กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 682

สรุปบท บทที่ 682.3 ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากเพื่อสิ่งใดกัน: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 682.3 ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากเพื่อสิ่งใดกัน – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 682.3 ฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากเพื่อสิ่งใดกัน ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

“การเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตซึ่งเป็นขั้นแรกของห้าขอบเขตกลางนั้น หากไม่ระวังก็จะต้องมีจุดจบที่เกิด ‘ภัยพิบัติน้ำท่วม’ หากฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์เชื่อมโยงอยู่กับฟ้าดินใหญ่ ปราณวิญญาณเหมือนน้ำท่วมที่ไหลบ่าสู่ด้านใน กรอกเทเข้าใส่อย่างกำเริบเสิบสาน มหามรรคาของเจ้าใกล้ชิดกับน้ำ อีกทั้งเนื่องจากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เรือนกายจึงแข็งแกร่ง และเส้นทางในจิตวิญญาณที่มังกรเพลิงตัวนั้นบุกเบิกเอาไว้ก็มีเยอะมาก นอกจากนี้ยังมีตราประทับอักษรน้ำชิ้นหนึ่งพิทักษ์จวน จึงไม่ต้องกลัวเรื่องนี้แม้แต่น้อย”

“ดังนั้นเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตจึงง่ายดายอย่างยิ่ง ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปยังต้องกะกำลังไฟนี้ให้ดี แต่เจ้ากลับตรงกันข้ามกันเลย ต้องพยายามดูดซับเอาปราณวิญญาณมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จำเป็นต้องตั้งท่าเหมือนวัวกินน้ำ ปลาวาฬสูบน้ำ ทำให้เสร็จในรวดเดียว แล้วตามหาสถานที่ที่ใกล้ชิดกับสายน้ำอย่างพวกจวนน้ำ ศาลภูเขามากขึ้นกว่าเดิม ก็เหมือนการที่ห้าขุนเขาบนโลกมนุษย์ต้องตามหาภูเขาทายาทไว้คอยช่วยประคับประคอง เพียงแต่ว่าใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้าไม่ค่อยพิถีพิถันในเรื่องนี้ แต่ในใต้หล้ามืดสลัว ไม่เพียงแต่ซานจวินเท่านั้น ยังมีสุ่ยเซียน (เซียนน้ำ) ที่ต่างก็มองการเลือกสถานที่ตั้งของพวกทายาทผู้สืบทอดเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ลองคิดตามดู วัตถุห้าธาตุของเจ้าต่างก็มีถ้ำสถิตแห่งหนึ่งคอยช่วยเหลือ การสะสมปราณวิญญาณก่อนที่จะสร้างโอสถทองก็จะมากมายอย่างน่าตะลึง ทั้งไม่ต้องวางวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นใดไว้คอยเฝ้าพิทักษ์ หลีกเลี่ยงไม่ให้ยามที่เผชิญกับการเข่นฆ่าอันดุเดือดรุนแรงแล้วจะถูกคนอื่นทำร้ายรากฐานมหามรรคาได้อย่างง่ายดาย แต่นี่กลับสามารถทำให้เจ้าดูดดึง สะสมปราณวิญญาณบนเส้นทางของการฝึกตนได้ง่ายขึ้น เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว เพียงแต่ว่าต้องเป็น ‘ผู้สืบทอด’ แห่งขุนเขาสายน้ำแบบไหนที่เหมาะกับช่องโพรงลมปราณ เรื่องนี้ซุกซ่อนเคล็ดลับที่สำคัญเอาไว้ การเปิดถ้ำสถิตเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด ก็เหมือนยามที่ฟ้าดินเปิดออกในช่วงแรกนั่นแหละ ปราณวิญญาณกรอกเทลงมา ทุกที่ที่ผ่านอาจมีปรากฎการณ์มากมาย หากผู้ปกป้องมรรคาตั้งใจสังเกตการณ์อย่างละเอียดก็จะสามารถตามหาเบาะแสร่องรอยได้ ทว่าสัญญาณที่ลี้ลับมหัศจรรย์เหล่านั้นเกิดขึ้นเพียงแวบเดียวก็หายไป ดังนั้นขอบเขตของผู้ปกป้องมรรคาต้องสูงมากพอ ไม่อย่างนั้นก็จะเสียเปล่า ต่อให้รู้เคล็ดลับที่ว่านี้ก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี อย่างน้อยที่สุดต้องเริ่มต้นที่ขอบเขตเซียนเหริน หากเปลี่ยนมาเป็นขอบเขตหยกดิบที่มองเบาะแสออก เขาจะกล้าลงมือไหม? แน่นอนว่าไม่กล้า ฟ้าดินร่างกายมนุษย์เปิดออกกว้าง อยู่ดีๆ ก็ทะเล่อทะล่าบุกเข้าไป นั่นจะไปปกป้องหรือไปทำร้ายคนอื่นทั้งยังทำร้ายตัวเองกันแน่?”

เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลา ไม่ยินดีให้พลาดคำใดไปสักคำ เพียงแต่ปากกลับเอ่ยว่า “เจ้าพูดตื้นเขินเกินไปแล้ว”

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินผิงอันปฏิบัติต่อเรื่องการฝึกตนของตัวเองจริงจังถึงเพียงนี้

สถานที่อันเป็นทายาทถ้ำสถิตที่เทวบุตรมารพูดถึง รวมไปถึงช่วงเริ่มต้นของการเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตเท่ากับว่าเป็น ‘ช่วงแรกที่ฟ้าดินเปิดออก’ นั้น เฉินผิงอันเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกจริงๆ

คนทั้งสองเดินขึ้นที่สูงไปด้วยกันช้าๆ ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “ตามความเห็นข้า มีเพียงเจ้าหลอมธงเซียนกระบี่เท่านั้นถึงจะดีเยี่ยมที่สุด แต่หากหลอมป๋ายอวี้จิงจำลองแล้วเอาวางไว้บนยอดเขาของศาลภูเขากลับไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง หากไม่เป็นเพราะเหนี่ยนซินช่วยผลัดเปลี่ยนถ้ำสวรรค์ ย้ายตราประทับอาคมห้าอสนีที่แขวนอยู่หน้าจวนไม้มาไว้ที่กลางฝ่ามือของเจ้า นั่นก็จะยิ่งเป็นการลงมือที่ย่ำแย่ครั้งหนึ่ง เพราะหากถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคว้าจับรากฐานไว้ได้แล้วขว้างเวทอาคมร้ายกาจสักบทเข้าใส่ ตราประทับอาคมห้าอสนีไม่เพียงแต่ไม่สามารถปกป้องประตูจวนไม้ได้ กลับกันยังมีแต่จะกลายเป็นค้อนที่ทุบประตูให้พังเร็วเท่านั้น ผู้ฝึกตนมีข้อห้ามในเรื่องลูกไม้ลวดลายที่ไร้ประโยชน์ที่สุด บรรพบุรุษอิ่นกวานจะไม่ตรวจสอบไม่ได้เชียว…”

เฉินผิงอันตบหัวเทวบุตรมารอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาร่างของซวงเจี้ยงหายไปจากที่เดิม และเพียงชั่วพริบตาก็ไปโผล่ที่อื่น มันวิ่งขึ้นมาบนบันได แหงนหน้าพูดน้ำตากลบตา “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ลงโทษโดยไม่สั่งสอนกันก่อน เพราะเหตุใดกัน”

เฉินผิงอันปรายตามอง “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถึงเรื่องวัตถุที่ข้าหลอมว่ายังไงนะ?”

