เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะหาร่องรอยของมือกระบี่ชุดเขียวคนนั้นเจอแล้ว แต่กลับถูกคุณชายรูปงามตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คนหนึ่งพลิ้วกายมาขัดขวางอยู่เบื้องหน้ามือกระบี่ชุดเขียวคนนั้น เขายื่นฝ่ามือออกมาสกัดบังแสงกระบี่ทั้งหมดจากเว่ยจิ้น สะบัดข้อมือเบาๆ ฝ่ามือที่เดิมทีไหม้เกรียมไปแล้ว เห็นเพียงว่าชั่วพริบตาก็กลับคืนมาเป็นปกติ
ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนนี้มีตำแหน่งที่นั่งไม่สูงไม่ต่ำอยู่ในบ่อโบราณ ใช้นามแฝงว่าชิงฮวา
ใบหน้างามประณีตที่ล่อลวงสตรีได้มากมายนั้น หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าล้วนเกิดจากผิวหน้าคนที่เขานำมาประกบประกอบกัน
ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเศษซากจิตวิญญาณของเซียนกระบี่และกระบี่บินที่แตกหักเสียหายเอาไว้นับไม่ถ้วน
ปีศาจใหญ่ชิงฮวายิ้มเอ่ยกับมือกระบี่หนุ่มที่เป็นอันดับหนึ่งในร้อยเซียนกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ด้านหลังคนนั้นว่า “ศิษย์น้องเล็ก เล่นสนุกพอแล้วหรือยัง?”
มือกระบี่หนุ่มพยักหน้าเอ่ย “ท่านเองก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
ปีศาจใหญ่สกัดขวางอีกกระบี่หนึ่งที่ส่งมาไกลๆ จากเซียนกระบี่ท่านนั้นได้อีกครั้ง หลังจากที่ถูกสองกระบี่ของเว่ยจิ้นทยอยชำระล้างผ่านไป ชิงฮวาก็มาลอยตัวอยู่เหนือหลุมใหญ่แห่งหนึ่งนานแล้ว เขาพูดเสียงแผ่วเบาน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จะให้ศิษย์พี่ระวังอะไรอีก? ระวังมากพอแล้ว นี่ก็ยังไม่ทันได้ไปหาเฉินชิงตูเลยไม่ใช่หรือ?”
ลู่จือขี่กระบี่มาถึง เอ่ยกับเว่ยจิ้นว่า “เจ้าตามไปไล่ฆ่าต่อเถอะ เจ้าคนอ้อนแอ้นราวกับสตรีผู้นี้มอบให้ข้าจัดการเอง”
ชิงฮวายิ้มมองสตรีเซียนกระบี่ใหญ่ที่ใบหน้าเละไปครึ่งหน้า “นี่ก็คือเซียนกระบี่ใหญ่ลู่ที่งามล่มบ้านล่มเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนั้นน่ะหรือ?”
ลู่จือไม่เอ่ยถ้อยคำ แต่ใช้กระบี่ตอบแทน
ปลายสุดด้านหนึ่งของกำแพงเมือง ภิกษุที่ร่างท่วมไปด้วยเลือดคนนั้นเหมือนพระพุทธองค์ร่างทองที่ใช้กำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างอาสนะดอกบัว
จีวรที่สวมห่มอยู่บนร่างอริยะลัทธิพุทธที่มีรูปโฉมเป็นคนวัยกลางคนลอยตัวถอดออกมาด้วยตัวเอง ฝ่ามือที่ไร้นิ้วทั้งสิบประคองจีวรผืนนั้นไว้กลางอากาศเบาๆ แล้วทันใดนั้นมันก็ขยายใหญ่ดุจทะเลเมฆ พริบตาเดียวก็ม้วนลมหอบเมฆ ยิ่งนานจีวรก็ยิ่งขยายใหญ่ แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธะส่องสว่างไปทั่วโลกมนุษย์
สุดท้ายจีวรทะเลเมฆที่กลบฟ้าบังดิน แสงเรืองรองขยายไกลหมื่นจั้งก็พลันร่วงลงปกคลุมสนามรบนอกหัวกำแพงเมืองเอาไว้ ก่อนจะกลายเป็นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่พากันไปแนบฝังติดกายของผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
ภิกษุนั่งขัดสมาธิ เบื้องหน้าปรากฏตะเกียงดอกบัวดวงหนึ่ง มีธูปอยู่หนึ่งก้าน
จากนั้นภายในเวลาหนึ่งก้านธูป อาการบาดเจ็บไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่ของเหล่าผู้ฝึกกระบี่บนสนามรบก็ล้วนถูกย้ายมาที่ตัวภิกษุทั้งสิ้น
บนตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เคยมีตัวอักษรบนตราประทับชิ้นหนึ่งที่อิ่นกวานหนุ่มคัดลอกมากจากใต้หล้าไพศาล
‘ทีปังกรพุทธเจ้าลงมาจุติเผชิญวัฏสังสารในสหัสโลกธาตุ’
เมื่อธูปหนึ่งก้านเผาไหม้หมดสิ้น ภิกษุก็พนมนิ้วทั้งสิบ แหงนหน้ามองไป ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ สิ้นชีพลงโดยพลัน
