เฉินผิงอันถาม “นอกจากเย็บผ้าจะช่วยหล่อหลอมโชคชะตาบู๊แล้ว ยังมีวิธีการอื่นที่เห็นผลในทันทีอีกหรือไม่?”
ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง หากสามารถฝ่าขอบเขตได้ด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุด แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง เท่ากับว่าได้รับการยอมรับจากวิถีวรยุทธของหนึ่งใต้หล้า เพียงแต่ว่าการฝ่าทะลุขอบเขตเช่นนี้เป็นแค่การเปรียบเทียบกับผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันในยุคสมัยเดียวกันเท่านั้น ทุกขอบเขตที่ฝ่าไปได้ของเฉาสือล้วนแข็งแกร่งที่สุดทั้งหมด น้ำหนักเยอะมาก โชคชะตาบู๊จึงเยอะมาก ขนาดอวี้เจวี้ยนฟูก็ยังเป็นรองอยู่เยอะ ปีนั้นในหุบเขาผีร้ายของอุตรกุรุทวีป เฉินผิงอันได้เจอกับคนประหลาดที่ภูเขากระจกวิเศษ เขาเรียกตัวเองว่าหยางฉงเสวียน ภายหลังเฉินผิงอันถึงได้รู้สถานะของอีกฝ่ายว่าที่แท้เขาคือลูกหลานสกุลหยางแห่งตำหนักนภากาศ คือพี่ชายของบัณฑิตคนนั้น แล้วก็เคยเป็นขอบเขตร่างทองที่เลื่อนขั้นมาโดยขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุด
ลองมาคิดดูแล้วเฉินผิงอันก็รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก เฉาสือ อวี้เจวี้ยนฟู และยังมีหยางฉงเสวียน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสามคนที่ตนเคยพบเจอมาล้วนเคยเป็นขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดมาช่วงระยะเวลาหนึ่งทั้งสิ้น
ซวงเจี้ยงลุกขึ้นนั่ง พูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “ไม่มีหรอก การเย็บผ้าของเหนี่ยนซินแม่นยำมากแล้ว แต่ข้ากลับพอจะมีวิธีในการหล่อหลอมอยู่บ้าง น่าเสียดายที่อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี ข้าทำการค้าอย่างยุติธรรมมาโดยตลอด จะไม่มีทางพูดจาเหลวไหลชักชวนให้คนเชื่อถือ ปล่อยให้เงินมาบังตาบังใจตัวเองเด็ดขาด”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ด่าคนไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม”
ซวงเจี้ยงกระโดดผลุงขึ้น ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาลอยค้างไว้เหนือหัว “สวรรค์เป็นพยาน หากท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานยังใส่ร้ายข้าเช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตบตัวเองให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง?!”
เฉินผิงอันผายมือข้างหนึ่งบอกเป็นนัยว่าเชิญตามสบาย
ซวงเจี้ยงกำลังจะเปิดปากพูดก็มองเห็นเจ้าลูกกระต่ายน้อยคนหนึ่ง จึงโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง คว้าร่างอีกฝ่ายมาไว้ข้างกาย ถลึงตาเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าตะพาบน้อย กล้าบังอาจลอบมองแผ่นหลังอันองอาจของท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานข้าหรือ เจ้าไม่ใช่สาวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเสียหน่อย!”
ที่แท้ก็คือเด็กหนุ่มโยวอวี้ เพราะว่าเฒ่าหูหนวกยังต้องกลับมาที่คุก ครั้งนี้เฒ่าหูหนวกไปเข่นฆ่าบนหัวกำแพงเมืองจึงไม่ได้พาเด็กหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นเจ้านายของตนผู้นี้ไปด้วย
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “โยวอวี้ หากไม่ยุ่งอยู่กับการฝึกตนก็มานั่งลงพูดคุยกันได้”
เด็กชายผมขาวรีบช่วยปัดชายแขนเสื้อให้เด็กหนุ่มทันใด ยิ้มกล่าว “โยวอวี้ มัวยืนอึ้งอยู่ทำไมเล่า รีบไปนั่งข้างกายบรรพบุรุษอิ่นกวานสิ นี่เป็นเกียรติอันใหญ่หลวงเพียงใด หากเปลี่ยนมาเป็นเฒ่าหูหนวก เวลานี้คงจะน้ำตาไหลนองหน้าคุกเข่าโขกหัวขอบคุณไปนานแล้ว”
โยวอวี้มานั่งอยู่ใกล้ๆ กับเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มมีท่าทางระมัดระวังตัวเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่ใช่คนที่พูดเก่ง จึงไม่เอ่ยอะไรเลยสักคำ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้างกายอิ่นกวานหนุ่มยังมีเด็กชายผมขาวคนนั้นอยู่ ผู้อาวุโสหูหนวกบอกว่าไอ้หมอนี่คือเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง พบหน้ากันแค่ทำตัวตามสบายก็พอแล้ว หรือจะต่อยตีกันก็ยังไม่เป็นปัญหา ถึงอย่างไรก็ขัดขวางอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ผู้อาวุโสหูหนวกพูดถึงขนาดนี้แล้ว เด็กหนุ่มจะยังทำตัวตามสบายอีกได้อย่างไร?