ซวงเจี้ยงครุ่นคิด คำพูดเหลวไหลของตนมีเยอะเกินไปจึงจำไม่ค่อยได้แล้ว จะต้องไล่เรียงให้ดีเสียก่อน แล้วมันก็ค้นพบว่าตนเองผิดไปแล้วจริงๆ ทว่าบรรพบุรุษอิ่นกวานก็เจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไปหน่อยแล้ว มันจึงได้แต่หาบันไดลงให้ตัวเองด้วยการพูดประจบว่า “ตอนนั้นเป็นท่านปู่อิ่นกวาน ตอนนี้เป็นท่านบรรพบุรุษแล้ว ไม่เหมือนกัน เฒ่าหูหนวกก็เรียกข้าว่าท่านปู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ เขาเองก็ไม่ได้มีเจตนาดี ไม่ได้จริงใจเลยสักนิด ใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ข้ากับท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานเป็นทั้งญาติบนทำเนียบวงศ์ตระกูล แล้วยังเป็นคู่ค้าที่ทำการค้าด้วยกันอย่างจริงใจ ยิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่ ความสัมพันธ์นี้ของพวกเราสองคนมั่นคงนักล่ะ!”

สีหน้าของเฉินผิงอันมองดูเหมือนผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วในใจกลับยังหวาดผวาไม่คลาย

หลังจากหลอมวัตถุ หากเปิดฉากเข่นฆ่ากับผู้อื่น เรือนกายและจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส ช่องโพรงลมปราณถูกทำลายจนเละ วัตถุที่ผ่านการหลอมกลางและหลอมใหญ่ต่างก็พังภินท์ นั่นก็คือคำว่าประตูเมืองไฟไหม้ลามไปถูกปลาในบ่ออย่างแท้จริง รากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งจะได้รับความเสียหายในระดับไหนก็ต้องดูที่ระดับของวัตถุแห่งชะตาชีวิตว่าสูงแค่ไหน เรื่องราวบนโลกมักจะมีโชคดีที่มาพร้อมกับโชคร้ายเสมอ ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันหลอมตราประทับห้าอสนี ปณิธานแห่งเต๋าของอิฐเขียวและเจดีย์ป๋ายอวี้จิงจำลอง แม้ว่าจะเป็นการหลอมกลาง เอามาใช้ช่วยวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ แน่นอนว่าได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย แต่หากช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตได้รับความเสียหายพังทลายไปพร้อมกับวัตถุแห่งชะตาชีวิต ก็จะยิ่งเป็นดั่งการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ ภัยพิบัติมีแต่จะมากยิ่งกว่าเดิม มีความเป็นไปได้มากว่าจะเดือดร้อนให้ช่องโพรงที่อยู่ใกล้เคียงต้องพังถล่มเละเทะไปด้วย

ทุกครั้งที่เฉินผิงอันเรียกวัตถุที่ผ่านการหล่อหลอมออกมาก็จะเป็นเหมือนที่เทวบุตรมารบอก หากมันเชื่อมโยงอยู่กับวัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ง่ายมากที่จะถูกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนสืบสาวร่องรอยระหว่างการปล่อยและการเก็บจนไปเจอกับที่ตั้งของช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิต และเดิมทีวัตถุห้าธาตุของเฉินผิงอันก็มีการเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว หากหาชิ้นหนึ่งเจอก็ง่ายที่จะเจอครบทั้งห้าชิ้น! คิดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ปล่อยหมัดออกไปอีกหมัด

วัตถุที่ผ่านการหลอมกลาง ไม่ว่าระดับขั้นจะสูงแค่ไหน ผลประโยชน์ที่มอบให้ยามฝึกตนจะมากเท่าไร และก็ไม่ใช่ว่าไม่สามารถเอามาวางไว้ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตได้ แต่เห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องระวังแล้วระวังอีก

ครั้งนี้เทวบุตรมารมีการเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว เป็นฝ่ายเขย่งปลายเท้ารับหมัด แล้วมารวมตัวกันที่ด้านหลังของเฉินผิงอัน วิ่งตุปัดตุเป๋ตามบรรพบุรุษอิ่นกวานไป ไม่ลืมเอ่ยชมเชยว่า “หมัดดีๆ วันหน้าพวกเราสองบรรพบุรุษกับหลานชายจับคู่กันไปท่องเที่ยวใต้หล้ามืดสลัว เรื่องแรกที่ท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานต้องทำก็คือใช้หมัดต่อยกลองตีฟ้านั่นให้เละ จะได้ให้ป๋ายอวี้จิงทั้งหลังและใต้หล้ามืดสลัวทั้งแห่งรู้ว่าท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานเดินทางมาเยือนแล้ว!”

เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเอง “สภาพจิตใจของผู้ฝึกตนอิสระบางอย่าง ตอนนี้ต้องเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว”

สภาพจิตใจที่ละเอียดอ่อนมหัศจรรย์บางอย่าง เมื่ออยู่บนเส้นทางชีวิตคนจะกลายเป็นแรงผลักดันที่ไม่อาจขาดไปได้ แต่เมื่ออยู่ในบางช่วงเวลากลับจะกลายเป็นการเหนี่ยวรั้งอย่างเงียบเชียบแบบหนึ่ง

ไม่ใช่ว่าเขาจะปฏิเสธทุกอย่างในอดีตไปทั้งหมด แต่เป็นเพราะความคิดถือกำเนิดเชื่อมโยงกัน ไม่มีอะไรที่ตายตัวแน่นอน สุดท้ายเมื่อเส้นสายที่เป็นรากฐานนี้สำเร็จ จึงหวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด ไร้อุปสรรคขัดขวาง

ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนอิสระอาจจะมีของชิ้นหนึ่งก็หลอมชิ้นหนึ่ง ได้แต่เจ็บใจที่มีน้อยเกินไป ขอแค่เปิดจวนได้มากพอ ไม่ว่าปัญหาร้อยแปดพันเก้าอะไรก็ล้วนไม่เป็นปัญหาทั้งนั้น

ทว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาใหญ่กลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ มีแต่จะคัดเลือกอย่างละเอียดบรรจง ภายใต้การถ่ายทอดและปกป้องมรรคาจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก จะเลือกหลอมวัตถุหลายๆ ชิ้นมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ส่วนที่เหลืออย่างมากสุดก็เลือกหลอมกลาง บ้างก็เอาไว้โจมตี บ้างก็เอาไว้ป้องกันตัว เป็นการปักบุปผาเพิ่มลงบนผ้าแพร ทุกครั้งที่ขอบเขตสูงมากขึ้น ปราณวิญญาณเหมือน ‘น้ำขึ้น’ หนึ่งขั้น ก็ค่อยหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตเพิ่มอีกชิ้น การคัดเลือกช่องโพรงลมปราณก็ยิ่งเป็นความรู้อย่างหนึ่ง ยังต้องเลือกสถานที่หนึ่งไว้เป็นห้องสร้างโอสถในอนาคตแต่เนิ่นๆ ต้องทำการสร้าง บุกเบิกก่อตั้งจวนตระกูลเซียนว่างโล่งแห่งหนึ่งเอาไว้ก่อน เพื่อรอให้สมกับคำว่า ‘มีเซียนก็ศักดิ์สิทธิ์’

ในบรรดาผู้ฝึกยุทธเต็มตัวยังมีผู้ฝึกยุทธหายากประเภทหนึ่งที่ถูกเรียกขานว่า ‘สุดยอดยอดฝีมือ’ สามารถเรียกได้ว่าเป็นศัตรูคู่แค้นกับผู้ฝึกตน หมัดทุกหมัดล้วนสามารถตรงไปยังห้องโอสถของผู้ฝึกลมปราณ เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนโอสถทอง ทุกหมัดล้วนชี้ไปยังโอสถทอง เผชิญหน้ากับผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าโอสถทอง หมัดก็สามารถต่อยทะลุช่องโพรงลมปราณที่มีเค้าโครงของห้องโอสถได้ หนึ่งหมัดต่อยลงไป ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งหลายของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์จะถูกพายุหมัดซัดจนแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำ ภูเขาปริแตกพื้นดินแยกยับ

