั้นคงแบกรับตัวอักษรพวกนี้ไม่ไหว หากระดับขั้นไม่ได้เรื่องก็ต้องทับซ้อนเข้าด้วยกัน แล้วยังไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ด้วย”

เฉินผิงอันหยิบเอากระดาษยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งออกมาจากวัตถุฟางชุ่น

เด็กชายผมขาวหลุบเปลือกตาลงต่ำเล็กน้อย

เหนี่ยนซินพยักหน้า บอกให้เฉินผิงอันเอากระดาษยันต์วางไว้ข้างยันต์ทองตำราหยก

นางหยิบเอา ‘เส้นเอ็นหลิว’ มีดอาคมที่ถูกหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นออกมาแล้วเริ่มดึงตัวอักษรจากยันต์ทองตำราหยกออกมาทีละตัว มองดูเหมือนมีดธรรมดาทั่วไป แต่แท้จริงแล้วคมมีดกลับเล็กบางมาก

หลังจากที่ตัวอักษรทุกตัวออกมาจากตำรา เหนี่ยนซินก็จะรีบใช้ปลายมีดตวัดขึ้นแล้วโยนไปไว้บนยันต์กระดาษเขียว เมื่อตัวอักษรหล่นลงบนกระดาษก็จะฝังเลื่อมเข้าไปในกระดาษยันต์ทันที ทำให้ยันต์ยุบลงไปเล็กน้อย โชคดีที่ไม่ถึงขั้นกดให้กระดาษยันต์ขาด

สุดท้ายเหนี่ยนซินหน้าซีดขาว เรือนกายด้านล่างนับตั้งแต่ศีรษะลงไป อวัยวะภายในทั้งหมดปั่นป่วนกดทับกันเอง เลือดโชกไหลเปรอะ คล้ายบ่อโคลนเละๆ บ่อหนึ่ง

เหนี่ยนซินเปิดถุงผ้าออก หยิบเอายาสีแดงสดจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหลอมอย่างไรออกมาโยนใส่ปากกำใหญ่ เคี้ยวกร้วมๆ แล้วกลืนลงท้อง

เฉินผิงอันพับยันต์แผ่นนั้น ยันต์อยู่ในมือมีน้ำหนักมาก เขาจึงเก็บมันเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็กุมหมัดขอบคุณด้วยท่าทางหนักแน่นจริงจัง

เหนี่ยนซินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

รากฐานได้รับความเสียหายอย่างหนักจนถึงขั้นทำให้สตรีที่เป็นขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งร่างเริ่มโงนเงน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หัวคิ้วของนางกลับไม่เคยขมวดเข้าหากันแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันรู้สึกว่าอันที่จริงเหนี่ยนซินสามารถหันไปฝึกวรยุทธได้

ถูกคนอื่นสลักมีดลงบนร่าง ยังคงยืนตระหง่านไม่เคลื่อนไหว กับการหยิบมีดมาแกะสลักลงบนร่างของตัวเอง แต่กลับยังแน่นิ่งไม่ขยับ คือขอบเขตสองอย่างที่แตกต่างกัน

เด็กชายผมขาวเอ่ย “ก็แค่ว่าคุณสมบัติก่อนกำเนิดของเจ้าแย่ไปสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คงมีความหวังบนมหามรรคา เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก็นับว่ามีความหวังสูงมาก”

เห็นว่าเหนี่ยนซินไม่มีท่าทีจะพูดคุยด้วย เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าที่ใต้หล้ามืดสลัวมีอุโมงค์หลิวหลี? ต่อให้เจ้าจะไม่หวังให้ตัวเองมีรูปโฉมงดงาม ไม่ต้องการเปลี่ยนเนื้อหนังมังสา แต่ก็สามารถเพิ่มตบะได้บางส่วน”

เหนี่ยนซินเอ่ย “แค่เคยได้ยินว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีถ้ำจิ้งจอก”

เด็กชายผมขาวรู้สึกจนใจเล็กน้อย คำพูดเสียดสีของเหนี่ยนซินง่ายที่จะทำให้บทสนทนาจบลงจริงๆ

