ทรายสีทองที่ขัดเกลาออกมาจากโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ สุดท้ายค่อยๆ แนบติดอยู่บนเสื้อผ้าของสตรีคนทุบผ้า มองไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่นิดเดียว
ในใจเฉินผิงอันรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง มีเงินแต่ไม่โอ้อวด ก็ควรเป็นเช่นนี้ เป็นคนบนเส้นทางเดียวกันจริงๆ ด้วย เด็กชายผมขาวข้างกายที่ชอบโอ้อวดผู้นั้นเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
นางถามอย่างใคร่รู้ “นายท่านอิ่นกวานไม่กลับบ้านเกิดหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เอาไว้ค่อยว่ากัน”
นางจึงไม่ถามอะไรมากอีก
ยังคงเห็นตัวเองเป็นบ่าวอยู่เหมือนเดิม
จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเดินเล่นเพียงลำพัง แต่ก่อนจะจากกัน นางยื่นนิ้วมาดันที่หน้าผากตัวเอง หยิบเอาเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งออกมามอบให้กับเฉินผิงอัน
ซวงเจี้ยงลากสตรีไปเก็บสมบัติด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายวางแผนร่วมกัน แรกเริ่มซวงเจี้ยงคิดว่าหากเป็นของที่ตัวเองหาเจอ แน่นอนว่าต้องเป็นของตนทั้งหมด ส่วนของที่นางหาเจอ สองฝ่ายต้องแบ่งกันเก้าต่อหนึ่งส่วน คิดไม่ถึงว่าสตรีหน้าเหม็นที่ขอบเขตไม่ได้เรื่องคนนั้นไม่รู้ว่าใครมอบดีสุนัขให้นาง ถึงได้คิดจะแบ่งส่วนแบ่งกับเขาห้าต่อห้า เพียงแต่ว่าถึงแม้ตบะขอบเขตของนางจะไม่มากพอ แต่นางกลับเป็นบรรพบุรุษของเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง ต่อให้ถูกตนสังหารกายธรรมร่างจำแลงก็ยังถือกำเนิดจากเหรียญทองแดงแก่นทองที่เฉินผิงอันเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋าเหรียญนั้นได้อยู่ดี ถึงเวลานั้นหากนางเอาความไปฟ้อง กระซิบกระซาบข้างริมหู ซวงเจี้ยงคิดแล้วตัวเองคงรับไม่ไหวแน่นอน ด้วยนิสัยของเฉินผิงอันที่ชอบคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ มีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าจะให้เฉินชิงตูสับตนให้ตายด้วยกระบี่เดียว ซวงเจี้ยงจึงได้แต่ปรึกษากับนางดีๆ สุดท้ายกว่าจะตกลงจนได้สัดส่วนสี่ต่อหกไม่ใช่ง่าย ซวงเจี้ยงพอจะได้กำไรมาบ้างเล็กน้อย แต่เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยใจยิ่งกว่าช่วงเวลาแปดสิบปีที่ต้องคอยตามตื๊อเฒ่าหูหนวกเสียอีก คิดไม่ถึงว่านางจะยังไม่พอใจ บ่นพึมพำว่าบ่าวไร้ประโยชน์จริงๆ ทำให้นายท่านต้องเสียผลประโยชน์ไปเปล่าๆ ส่วนหนึ่ง
ซวงเจี้ยงเกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวขอร้องแม่นางท่านนี้
เฉินผิงอันมายังทะเลเมฆที่มีไข่มุกโชคชะตาน้ำก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติ เอนตัวนอนลงบนทะเลเมฆ มือทั้งสองวางทับซ้อนกันไว้บนหน้าท้อง หลับตาทำสมาธิ
ดวงจิตเมล็ดงาออกสำรวจตรวจตราไปทั่วทิศ
สุดท้ายเฉินผิงอันก็มายังริมทะเลสาบหัวใจในฟ้าดินเล็กร่างกายคน จิตขยับเล็กน้อยก็มีสะพานโค้งที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่งโผล่เพิ่มมา
ร่างจริงที่อยู่บนทะเลเมฆกลับหลับสนิทไปแล้ว
ดวงจิตของเฉินผิงอันยืนอยู่ตรงปลายฝั่งนี้ของสะพานแห่งความเป็นอมตะ ขอแค่ข้ามสะพานไป การเดินไปถึงอีกฝั่งหนึ่งในครานี้ บนโลกใบนี้ก็จะมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว
คนจิ๋วสีทองขี่มังกรเพลิงมาหยุดอยู่ข้างดวงจิตของเฉินผิงอัน สองแขนยกขึ้นกอดอก เชิดหน้าขึ้นสูง
มังกรเพลิงที่เป็นพาหนะของมัน หลังจากมีการขัดเกลาโชคชะตาบู๊แล้วก็เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หากบอกว่าก่อนหน้านี้มังกรเพลิงมีขนาดลำตัวหนาเท่าแค่ตะเกียบ เวลานี้ก็น่าจะหนาเท่าแขนคนแล้ว พลังอำนาจบีบคั้นน่ายำเกรง
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “อย่าได้ด่าคนเชียว”
เด็กจิ๋วชุดทองหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าก็ด่าตัวเองอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรือ? ด่าจนข้ารำคาญแล้ว แล้วยังไม่ฟังไม่ได้ด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ย “ต่างก็พูดกันว่าคนเราต้องมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง ประเด็นสำคัญคือข้ายังเชื่อในคำกล่าวนี้มาโดยตลอด ดังนั้นจึงด่าอย่างไร้เหตุผล ถูกไหมล่ะ?”