ซวงเจี้ยงช่วยนับสมบัติให้แก่บรรพบุรุษอิ่นกวานพลางบอกถึงคำแนะนำอย่างละเอียดของมัน รวมไปถึงอธิบายอย่างอดทนด้วยว่าเหตุใดถึงต้องเป็นเช่นนั้น

ยกตัวอย่างเช่นกระบี่สั้น ‘แกะสลักเรือในอดีต’ ที่มันมอบให้อิ่นกวานเล่มนั้น บนตัวกระบี่แกะสลักคำหนึ่งว่า ‘ตู๋’ (คูน้ำ ร่องน้ำไหล) เอาไว้ ต้องไม่เหมาะให้นำมาหลอมใหญ่อย่างแน่นอน แต่กลับเหมาะกับการหลอมกลางที่สุด สามารถเอาวางไว้ในบ่อน้ำของจวนน้ำได้ เจียวหลงตัวน้อยที่ก่อนหน้านี้จำแลงมาจากโชคชะตาน้ำของโอสถวารี ทั้งเป็นของปลอมทั้งอ่อนแอ เรียกได้ว่าทำให้ฮวงจุ้ยของจวนน้ำท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานด่างพร้อยโดยแท้ ไม่ควรจะรวมตัวขึ้นเป็นเจียวหลงเลยสักนิด กลับกันควรจะรวมตัวเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่ง เมื่อโชคชะตาน้ำเข้มข้นขึ้นส่วนหนึ่ง โอกาสที่ไข่มุกจะรวมตัวกลายเป็นของจับต้องได้จริงก็เพิ่มมากขึ้นส่วนหนึ่ง บวกกับกระบี่สั้นอีกเล่มหนึ่งที่สลักคำว่า ‘หู’ (ทะเลสาบ) ของมัน ก็จะสามารถสร้างสถานการณ์ที่มังกรคู่ช่วงชิงไข่มุกได้แล้ว นั่นต่างหากจึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

และยังมีธงเซียนกระบี่อันนั้นที่ควรจะนำไปตั้งวางไว้บนยอดของศาลภูเขาอย่างไร ก็ยังมีข้อพิถีพิถันใหญ่อยู่อีก ย่อมไม่ใช่แค่เฉินผิงอันโยนเอาไปไว้ง่ายๆ แล้วจบเรื่องแน่นอน

เฉินผิงอันรับฟังอย่างตั้งใจ

เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ ขอแค่ยินยอม ‘ถ่ายทอดมรรคา’ อย่างจริงจัง ก็ไม่เสียแรงที่มีสถานะเป็นขอบเขตบินทะยานเลย ในด้านตบะเรียกได้ว่าเชื่อมถึงฟ้าไปเด็ดดวงตะวันจันรา ส่วนถ้อยคำที่เอ่ยก็ลงพื้นดินมาสร้างบ้านหลังโตหอเรือนสูงได้เลย

เฉินผิงอันได้รับผลประโยชน์อย่างมาก เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ เป็นการค้าที่คุ้มค่ายิ่ง

เดินมาได้ครึ่งทาง เผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดตนหนึ่งก็เดินขยับเข้ามาใกล้ราวรั้ว ถามอย่างใคร่รู้ว่า “คนหนุ่มอย่างเจ้าฝึกตนอย่างไรกันแน่? เหตุใดถึงได้รวดเร็วจนเหมือนเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปทุกวันเช่นนี้?”

เฉินผิงอันหยุดเดิน ย้อนถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่เชี่ยวชาญศาสตร์ฮวงจุ้ย สามารถตรวจสอบหาเส้นทางมังกร ชำนาญการหาพื้นที่ลับถ้ำสถิตเป็นพิเศษรึ?”