เพียงแต่ว่าแสงไฟในตะเกียงเบื้องหน้ายังคงอยู่ ไม่เพียงเท่านี้ กลับยิ่งส่องแสงสว่างเจิดจ้ามากกว่าเดิม
อริยะสามลัทธิที่อยู่ที่นี่ ตั้งแต่ต้นจนจบ แท้จริงแล้วภิกษุท่านนี้ล้วนทำการเข่นฆ่าอยู่ตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่นว่าอริยะลัทธิพุทธท่านนี้ยอมเผาผลาญชะตาชีวิตเพื่อผลัดฟ้าเปลี่ยนดิน ช่วยให้กำแพงเมืองปราณกระบี่สยบใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ร่วมกับอริยะอีกสองท่านที่เหลือสร้างแม่น้ำยาวสีทองขึ้นมา สะบัดแมลงสิงโตบนร่าง (เปรียบเปรยถึงพระธรรม) ตัดนิ้วทั้งสิบ ถอดจีวร ปกป้องผู้ฝึกกระบี่…
การเข่นฆ่าอันโหดร้ายทารุณจากศึกโจมตีเมืองครั้งนี้ เลือดนองเป็นสายน้ำ บวกกับภาพหวงหลิวจวี้จินของอริยะลัทธิขงจื๊อ กุญแจสำคัญคือมีวิชาอภินิหารของลัทธิพุทธปกคลุมสนามรบ
อู๋เฉิงเพ่ยที่หล่อเลี้ยงกระบี่มาอย่างยาวนานจนรู้สึกว่านานมากๆ นานเกินไปแล้ว ในที่สุดก็ปลดปล่อยน้ำค้างหวานกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาอย่างเต็มกำลัง
น้ำค้างหวานเล่มนี้ ในคำประเมินหัวข้อวิชาอภินิหารของกระบี่บินจากคฤหาสน์หลบร้อน อยู่ในสามอันดับแรก
สนามรบนอกหัวกำแพงเมือง เผ่าปีศาจที่มีนับพันนับหมื่นถูกฝนเลือดสดๆ ที่ลอยขึ้นมาจากพื้นดินปกคลุมไว้ภายใน พริบตาเดียวเลือดเนื้อก็ถูกกรีดเฉือน กระดูกถูกกลืนกิน หยาดฝนทุกเม็ดที่แฝงไว้ด้วยปณิธานกระบี่ของน้ำค้างหวานล้วนบดขยี้ไปถึงจิตวิญญาณของพวกมัน
บัลลังก์ของปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งมีตำแหน่งอยู่ด้านหน้าสุด เพียงแต่ว่ายังอยู่ห่างจากสนามรบของสามฝ่ายอย่างอาเหลียง เฉินซีและฉีถิงจี้ไปไกลสักหน่อย
บนบัลลังก์ที่ประกอบขึ้นจากกระดูกขาวโพลนหลายสิบล้านชิ้น ปีศาจใหญ่ที่มีแต่กระดูกขาวใสราวกับหยกขาว บนกายไม่มีเลือดเนื้อแม้แต่น้อยตนนี้ยังคงเหยียบหัวกะโหลกนั้นไว้ใต้ฝ่าเท้าอยู่ดังเดิม
เมื่อมองเห็นอู๋เฉิงเพ่ยที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ป๋ายอิ๋งก็เตะหัวกะโหลกนั้นออกไปไกล ลุกขึ้นยืน มองม่านฝนที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมากลางอากาศผืนนั้นด้วยความสนใจ
ป๋ายอิ๋งดึงสายตากลับมาเล็กน้อย บนสนามรบมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเล็กๆ ที่น่าสงสารคนหนึ่งแขนขาดไปข้างหนึ่ง ไม่เพียงแต่ถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว ข้อเท้าข้างหนึ่งยังถูกปาดออกไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้อ้อมค่ายกลกระบี่สามแห่งที่พวกฉีถิงจี้สร้างไว้ออกมา จากนั้นก็ตรงดิ่งมาที่บัลลังก์ราชาแห่งนี้
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหยุดยืนนิ่ง คุมเชิงอยู่กับบัลลังก์กระดูก ยกกระบี่ยาวขึ้น แต่กลับไม่มองป๋ายอิ๋ง จ้องเขม็งไปที่ศีรษะนั้นแทน แล้วเอ่ยว่า “สายของกวนจ้าว กระบี่สุดท้ายของผู้ฝึกกระบี่เกาขุย ขอถามกระบี่แก่บรรพจารย์”
ป๋ายอิ๋งชำเลืองตามองศีรษะที่อยู่บนพื้นแล้วหัวเราะฮ่าๆ “ข้าว่าช่างเถิดนะ ฝ่ามือเดียวตบให้เจ้าตายก็พอแล้ว จะได้ให้พวกเจ้าสองศิษย์ลูกศิษย์หลานไปอยู่เป็นเพื่อนกัน”
ชุดคลุมยาวสีเทาที่ด้านในว่างเปล่าไร้คนพลิ้วกายมาถึง แล้วลดตัวลงบนบัลลังก์กระดูกอย่างเชื่องช้า
เมื่อมันปรากฏตัว ป๋ายอิ๋งก็รีบนั่งกลับไปที่เดิมทันที ไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ชุดคลุมยาวสีเทาหยุดยืนอยู่ริมขอบของบัลลังก์
ห่างไปไกลก็คือเกาขุยที่ต้องการจะถามกระบี่เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!