คนจิ๋วสีทองเอ่ย “เจ้ากลัวว่าจะจากไปไม่ได้ กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นเฉินชิงตูคนที่สอง ขณะเดียวกันก็ไม่มีความสามารถเท่าเฉินชิงตู เจ้ากลัวว่าจากไปแล้วจะไม่มีโอกาสได้กลับมาพบเจอกันอีก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจ้ากลัวว่าทุกสิ่งที่อย่างที่เจ้าทำลงไป ตัวเองจะไม่ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันกระโดดอยู่สองสามที ใช้หมัดทุบฝ่ามือ ต่อยท่าหมัดหวังปา สุดท้ายยื่นมือมาเป่าลมใส่ มองไปทางสะพานแห่งนั้น “เป็นคนล้วนต้องเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลำบากใจ”
คนจิ๋วสีทองเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ใช้คำด่ามาแสดงถึงการปลอบโยนของตัวเอง
ได้ฟังภาษาถิ่นของเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดที่ไม่ได้ยินมานาน เฉินผิงอันพลันอารมณ์ดี สายตาใสกระจ่างจนเหมือนลำธารเส้นนั้นของบ้านเกิด ความกังวลบางอย่างเหมือนปลาน้อยที่พลันสะบัดหางแล้วว่ายผลุบเข้าไปในกอต้นไม้น้ำ ไม่ออกมาพบเจอผู้คนอีก
สุดท้ายเฉินผิงอันถอยดวงจิตออกมาจากฟ้าดินเล็ก ลุกขึ้นจากทะเลเมฆ ทะยานลมไปยังทางเข้าของคุก
ในเรื่องของการข้ามสะพาน ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนดุจไฟไหม้ขนคิ้ว รอกระทั่งหลอมโชคชะตาบู๊ของทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างผสานรวมเข้าไปในแม่น้ำภูเขาเรือนกายมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบก่อนค่อยว่ากัน
ขอบเขตถ้ำสถิตที่ควรเป็นของตน อย่างไรก็ไม่หนีไปไหน
ถึงเวลานั้นเมื่อถ้ำสถิตเปิดออก ฟ้าดินเล็กกับฟ้าดินใหญ่เชื่อมโยงกัน ปราณวิญญาณอันเปี่ยมล้นที่แทรกซอนด้วยปณิธานกระบี่เข้มข้นท่ามกลางฟ้าดินของคุกก็จะซัดหลุนๆ กรูกันเข้ามาในช่องโพรงลมปราณใหญ่ๆ ที่สำคัญ
เพียงแต่ว่าความเจ็บปวดจากเนื้อหนังและจิตวิญญาณ บางทีอาจถูกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องน่ากลัว มองเป็นธรณีประตูแห่งความเป็นตายที่ยากจะก้าวข้ามผ่านไปได้ แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้วไม่ถือว่าเป็นเรื่องอะไรเลยจริงๆ
ตลอดทางที่เดินไปนี้เฉินผิงอันเดินผ่านกรงขัง ปีศาจใหญ่อวิ๋นชิงก็เผยกายอีกครั้ง เอ่ยสัพยอกด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้มีโชคชะตาบู๊อยู่บนร่าง ตอนนี้หลอมโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสมบัติล้ำค่าได้ ต้องแสดงความยินดีกับอิ่นกวานอีกครั้งแล้ว รอให้เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้เมื่อไหร่ยังต้องอวยพรอีกครั้ง ค่อนข้างจะยุ่งไปสักหน่อย โชคดีที่ไม่ได้อยู่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่อย่างนั้นลำพังแค่การมอบของขวัญอวยพรก็ต้องมีถึงสามชิ้นแล้ว”
เฉินผิงอันหยุดเดิน ยิ้มกล่าว “อยู่ในใต้หล้าไพศาล เทพเซียนห้าขอบเขตบนบนยอดเขาท่านหนึ่งมาเยือนถึงที่ก็ถือเป็นของขวัญเยี่ยมเยือนที่ดีที่สุดแล้ว”
อวิ๋นชิงมองไปยังดาบแคบเล่มนั้นแล้วเอ่ยชื่นชมว่า “เป็นดาบที่ดี”
เฉินผิงอันใช้ฝ่ามือดันด้ามดาบ เอ่ยว่า “น้ำหนักมากพอ เป็นดาบที่ดีจริงๆ”