ซวงเจี้ยงเบี่ยงตัวหันข้างไปขยี้ตาแรงๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ท่านบรรพบุรุษอิ่นกวานต้องยุ่งหัวไม่วางหางไม่เว้น ไม่มีเวลาพักกายพักใจแม้สักเสี้ยวนาที ทำเอาข้าที่มองดูอยู่ทั้งเลื่อมใส ทั้งสงสาร อารมณ์นับร้อยประดังประเดกัน จนน้ำตาไหลอาบหน้าแล้ว”

เฉินผิงอันเอาสองมือวางไว้บนศีรษะของเด็กชายผมขาว “แม้ว่าจะเป็นแค่การเสแสร้ง แต่ฟังแล้วก็ยังปลอบใจคนได้ดี”

ผลคือคำพูดนี้ของบรรพบุรุษอิ่นกวานพูดช้าเกินไปหน่อย เพราะซวงเจี้ยงกลับระเบิดร่างของตัวเองไปก่อนแล้ว แล้วไปจำแลงร่างกลายเป็นคนที่ตำแหน่งอื่น ดังนั้นจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง ยังไม่กล้าวิ่งไปนั่งที่เดิมทันที

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองด้วยสีหน้ามีเลศนัย ซวงเจี้ยงยิ้มพูดอย่างขลาดๆ ว่า “ยังไม่ทันออกหมัด ปณิธานก็มาถึงเสียก่อน ทำให้ข้าตกใจแทบตาย ไม่ใช่ว่าข้าพูดประจบจริงๆ นะ วันหน้ารอให้บรรพบุรุษอิ่นกวานเดินทางท่องเที่ยวไปยังใต้หล้าแห่งอื่น ไม่ต้องสนว่าจะเป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ใต้หล้าไพศาลหรือใต้หล้ามืดสลัว แค่สายตาเดียวที่มองมา ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจเซียนดินก็ต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ คุกเข่าไม่กล้าลุกขึ้น ยื่นคอรอให้ท่านตัดแต่โดยดี!”

เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้สมพรปากเจ้า”

ตามคำกล่าวของผู้อาวุโสหลี่เอ้อ กล้ามเนื้อหกร้อยสามสิบเก้าก้อนบนเรือนกายมนุษย์ล้วนสามารถมองเป็นเทือกเขา ขุนเขาใหญ่และภูเขาลูกน้อย การชำระหล่อหลอมโชคชะตาบู๊ก็เหมือนการ ‘เปิดภูเขา’ สามารถสร้างความมั่นคงให้กับรากภูเขาแต่ละแห่งของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวได้ โชคชะตาบู๊มากน้อยเป็นตัวตัดสินจำนวนของภูเขาที่ถูกเปิด หากไม่มีการประทานโชคชะตาบู๊ให้ก็ไม่เป็นไร ยามที่ผู้ฝึกยุทธเข่นฆ่าเพื่อตัดสินเป็นตาย หรือประลองฝีมือเพื่อตัดสินแพ้ชนะกับคนอื่น ล้วนเป็นการหล่อหลอมภูเขาแต่ละลูกทั้งสิ้น ต้นทุนการหยัดยืนในการฝึกหมัดของผู้ฝึกยุทธอยู่แค่ที่ตัวของวิชาหมัดเท่านั้น ไม่ต้องละโมบในโชคชะตาบู๊ เพราะต่อให้ไม่มีโชคชะตาบู๊ ฟ้าก็ไม่ถล่มลงมา หรือต่อให้ฟ้าถล่มลงมาจริงๆ ก็ยิ่งต้องฝึกปรือวิชาหมัดแล้วออกหมัดอีกครั้ง

เฉินผิงอันถาม “เกี่ยวกับโชคชะตาบู๊ เจ้ารู้เรื่องวงในเรื่องใดบ้าง?”

ซวงเจี้ยงส่ายหน้า “ข้ารู้แค่เรื่องของการฝึกตน เรื่องของการเรียนวรยุทธ รู้ไม่มากนัก…”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ”

สีหน้าของซวงเจี้ยงสดใสมีชีวิตชีวาทันที “มีเรื่องให้พูด มีเรื่องให้พูด”

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “หรือไม่ก็ช่างมันดีกว่า”

ซวงเจี้ยงทิ้งตัวนอนหงายหลัง กางแขนกางขาป่ายปัด พลิกตัวชักดิ้นชักงอ

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!