และเวลานี้เอง เด็กชายผมขาวก็ขมวดคิ้วขึ้นมาก่อน เขาลุกขึ้นยืน สีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่หาได้ยาก

เหนี่ยนซินที่เพิ่งจะร้อยเข็มก็หยุดชะงักเช่นกัน

มีคนผลักประตูเดินออกมา เสียงเต้นของหัวใจเขาดังเหมือนพลานุภาพยามเทพตีกลองสายฟ้า

ทุกครั้งที่หัวใจตีดังดุจรัวกลอง ฟ้าดินขนาดเล็กของคุกก็พากันโยกไหวสั่นคลอนตามไปด้วย

……

คฤหาสน์หลบร้อนได้รับกระบี่บินส่งจดหมายหนึ่งเล่ม

เซียนกระบี่โฉวเหมียวมอบจดหมายลับให้แก่ซ่งเกาหยวน จดหมายนี้มาจากตำหนักสุ่ยจิงของภูเขาห้อยหัว บนจดหมายมีแค่ตราประทับดอกไม้ ไม่มีการลงนาม ไม่อาจยืนยันสถานะของเจ้าของตราประทับลายดอกไม้นี้ได้

ซ่งเกาหยวนกำลังดูสนามรบจุดหนึ่งบนม้วนภาพพร้อมกับเสวียนเซิน พออ่านจดหมายลับฉบับนั้นจบก็ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

ผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานในทุกวันนี้ผ่อนคลายกว่าเก่าเยอะมาก ขอแค่อยากไปเข่นฆ่าที่หัวกำแพงเมืองก็ไม่จำเป็นต้องผลัดกันไปทีละสามคนตามกฎเดิมอีกแล้ว จะไปคนเดียวก็ดี หรือจะจับกลุ่มกันสามคนห้าคนก็ช่าง อยากไปก็ไป ตอนนี้ผู้ฝึกกระบี่หญิงสามคนอย่างต่งปู้เต๋อ กวอจู๋จิ่วและหลัวเจินอี้จับกลุ่มกันออกไปจากคฤหาสน์หลบร้อน นอกจากนี้แล้ว พวกสวีหนิง กู้เจี้ยนหลงและเฉากุ่นก็พากันขี่กระบี่รุดหน้าไปเช่นกัน

โฉวเหมียวยิ้มกล่าว “ลังเลอะไร ลองทำแบบหลินจวินปี้ดูสิ”

ซ่งเกาหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้าจะส่งจดหมายตอบกลับตำหนักสุ่ยจิงของภูเขาห้อยหัวเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการรอให้เซียนกระบี่เซี่ยจื้อถอยออกมาจากสนามรบเสียก่อน แล้วค่อยเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวพร้อมกับผู้อาวุโสท่านนี้”

โฉวเหมียวถาม “จะทิ้งให้ผู้อาวุโสในสำนักของเจ้าต้องรออยู่ที่ภูเขาห้อยหัวแบบนี้น่ะหรือ? ไม่เหมาะกระมัง”

ซ่งเกาหยวนเอ่ย “บรรพจารย์หรงกวานไม่ถือสาหรอก เดิมทีนางก็อยากมาเที่ยวที่ภูเขาห้อยหัวอยู่แล้ว”

โฉวเหมียวเลยปล่อยตามใจเขา

วันต่อมาพวกผู้ฝึกกระบี่สามคนกลุ่มของต่งปู้เต๋อก็หวนกลับมาที่คฤหาสน์หลบร้อนด้วยกัน หลัวเจินอี้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงบอกกับซ่งเกาหยวนว่านางเคยเดินสวนไหล่กับเซียนกระบี่เซี่ยจื้อบนสนามรบ อีกฝ่ายบอกให้นางนำความมาบอกซ่งเกาหยวนว่าไม่ต้องรอเขา

ผังหยวนจี้ลุกขึ้นยืน เดินก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูออกไป ก่อนจะขี่กระบี่ไปยังหัวกำแพงเมืองได้เอ่ยว่า “ซ่งเกาหยวน ข้าคงไม่ไปส่งเจ้าแล้ว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!