อวิ๋นชิงเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ดูท่าโอกาสที่จะได้พูดคุยกับอิ่นกวานคงมีไม่มากแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ไม่ได้เจอผู้อาวุโสอวิ๋นชิงที่ใต้หล้าไพศาล ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างใหญ่หลวง”
อวิ๋นชิงยิ้มกล่าว “ไม่ได้เชิญอิ่นกวานดื่มสุรารสเลิศที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เป็นเรื่องน่าเสียดายเหมือนกัน ภูเขาลูกนั้นของข้ามีทัศนียภาพงดงามอย่างถึงที่สุด”
เด็กชายผมขาวกลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือ ข้างกายตามมาด้วยสตรีนามว่าฉางมิ่ง
วัตถุอย่างทรายสีทองนี้ เมื่อมีนางอยู่จึงได้มาอย่างง่ายดาย สิ่งที่ต้องการให้ซวงเจี้ยงออกแรงยังคงเป็นพวกวัตถุที่โครงกระดูกปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลทั้งหลายทิ้งเอาไว้มากกว่า ของแต่ละชิ้นกระจัดกระจายกันอยู่ การค้นหาจึงเปลืองแรงอย่างยิ่ง สมบัติล้ำค่าแห่งฟ้าดินส่วนใหญ่มีสติปัญญา ไม่เหมือนโครงกระดูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โครงกระดูกปีศาจใหญ่ที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้ ต่อให้ซวงเจี้ยงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตามหาพวกมัน ก็ยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก โชคดีที่สตรีผู้นั้นไม่เสียแรงที่เป็นร่างจำแลงของบรรพบุรุษเงิน จึงคล้ายว่านางจะมีโชคอย่างถึงที่สุด สุดท้ายผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับจึงเหนือกว่าที่ซวงเจี้ยงคาดการณ์เอาไว้มาก ภายหลังมีประสบการณ์แล้ว ซวงเจี้ยงจึงจงใจอยู่ให้ห่างจากนาง รอจนนางเจอกับโชควาสนาแล้วค่อยให้นางบอกกล่าวแก่ตน เขาถึงจะกระโจนเข้าไปคว้าจับสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินที่พุ่งชนสะเปะสะปะเหมือนกระบี่บินของเซียนกระบี่พวกนั้นอย่างรอบคอบระมัดระวัง
ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันนี้จะขุดดินลึกสามฉื่อแค่ทิศทางเดียวเท่านั้น วันหน้าทุกวันจะมุ่งหน้าไปยังจุดหนึ่ง อย่างมากสุดเวลาแค่สิบกว่าวันก็พอจะกวาดค้นได้รอบหนึ่งแล้ว สิบวันถัดไป ค่อยไปไล่ตรวจสอบหาจุดที่พลาดไปอีกครั้ง
สตรีเข้ามาในคุกเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ปีศาจใหญ่ชิงชิวเห็นว่าข้างกายเฉินผิงอันมีสตรีงดงามอ่อนโยนท่าทางเรียบร้อย ดูแล้วไม่ธรรมดาจริงๆ จึงจุ๊ปากเอ่ย “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างมีโชคด้านสาวงามจริงๆ แค่รสปากหนักไปสักหน่อย ตอนแรกก็เป็นสตรีที่ถลกหนังตัวเอง เวลานี้เปลี่ยนมาเป็นภูตที่ไม่ว่าจะผิวหนังหรือเลือดเนื้อก็ล้วนไม่ใช่ของจริงผู้นี้ ใต้เท้าอิ่นกวานเจ้านี่มันยังไงกันนะ ในคุกแห่งนี้มีจิ้งจอกเจ็ดหางอยู่ตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ผู้ฝึกตนหญิงคนอื่นๆ ก็ยังมีอยู่อีกหลายคน นี่ยังไม่พอให้เจ้ากินอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใกล้จะตายอยู่แล้ว จะพูดจาให้น่าฟังสักสองสามคำไม่ได้เลยหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!