เรือข้ามทวีปลำหนึ่งจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัวกลางม่านราตรี เพียงแต่ว่าไม่ได้ปลดสัมภาระขนข้าวของลง แต่มีผู้ฝึกลมปราณร้อยกว่าคนที่ลมหายใจทอดยาวเดินลงมา แต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่ฝึกตนประสบผลสำเร็จ และทุกคนต่างก็รักษากฎกันเป็นอย่างดี
ทางฝั่งของเรือนชุนฟาน น่าหลันไฉ่ฮ่วนกับเส้าอวิ๋นเหยียนออกมาต้อนรับคนเหล่านี้ด้วยตัวเอง พามาส่งตลอดทางกระทั่งถึงประตูใหญ่ ผู้ฝึกตนเหล่านี้ล้วนเป็นอาจารย์กลไกของสำนักโม่และสำนักหยินหยาง แต่จะไม่ได้ขึ้นหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่า
พวกเขาแบ่งออกกันเป็นกลุ่มละหลายคน มุ่งหน้าไปตามหอมายา คฤหาสน์หลบร้อนและคฤหาสน์หลบหนาว รวมไปถึงจวนพักส่วนตัวของเซียนกระบี่อีกหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็มีจวนเซียนปลูกอวี๋ที่พื้นใต้ดินทำมาจากป้ายศิลาเซียนโผผินบินสู่ดวงจันทร์ที่เซียนกระบี่เป็นผู้หลอม จวนพักใกล้เคียงกันที่มีผู้ฝึกกระบี่แต่งกายเป็นหญิงสองสามคนพักอาศัยอยู่ก็จะมีผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานที่ทำหน้าที่เป็น ‘ขุนนางผู้ตรวจการ’ ชั่วคราวไปถ่ายทอดคำสั่ง ให้พวกเขาออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามที่อาจารย์สร้างไว้ได้ ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทั้งสามคนเตรียมจะขี่กระบี่ไปยังหัวกำแพงเมือง หลายปีมานี้ถูกอาจารย์กักบริเวณให้อยู่แต่ในจวนแห่งนั้น นอกจากฝึกกระบี่แล้วก็คือฝึกกระบี่ เป็นเหตุให้พวกเขาไม่ทันมีเวลามาสนใจชุดสตรีที่สวมอยู่บนร่าง ถึงขั้นลืมไปขอชุดคลุมอาคมมาจากหอภูษาก็เตรียมจะไปที่หัวกำแพงเมือง ตัดหัวเผ่าปีศาจได้กี่หัวก็คือเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ห้อยแท่นฝนหมึกไว้ตรงเอว สะพายหีบไม้ไผ่ไว้บนหลังมาขัดขวาง บอกว่าพวกเขาสามคนไปที่หอมายาได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จงถอยกลับเข้าจวนไปฝึกกระบี่ต่อแต่โดยดี
ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางและอาจารย์กลไกสำนักโม่ห้าท่าน หลังจากได้รับแผนที่ฉบับหนึ่งที่ทางคฤหาสน์หลบร้อนมอบให้และคำอธิบายอย่างละเอียดมาแล้วก็เริ่มทำการคลายตราผนึกของจวนส่วนตัวแห่งนี้ การเปิดประตูเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงไม่นานก็มีกระจกส่องประกายแสงเหมือนแสงจันทร์บานหนึ่งลอยตัวขึ้นมากลางอากาศเหนือจวน ในกระจกมีสัตว์มงคลสี่ตัวบินทะยานล้อมวนอยู่ หลังจากเปิดค่ายกลแล้ว ภาพบรรยากาศรอบด้านของจวนส่วนตัวก็ถูกสาดสะท้อนจนสว่างไสว เห็นทุกมุมชัดเจน
ผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่รับผิดชอบเคลื่อนย้ายจวนเซียนปลูกอวี๋และเรือนแห่งนี้แอบปลีกตัวมามองการคุมเชิงระหว่างแม่นางน้อยกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสามคน นางพูดเร็วมาก เร็วจนเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ แม้ว่าผู้ฝึกตนต่างถิ่นจะเรียนภาษาท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ระหว่างที่เดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวแล้ว แต่ก็ยังได้แค่ฟังออกคร่าวๆ สรุปแล้วก็คือนางมีบารมีอย่างมาก ถึงขั้นกดข่มเซียนดินทั้งสามคนได้อย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทั้งสามคนจะใช้เหตุผลทำให้เข้าใจหรือใช้อารมณ์ทำให้ซาบซึ้งอย่างไรก็ล้วนไม่ได้ผลกับแม่นางน้อย โอสถทองคนหนึ่งร้อนใจมากจริงๆ จึงตะโกนขึ้นว่า “กวอจู๋จิ่ว! อย่าคิดว่าใต้เท้าอิ่นกวานเป็นอาจารย์ของเจ้าแล้วจะเห็นพวกเราเป็นตาสีตาสาได้ พวกเราสามพี่น้องจะดีจะชั่วก็เป็นโอสถทอง ล้วนเป็นผู้อาวุโสบนเส้นทางการฝึกตนของเจ้า…”
อันที่จริงแม่นางน้อยมักจะมาปีนกำแพงเดินเล่นที่จวนแห่งนี้บ่อยๆ ทั้งสองฝ่ายจึงสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก
กวอจู๋จิ่วยกสองแขนกอดอก พูดอย่างไม่ไว้หน้า “สรุปก็คือขอแค่พวกเจ้ากล้าไปที่หัวกำแพงเมือง กระบี่บินสายอิ่นกวานของพวกเราก็จะไปถึงเร็วกยิ่งกว่า จากนั้นพวกเจ้าก็จะถูกเซียนกระบี่บางคนโยนกลับมาที่นี่ แม้แต่หอมายาที่อาณาบริเวณกว้างขวางกว่าก็ไปไม่ได้แล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่นิสัยค่อนข้างสุขุมหนักแน่นยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษากันจริงๆ หรือ?”
กวอจู๋จิ่วพยักหน้า แต่กลับพูดว่า “ได้สิ!”
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสามคน แม้กระทั่งผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นที่มองดูเรื่องสนุกอยู่ก็ยังรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
กวอจู๋จิ่วเอ่ย “ขอแค่พวกเจ้าไม่ไปหัวกำแพงเมืองก็สามารถดักฆ่าเผ่าปีศาจทั้งหมดที่ลอดผ่านเข้ามาในเมืองได้ แต่ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ารบตาย ตายไปคนหนึ่ง ที่เหลืออีกสองคนจะต้องถูกเซียนกระบี่ท่านหนึ่งกักบริเวณนานร้อยปี”
กวอจู๋จิ่วชี้ไปทางฝั่งของหอมายา “สิงกวานกับเซียนกระบี่หมี่อวี้พี่ใหญ่ของสายอิ่นกวานพวกเราก็อยู่ที่นั่น มีพวกเขาอยู่ก็ยังไม่ถึงคราวที่โอสถทองเล็กๆ อย่างพวกเจ้าจะได้ลงมือหรอก”
ผู้ฝึกกระบี่สามคนหันหน้ามามองกันแล้วยิ้มให้กัน ถึงอย่างไรก็ดีกว่าให้นั่งดูดายอยู่เฉยๆ ที่หอมายาล่ะนะ
กวอจู๋จิ่วพลันเอ่ยว่า “อย่าตายนะ”
แสงกระบี่ทั้งสามเส้นเปล่งวูบแล้วหายไป
ผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นที่ขอบเขตไม่ต่ำเหล่านั้นทั้งอารมณ์หนักอึ้งทั้งสงสัย
เหตุใดผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้ไม่เห็นชีวิตและมหามรรคาเป็นเรื่องสำคัญได้ขนาดนี้? สถานการณ์ใหญ่ไม่เข้าข้าง แม้จะตายก็ไร้ความเสียดาย อยู่ที่ใต้หล้าไพศาลก็ไม่ได้หายากนัก แต่มีผู้ฝึกตนคนใดบางที่ไม่ต้องตายก็ได้ แต่กลับดันแล่นเข้าหาความตายเช่นนี้
กวอจู๋จิ่วหันหน้ามองตามแสงกระบี่สามเส้นที่พุ่งหายไปไกลในเสี้ยววินาที เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมถอนสายตากลับมา
กลัวว่าพวกเขาจะวู่วามตรงดิ่งไปที่หัวกำแพงเมือง ยังคิดอีกว่าหากพวกเขาไปที่หัวกำแพงเมืองจริงๆ ตนคงต้องตามไปด้วย
สุดท้ายกวอจู๋จิ่วมองไปทางหัวกำแพงเมือง มองหาเงาร่างของพ่อแม่ตัวเองเงียบๆ แต่กลับหาไม่พบ
อาจารย์ พ่อแม่ บุตรชายหญิง คู่รัก บรรพจารย์ คนรุ่นหลัง สหาย
มีผู้ฝึกกระบี่คนใดของกำแพงเมืองปราณกระบี่บ้างที่ไม่มีเหตุผลมากพอให้สังหารปีศาจ แล้วก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่ต่ำกว่าเซียนดินลงมาหลายคนที่ยินดีสังหารปีศาจ แต่กลับไม่ยินดีจะตาย ทุกวันนี้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสและคฤหาสน์หลบร้อนต่างก็ไม่ฝืนใจพวกเขา แค่ขึ้นหัวกำแพงเมืองไปเฝ้าพิทักษ์นครไว้ก็พอ หากเห็นท่าไม่ดีก็สามารถถอยออกมาจากหัวกำแพงเมืองได้ หากรู้สึกว่าปลอดภัยมั่นคงดีแล้วค่อยย้อนกลับไป กำแพงเมืองปราณกระบี่ในทุกวันนี้ วิญญูชนนักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อล้วนปลดประจำการจากตำแหน่งขุนนางผู้ตรวจตราการศึกกันหมดแล้ว และสายอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อนเองก็ส่งกระบี่บินไปที่หัวกำแพงเมืองน้อยครั้ง
กวอจู๋จิ่วหันหน้ามา ยิ้มกล่าวว่า “พวกผู้อาวุโสลำบากแล้ว”
มาถึงที่แห่งนี้ ปราณกระบี่เข้มข้นเกินไป การสยบกำราบมีมากเกินไป ผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นที่ก่อนหน้านี้ยังมีคำบ่นยังมีความไม่พอใจ ยามนี้พอเผชิญหน้ากับคำขอบคุณอย่างจริงใจจากแม่นางน้อยสะพายหีบไม้ไผ่คนหนึ่งกลับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร เพราะถึงอย่างไรการที่พวกเขามาที่นี่ก็สามารถหาเงินมาได้ด้วยความยากลำบาก แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ประเด็นสำคัญคือการกระทำนี้ของพวกเขาจะถูกบันทึกไว้ในสำนักศึกษา สถานศึกษา ถือว่าเป็นคุณความชอบที่ไม่เล็ก
ทางฝั่งของคฤหาสน์หลบหนาวก็มีคนต่างถิ่นมาเยือนกลุ่มหนึ่ง
ไม่มีใครสอนวิชาหมัดให้แล้ว ทุกวันนี้เด็กๆ สิบกว่าคนต่างก็ฝึกวิชาหมัดด้วยตัวเอง หากพูดตามคำกล่าวของเจียงอวิ๋นก็คือนอกจากฝึกท่าเดินนิ่งยืนนิ่งแล้วก็มาจับคู่ประลองวิชายุทธกัน ต่างคนต่างสู้กันเอาเป็นเอาตายก็พอ
ตอนที่ผู้ฝึกลมปราณเดินผ่านลานประลองยุทธ เด็กๆ ทุกคนล้วนหยุดการฝึกหมัด ส่วนใหญ่มองเทพเซียนผู้ฝึกตนจากใต้หล้าไพศาลเหล่านั้นด้วยสีหน้าแววตาเฉยเมย
กู้เจี้ยนหลงผู้ฝึกกระบี่ที่ทำหน้าเป็นผู้ตรวจการของสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้เด็กๆ กลุ่มนั้นฟัง ขี้เกียจ ไม่ยินดี แล้วนับประสาอะไรกับที่หากจะให้เขาพูดคำพูดที่เป็นธรรมจริงๆ ไม่แน่ว่าคนสองกลุ่มที่อายุต่างกันนี้ก็อาจจะตีกันขึ้นมาเลยก็ได้ กู้เจี้ยนหลงคิดมาโดยตลอดว่าต่อให้ใต้หล้าไพศาลจะมีคนอย่างใต้เท้าอิ่นกวาน มีคนอย่างสหายแบบหลินจวินปี้ เสวียนเซิน และยังมีผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นเหล่านั้นอยู่ก็จริง แต่ใต้หล้าไพศาลก็ยังเป็นใต้หล้าไพศาลอยู่ดี
ทางฝั่งของหอกระบี่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!