เฉินผิงอันถามเรื่องบางอย่างจากโยวอวี้ เด็กหนุ่มตอบทุกคำถาม บ้านอยู่ที่ไหน ผู้ถ่ายทอดมรรคาคือใคร กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเป็นอย่างไร ก่อนหน้านั้นในศึกใหญ่ไม่ได้สังหารเผ่าปีศาจ แค่คอยช่วยหอกระบี่หอภูษาทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่บนหัวกำแพงเมือง เขาล้วนไม่ได้ปิดบัง เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คือใต้เท้าอิ่นกวาน โยวอวี้จึงไม่คิดจะหลบซ่อนเรื่องใด แล้วนับประสาอะไรกับที่อิ่นกวานหนุ่มจากต่างถิ่นที่เรื่องราวเต็มไปด้วยสีสันผู้นี้มีเรื่องเล่าลือมากเหลือเกิน ยิ่งเป็นพวกคนที่อายุน้อยก็ยิ่งชอบพูดคุยกัน โยวอวี้มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง และเพื่อนของเขาก็มีแม่นางน้อยที่รักซึ่งเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก นางจึงมักจะถามเพื่อนคนนั้นของเขาว่า หากข้าอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล เจ้าจะยอมลำบากเหนื่อยยากเพื่อไปหาข้าไหม? สหายของเขาเพิ่งเคยถูกถามเป็นครั้งแรกจึงตอบไปว่า เจ้าเองก็ไม่ได้อยู่ที่ใต้หล้าไพศาลสักหน่อย ผลคือนางไม่สนใจเขาไปหลายวัน ภายหลังสหายของเขาฉลาดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่าคำตอบในแต่ละครั้งกลับไม่ทำให้นางพอใจได้เสียที สุดท้ายเพื่อนของเขาจึงมาบ่นเอากับเขาว่า ข้าไม่ใช่อิ่นกวานผู้นั้นสักหน่อย จะไปเทียบอีกฝ่ายได้อย่างไร
คุยกันมากเข้า โยวอวี้ก็ค้นพบว่าที่แท้ใต้เท้าอิ่นกวานเข้ากับคนได้ง่ายมาก ยามที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน ไม่ว่าใครจะเป็นคนพูด อิ่นกวานหนุ่มล้วนฟังอย่างตั้งใจ สายตาไม่เคยวอกแวก ไม่เคยทำท่าเหม่อลอยหรือตอบรับอย่างขอไปที
ซวงเจี้ยงรู้สึกว่าความยอดเยี่ยมของตนเป็นส่วนเกินจึงลุกขึ้นเงียบๆ ไปนั่งอีกฝั่งของบรรพบุรุษอิ่นกวาน
ไม่มีเด็กชายผมขาวนั่งคั่นกลาง โยวอวี้ก็ยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น จึงเล่าเรื่องน่าอายของสหายออกมาด้วย
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “โยวอวี้ คราวหน้าหากเจ้าเจอเพื่อนก็ให้เขาบอกแม่นางที่รักไปว่า ต้องแยกจากกันไปอยู่คนละใต้หล้า จะตัดใจได้อย่างไร แค่ลองคิดดูก็เสียใจแล้ว แต่หากต้องแยกจากกันจริงๆ ก็ให้นางรอเขา ต้องรอเขาให้ได้”
โยวอวี้ถามเบาๆ “จะสำเร็จจริงหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พยักหน้ารับเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
โยวอวี้จึงพยักหน้ารับอย่างแรง รู้สึกว่าสามารถทำได้
ซวงเจี้ยงโน้มตัวมาด้านหน้า ใช้สองนิ้วจิ้มมาข้างหน้ามั่วซั่ว บอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มรีบไสหัวไป อย่าได้ถ่วงเวลาการฝึกตนของท่านบรรพบุรุษอิ่นกวาน
ผลคือโดนเฉินผิงอันต่อยลงบนหน้าโดยที่เขาไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มกลั้นยิ้ม ลุกขึ้นยืนแล้วขอตัวจากไป
เฉินผิงอันเองก็ลุกขึ้นเอ่ยลากับเด็กหนุ่ม
เฉินผิงอันเดินลงบันไดกลับไปยังชั้นล่างของคุกอีกครั้ง ซวงเจี้ยงก็มาเดินอยู่เบื้องหน้าพลางพร่ำพูดไปด้วยว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวานระวังขั้นบันไดนะขอรับ”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตอยู่ที่นี่ดีกว่า หรือควรจะออกไปข้างหน้าแล้วค่อยเลื่อนขั้นก็ยังไม่สาย?”
ซวงเจี้ยงเอ่ย “เรื่องนี้จะทำตามใจอย่างไรก็ได้”
สะพานแห่งอมตะของเฉินผิงอันถูกสร้างขึ้นใหม่ได้อย่างมั่นคงแล้ว การเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางจึงสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา
หากจะบอกว่าในฐานะผู้ฝึกยุทธ การที่เฉินผิงอันต้องหล่อหลอมโชคชะตาบู๊ที่อยู่บนร่างก็คือการเปิดภูเขา ถ้าอย่างนั้นข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่ของการฝึกตนเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ก็คือการเปิดจวน
จะกลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลางอยู่ในฟ้าดินของคุก หรือออกไปจากคุกก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น
การเปิดจวนของขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่ง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับการเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลได้ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ เกรงว่าก็คงเหมือนการขว้างหินก้อนเล็กๆ ลงไปในทะเลสาบ ไม่มีใครให้ความสนใจ
แต่หากเฉินผิงอันไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ เขาก็ไม่มีทางกล้าเปิดจวนเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตโดยพลการแน่นอน เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก กำแพงเมืองปราณกระบี่มีปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป!
สำหรับผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แล้ว การสยบกำราบจากมหามรรคามีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง และมีแต่จะยิ่งทำให้ผู้ฝึกลมปราณรู้สึกว่าแบกรับภาระหนักเป็นเท่าทวี
ดังนั้นหากไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างจากต่างถิ่นซึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ เรื่องตลกจากการเดินขึ้นหัวกำแพงเมืองไปหาประสบการณ์ก็เคยมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน หากไม่ระวังให้ดี ดีไม่ดีอาจร้ายแรงถึงชีวิต
ข้างกายต้องมีองค์รักษ์ มีผู้ถวายงานคอยให้การปกป้องคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา ในสายตาของผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นแล้วล้วนถือเป็นลูกกระต่ายน้อยที่ยังไม่หย่านมทั้งสิ้น
ดังนั้นการที่ใต้หล้าไพศาลมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็หาใช่เพราะเกิดจากอคติตามธรรมชาติของผู้ฝึกลมปราณจากใต้หล้าไพศาลฝ่ายเดียวเท่านั้น
พวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนชนชั้นสูง ยิ่งเป็นคนที่อายุน้อยเท่าไร อยู่ที่บ้านเกิดยิ่งเคยชินกับการป้อยอจากคนข้างกายมากเท่าไร พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่พูดถึงการพูดจาไม่เข้าหูกัน ลำพังเพียงแค่สายตาที่บ้างก็เย็นชาบ้างก็ดูแคลนจากพวกเซียนกระบี่ผู้ฝึกกระบี่ที่ได้เห็นก็มากพอจะทำให้พวกเขาสะอึกอึ้ง กลายมาเป็นภาพที่ยากจะลืมเลือนได้ตลอดชีวิตแล้ว
การผลักไสของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นับตั้งแต่ปราณกระบี่แห่งฟ้าดิน ไปจนถึงโชควาสนาบนวิถีกระบี่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานเซียนกระบี่ยุคโบราณ ล้วนไม่เป็นมิตรกับใต้หล้าไพศาลอย่างมาก ส่วนทัศนคติที่ผู้ฝึกกระบี่มีต่อใต้หล้าไพศาลก็ยิ่งย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
อิ่นกวานเซียวสวิ้นกับเซียนกระบี่สองคนที่กุมอำนาจของสายอิ่นกวานอย่างลั่วซาน จู๋อาน จางลู่ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่เฝ้าประตูใหญ่ มาจนถึงผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยอย่างพวกผังหยวนจี้ ฉีโซ่ว มีใครบ้างที่ไม่มีใจเป็นศัตรูต่อใต้หล้าไพศาล ซึ่งนี่ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะไม่มีความรู้สึกดีอันใดด้วยเท่านั้น ถึงอย่างไรเซียนกระบี่อย่างซุนจวี้เฉวียนก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ผลคือพอเอาเข้าจริง เมื่อต้องเจอกับตัวอ่อนกระบี่รุ่นเยาว์ของราชวงศ์เส้าหยวนแห่งแผ่นดินกลางที่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยพามา ก็กลายเป็นว่าความประทับใจที่ซุนจวี้เฉวียนมีต่อพวกเขาเปลี่ยนมาเป็นรังเกียจไปจนได้
ในบรรดาลูกศิษย์และนักเรียนของเฉินผิงอัน เผยเฉียนนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลใดๆ พอมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งกว่าปลาได้น้ำ กลมกลืนเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!